วางบิล/เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์/สู่ร่มกาสาวพัสตร์ ในที่เกิดเหตุ

วางบิล
เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

ในที่เกิดเหตุ

ปานยังไม่ทันจะคิดถึงน้ำเสียงของจงจิตที่ “ฟังแปร่งปร่าอย่างไรไม่รู้” รีบเอ่ยปากออกไปว่า “โอ๊ะ… ไม่ต้องลำบากหรอกครับ ผมยังไม่หิวเลย เดี๋ยวค่อยออกไปกินเองก็ได้ … คุณไปใช้พี้ด… ไม่เป็นไรหรอกพี้ด ผมยังไม่หิวจริงๆ” เสียงปฏิเสธของปานพอดีกับมนวิไลเดินขึ้นบันได
“อยู่เฉยๆ เถอะเรา เดี๋ยวพี่จัดการเอง กำลังจะไปตลาดอยู่แล้ว… จะกินอะไรบอกมา” มนวิไลพูดเสียงดุ ๆ พร้อมเดินเข้าห้องหยิบกระเป๋าสตางค์ เธอจะไปตลาดหาซื้ออะไรมากินอยู่พอดี แต่ใจจริงต้องการให้คนทั้งสองอยู่กันตามลำพัง
“อะไรก็ได้ครับ กลางวันอย่างนี้ ผัดไทยสักห่อก็ดี” ปานบอกความประสงค์เสร็จ
“อ้าว – ไหนว่าไม่หิวไง” เสียงมนวิไลดังออกมาจากห้อง
ปานหันมายิ้มกับจงจิต เธอค้อน “อื้อออ…หมั่นไส้ ไหนว่าไม่หิว ทีหลังปล่อยให้หิวเสียให้เข็ด…”
“โธ่…ผมบอกแล้วว่าไม่ต้อง แต่พี้ดจะออกไปตลาดอยู่แล้ว…ผัดไทยที่นี่อร่อยไม่เลวเสียด้วย เมื่อกี้ผมจะแวะกินก่อน เห็นว่าเพิ่งเที่ยง แล้วยังไม่หิว คงจะเข้ามากินที่นี่ทัน” ปานแจงเหตุผลแล้วว่า “ไม่น่าต้องลำบากเลย” พร้อมยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม อารมณ์ค่อยดีขึ้นมาหน่อย “ดีเหมือนกัน เมื่อกี้รถโขยกซะ…”
“หยั่งงี้ทีหลังกินเสียให้เสร็จๆ แล้วค่อยเข้ามาซิยะ ต้องให้คนอื่นลำบาก”
ปานสวนคำทำเป็นน้อยใจ “พี้ด เดี๋ยวผมออกไปกินเองก็ได้”
“โถ…ยังหนุ่มยังแน่น หัวไม่ล้านสักหน่อย ทำเป็นใจน้อยไปได้” มนวิไลเดินออกมาพอดี พูดขณะเดินลงบันได จูงจักรยานไปตั้งหลักแล้วถีบออกไปตลาด
“นั่งรอเดี๋ยวนะคะ” จงจิตบอกเมื่อมนวิไลถีบจักรยานออกไปแล้ว เดินลงบันไดไปข้างล่าง เสียงทำอะไรขลุกขลักกริ้งกรั๊ง เธอเตรียมจานชามไว้สำหรับมื้อกลางวัน ซึ่งตัวเองกับมนวิไลยังไม่ได้กินเหมือนกัน

ปานนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ของวันก่อนเรื่อยเปื่อย ทั้งที่อ่านมาแล้วก่อนเดินทาง ได้แต่พลิกไปพลิกมา อ่านกระทั่งโฆษณาสินค้าจนหมดฉบับ หยิบหนังสือรายสัปดาห์ใต้โต๊ะขึ้นมาพลิกดูรูปภาพไปเรื่อย
จงจิตกลับขึ้นมาอีกครั้ง ยิ้มให้เขา แล้วเดินผ่านเข้าไปในห้อง ตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง แต่ฉุกคิดว่ายังไม่ถึงเวลาและไม่สมควร จึงกลับออกมาพบปานที่มองอยู่ก่อนแล้ว
เธอทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ข้างหนึ่ง ขยับปากจะพูด แต่กลับนิ่ง ถอนหายใจออกมานิดหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ แล้วรีบกลั้นไว้ ค่อยๆ ระบายออกมาอย่างยากเย็น
“เป็นอะไรไปหรือ – ถอนใจ” ปานถามสวนทันทีเมื่อเห็นอากัปกิริยาอย่างนั้น ทำสีหน้าฉงน
จงจิตพยายามซ่อนความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งที่รู้ว่าเป็นเรื่องปกปิดยากสำหรับเขา
“เปล่านี่ ไม่เป็นอะไร สบายดี” จงจิตตอบไม่เต็มคำพร้อมระบายยิ้ม
แต่เมื่อเห็นยิ้มนิดหนึ่งที่มุมปากของปานแล้วกลับไม่สบายใจยิ่งขึ้น
เป็นยิ้มทุกครั้งที่เขาระแวงสงสัยอะไรในใจ รู้สึกเสียวแปล๊บเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น ยิ่งทำให้สีหน้าแววตาผิดปรกติอย่างเห็นได้ชัด
“คุณเป็นอะไรไปน่ะ” ปานถามกระชั้น “ไม่สบายหรือเปล่า”
เมื่อเห็นปานทำท่าจะลุกขึ้นมาหาเธอ จงจิตรีบปฏิเสธอีกครั้ง “ปละ – เปล่า – ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ หน้าเมยเป็นอะไร ซีดหรือ”
“นั่นซิ” ปานพึมพำ “เห็นหน้าคุณไม่ค่อยสบาย… หรือตาผมฝาดไปเองก็ไม่รู้… หมู่นี้ใจคอไม่ค่อยปกติ มันระแวงไปหมด” ปานขยับปากจะพูดต่อถึงเรื่องระหว่างเดินทางว่าต้องพบอะไรบ้าง แต่จงจิตอดไม่ได้ที่จะคิดให้เข้ากับเรื่องของตัว คล้ายกับว่าปานจะรู้ในเรื่องที่เธอคิดอย่างนั้น แล้วเธอเผลอถอนใจออกมาอีกครั้ง
“เฮ้อ…ที่จริงเราออกไปหาอะไรกินเองก็ได้ ไม่ต้องเดือดร้อนพี้ดแก” จงจิตรีบกลบเกลื่อนความรู้สึก
“นั่นซิ ผมห้ามแล้ว คิดว่าเข้ามาสักเดี๋ยว บ่ายๆ ค่อยออกไปตลาดกัน ก็ไม่เชื่อ” ปานร่วมผสมโรงด้วย “แต่พี้ดบอกว่าจะออกไปซื้ออะไรเหมือนกันไม่ใช่รึ”
จงจิตพยักหน้ารับ “ว่าจะทำอะไรกินเองสองคน แต่ยังขี้เกียจ พอดีคุณมา เลยทำเป็นว่าจะออกไปซื้ออะไรของตัวเอง”
ปานยิ้มกว้างแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
“ขำอะไรหรือ” เธอข้องใจที่จู่ๆ ปานหัวเราะออกมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเมื่อได้ยินเธอพูด
“เปล่า ไม่ได้ขำอะไร” ปานยังหัวเราะหึๆ
“แล้วหัวเราะทำไม” จงจิตทำท่าฉุน “หรือหัวเราะฉัน”
“โธ่ บอกว่าเปล่า” ปานยังหัวเราะขำๆ “พี้ดคงอยากให้เราอยู่กันสองคนน่ะซิ”
จงจิตค้อนให้อีก เอื้อมมือจะหยิก แต่เขาชักมือจากเท้าแขนหลบเสียก่อน “อื๋อออ… ทำเป็นรู้ดี”

สายตาของปานที่มองจงจิตปรอยอย่างเจ้าชู้ “คิดถึงคุณแทบแย่” ว่าแล้วก็เอื้อมมือจะไปกุมมือเธอ แต่จงจิตชักออกก่อนเช่นกัน สายตามองอย่างปราม
นี่ถ้าเป็นที่อื่น ไม่ใช่เวลากลางวันอย่างนี้ ปานคงถาเข้ากอดจูบจงจิต และเธอคงกระทำตอบเช่นกัน ให้สมกับที่รอคอยซึ่งกันและกัน
ปานรู้สึกผิดปกติ สีหน้าแสดงความกังขา ชักมือเก้อ วูบหนึ่งในความคิดนั้น ปานคล้ายกับว่า เขาเป็นคนแปลกหน้าของเธอ อาการถอนใจเมื่อครู่ต้องมีอะไรสักอย่างที่ปานยังคิดไม่ออก…เธอเป็นอะไรไปหรือ…หรือว่าเขาคิดมากไปเอง
เสียงกระดิ่งรถจักรยานดังขึ้นเหมือนสัญญาณเตือนจากมนวิไลว่าเธอใกล้เข้ามาแล้ว
จงจิตลุกขึ้นทันที รู้สึกโล่งใจไปนิดหนึ่ง เธอเดินออกมาที่บันไดลงไปเตรียมรับของจากมนวิไล
ปานยังไม่ลุกตามทันที คงนั่งที่เดิม สีหน้าครุ่นคิด เคาะนิ้วลงกับที่เท้าแขน พยักหน้ากับตัวเองช้าๆ คล้ายกับจะประเมินสถานการณ์อะไรสักอย่าง เขารู้สึกว่าจงจิตพยายามบ่ายเบี่ยงที่จะอยู่กับเขาสองคน มนวิไลเองก็รู้สึกแปลกๆ ไปจากครั้งก่อน
“เอ้า – ลงมากินผัดไทยกัน เจ้าที่คุณสั่งไง” มนวิไลส่งเสียงขึ้นมา
ปานถอนหายใจยาว แล้วลุกขึ้นลงไปข้างล่างอย่างตัดใจ พยายามไม่คิดอะไรให้มากไปอีก เพื่อไม่ให้ใครสงสัย โดยเฉพาะมนวิไล