ในประเทศ : “ป้อม” (ค่าย) ตีแตก จาก “ภายใน”

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สบายใจขึ้นไม่กี่วัน

หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศยืนเคียงข้างชัดเจน

“รักผม รักรองนายกฯ ผมด้วย”

เพราะช่วยสยบกระแส พล.อ.ประวิตรจะลาออกจากกรณีนาฬิกาหรูลงอย่างสิ้นเชิง

พร้อมกับปฏิบัติการข่าวสารก็เริ่มปรากฏผล

โดยเฉพาะการตอบโต้ หักล้าง ทำลาย เว็บไซต์ที่เรียกร้องให้ พล.อ.ประวิตรลาออก ด้วยการเกทับจำนวนผู้โหวตให้ พล.อ.ประวิตรอยู่ต่อ ให้มีจำนวนที่ “เหนือกว่า”

ยิ่งกว่านั้น สังคมได้เปลี่ยนโฟกัสจากกรณีนาฬิกาหรู ไปยังเรื่องการฆ่าเสือดำในเขตอนุรักษ์ทุ่งใหญ่นเรศวรของอภิมหาเศรษฐี เปรมชัย กรรณสูต

ทำให้ลดแรงกดดันในแง่ข่าวสารลงอย่างมาก

แต่ความสบายใจก็อยู่ไม่นาน

เมื่อบีบีซีไทย ได้นำเสนอข่าวเอ็กซ์คูลซีฟ

“คนใน” นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ไปกล่าวพาดพิงกรณีการครอบครองนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร อย่างรุนแรง ระหว่างพบปะกับนักเรียน ข้าราชการ นักธุรกิจไทยในอังกฤษ

ในงานเลี้ยงรับรองที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงลอนดอน เมื่อ 9 กุมภาพันธ์

นพ.ธีระเกียรติกล่าวบนเวที โดยยกตัวอย่างกรณีที่ นายไมเคิล เบตส์ สมาชิกสภาขุนนางของอังกฤษสังกัดพรรคอนุรักษนิยมได้ประกาศลาออกจากสมาชิกสภาขุนนาง เนื่องจากรู้สึกละอายใจที่เข้าร่วมประชุมสภาสาย เมื่อปลายมกราคม แต่คำลาออกของเขาถูกนางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรี ยับยั้ง

“แต่เมืองไทย มีนาฬิกาใส่ 25 เรือน ยังไม่เป็นไร” รมว.ศธ. กล่าวติดตลก

หลังการปราศรัย นพ.ธีระเกียรติให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยว่า ไม่มีทางที่จะเห็นนักการเมืองไทยลาออกเพราะมาสาย

“ไม่มีทาง เพราะมันเป็น conscience (ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี) ลึกๆ อยู่ในสายเลือด การรู้ว่าอะไรควร อะไรถูก มาสายไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิด ethic (จริยธรรม)… เมื่อไม่ได้ฝึกมาแต่เด็ก ให้หน้าบาง ยาก เมืองไทยไม่มีทาง เมืองไทยเป็นอย่างหนาตราช้าง”

นพ.ธีระเกียรติ ซึ่งบีบีซีไทยระบุว่า เป็นคนไทยที่ได้รับเกียรติเป็นสมาชิกของราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งสหราชอาณาจักร กล่าวถึงเรื่อง “นาฬิกาหรู” ของ พล.อ.ประวิตรนั้นว่า

“เรื่องนาฬิกา ถ้าผมถูก exposed (เปิดโปง) เรือนแรก ผมก็ออกแล้ว อันนี้ถามผมนะ ส่วนใครจะว่าอะไร ให้ไปถามคนนั้น ของอย่างนี้ คนก็ไม่กล้าพูด กลัวอะไร ทำไม พูดแล้วมันจะมาไล่ผมออกหรือ”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ไม่กลัวทำให้เพื่อนร่วมคณะรัฐมนตรีเสียหน้าหรือ นพ.ธีระเกียรติ ที่บีบีซีให้ปูมหลังเพิ่มเติมว่า เป็นผู้แต่งหนังสือเรื่อง “ความฉลาดทางด้านจริยธรรมและศีลธรรม (MQ)” กล่าวว่า “ไม่เกี่ยวนี่ นี่มันความเห็นของผม ไม่ใช่ความเห็น ครม. อย่างนี้แปลว่าถ้าผมอยู่ที่ไหน ผมต้องคิดตามเขาหมดเหรอ ลูกผมยังคิดไม่เหมือนผมเลย… การคิดเหมือนกันคือหลัก “เผ่ากู” ซึ่งโตกว่า “หลักกู” นิดเดียว”

ทั้งนี้ บีบีซีไทยได้นำคลิปเสียงบางตอนของ นพ.ธีระเกียรติมาประกอบข่าวเพื่อความหนักแน่นด้วย

ทันทีที่ข่าวและคลิปเสียงนี้ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์บีบีซีไทย

ได้กลายเป็นข่าวใหญ่ในสื่อมวลชนไทยทันที

เพราะ นพ.ธีระเกียรติ ถือเป็น “รัฐมนตรีสายแข็ง”

มีเส้นทางการเติบโตในกระทรวงศึกษาธิการอย่างรวดเร็ว

พ.ศ.2557 ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ครม.ประยุทธ์ 1)

สิงหาคม 2558-ธันวาคม 2559 ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ครม.ประยุทธ์ 2)

ธันวาคม 2559-ปัจจุบัน ขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ครม.ประยุทธ์ 3)

ท่ามกลางกระแสข่าวว่า นพ.ธีระเกียรติ “สนิทกับหลังบ้านนายกฯ”

โดย นพ.ธีระเกียรติ เคยให้สัมภาษณ์ว่า “ทุกคนสนิทกับนางนราพร จันทร์โอชา หรืออาจารย์น้อง ภริยานายกฯ หมดทุกคน… ผมก็รู้จักอาจารย์น้องในฐานะที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเหมือนกัน อาจารย์น้องสนใจภาษาอังกฤษ เคยคุยกัน เคยให้คำแนะนำ แต่คงไม่ใช่ปัจจัยที่นายกฯ จะเลือกใครมาเป็น รมว.ศธ.”

การที่รัฐมนตรีซึ่งถูกมองว่าเป็น “สายใน” และ “สายแข็ง” ออกมาวิพากษ์ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร อย่างรุนแรงเช่นนี้ มีหรือจะไม่เป็นข่าวใหญ่

และทำให้ พล.อ.ประวิตรถูกฉุดลงสู่ “สนามข่าว” อันอื้อฉาวอีกรอบ

ผลสะเทือนอันรุนแรงนี้เอง ทำให้หลังเดินทางกลับจากประเทศอังกฤษในวันที่ 13 กุมภาพันธ์

นพ.ธีระเกียรติได้เดินเข้ามายังตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเคลียร์ใจกับ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร

ท่ามกลางกระแสข่าวลือสะพัดว่า นพ.ธีระเกียรติอาจยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อรับผิดชอบต่อกรณีดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม หลังเคลียร์ใจกัน นพ.ธีระเกียรติได้ออกมาแถลงข่าวกับสื่อมวลชน

“วันนี้ได้มาพบกับนายกฯ และ พล.อ.ประวิตร โดยกรณีที่เป็นข่าวนั้น เกิดจากที่ผมได้ไปบรรยายให้แก่นักศึกษาไทยที่ประเทศอังกฤษได้ฟัง”

“ภายหลังการบรรยาย นักข่าวได้มาดักรอ โดยที่ไม่ทราบว่ามีการบันทึกเทป”

“ได้พูดถึงประเด็นนาฬิกาหรู โดยเสียงที่ปรากฏออกมานั้น เป็นคนละช่วงกับภาพประกอบเสียงที่ถูกเสนอออกมาเป็นข่าว จึงถือว่าไม่ได้เป็นการให้สัมภาษณ์”

“แต่การแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ยอมรับว่าผิดมารยาท ที่ได้กล่าวถึงเพื่อนร่วม ครม. คือ พล.อ.ประวิตร ได้ขอโทษ พล.อ.ประวิตรที่ได้ทำผิดมารยาท”

“อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่ายังให้ความมั่นใจกับนายกฯ ร้อยเปอร์เซ็นต์ เข้ามาทำงานร่วมกับ ครม. เพราะนายกฯ ยังเชื่อมั่นในตัวนายกฯ อยู่ และเห็นความตั้งใจในตัวนายกฯ ยืนยันจะทำงานให้นายกฯ ต่อไป จนกระทั่งนายกฯ จะเห็นว่าไม่เหมาะสม”

“พล.อ.ประวิตรได้พยักหน้ารับ และผมได้ขอโทษที่เสียมารยาท ทำให้เกิดเรื่องขึ้นมา”

“เมื่อคุยกันแล้วก็สบายใจขึ้น พล.อ.ประวิตรไม่ได้พูดอะไร ท่านก็ยิ้ม ส่วนนายกฯ น่ารัก โดยได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ได้อธิบายให้นายกฯ ฟัง เมื่อได้ร่วมทำงานกันมา ถือเป็น ครม. เดียวกัน เพราะฉะนั้น ควรจะมีความไว้ใจซึ่งกันและกัน”

“ผมขอโทษที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ และการแถลงในวันนี้ก็เป็นความตั้งใจของผมเอง ไม่มีแรงกดดันจากสิ่งอื่นแน่นอน”

ส่วนกระแสข่าวว่าจะยื่นใบลาออก นพ.ธีระเกียรติกล่าวว่า เข้าใจว่าเมื่อมีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้น การยื่นใบลาออกก็เป็นหนึ่งในตัวเลือก

“แต่ในขณะเดียวกัน ทางเลือกนั้นมีหลายทาง โดยต้องเลือกในทางที่ดีที่สุด เพื่อให้เกิดความมั่นคงแก่รัฐบาลชุดนี้ ไม่ใช่จะเอาแต่สะใจ เกิดอะไรขึ้น เอะอะก็จะลาออก เพราะต้องปรึกษานายกฯ ว่าทางเลือกนั้นมีอะไรบ้าง”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ายังยืนยันความเห็นเดิมที่กล่าวไว้ในคลิปเสียงหรือไม่

นพ.ธีระเกียรติย้อนถามกลับว่า ผู้สื่อข่าวถามเช่นนี้เพื่ออะไร เพราะคนเราก็มีความเห็นส่วนตัวกันได้ทั้งนั้น จะมาถามเพื่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นเรื่อยๆ หรืออย่างไร

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีนี้ว่า

“เท่าที่รับฟังจาก นพ.ธีระเกียรติ ทราบว่าไม่ใช่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ แต่เป็นการพูดคุยซึ่ง นพ.ธีระเกียรติได้ชี้แจงไปแล้ว ไม่ได้มีปัญหาอะไร ยืนยันว่า ครม. ไม่มีร้าว ทุกคนรักใคร่กันดี เข้าใจกัน มีอะไรก็พูดจาให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ทำอะไรผิดก็ขอโทษซึ่งกันและกันมันก็จบ ต้องระงับความขัดแย้งให้ได้บ้าง”

ขณะที่ พล.อ.ประวิตรปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ เพียงแต่กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ็บคอ พูดไม่ได้”

ดูเหมือนว่าปัญหาจะถูกเคลียร์ให้จบลงอย่างรวดเร็ว

แต่กระนั้น คำกล่าวที่ว่า “ก่อนพูด เราเป็นนายของคำพูด แต่เมื่อพูดไปแล้ว คำพูดเป็นนายของเรา” ทำให้เรื่องที่ดูเหมือนจบ ไม่จบลงง่ายๆ

แถมยังมีน้ำหนักแห่งคำพูดสูงมาก

เพราะเป็นคำพูดของคนภายในคณะรัฐมนตรี ที่รู้สึกลบต่อกรณีดังกล่าวอย่างสูง

และสิ่งที่ นพ.ธีระเกียรติพูด ก็เป็นสิ่งที่คนในสังคมพูดและรู้สึกมาตั้งแต่เรื่องนาฬิกาหรูถูกเปิดโปงตั้งแต่เริ่มแล้ว

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ นพ.ธีระเกียรติ จะพยายามจบเรื่องโดยเร็ว

แต่ดูแล้วคงไม่อาจทำเช่นนั้นได้

เพราะเรื่องนี้ น่าจะขยายใหญ่ต่อไป

อย่าง นพ.ธีระเกียรติจะรับผิดชอบด้วยการขอโทษ แต่ก็เป็นการขอโทษที่ผิดมารยาทต่อคนร่วม ครม.

มิได้ไปทำให้กรณีนาฬิกาหรูชัดเจนหรือขาวสะอาดขึ้น

ตรงกันข้ามกลับช่วยยืนยันถึงความไม่ถูกต้อง ที่หนักแน่นขึ้น

และคงต้องเผชิญกับคำถามว่า แล้ว นพ.ธีระเกียรติจะจมอยู่กับหลักการอันไม่ถูกต้องนั้นต่อไปอย่างไร

นี่คือคำถามอันแหลมคมที่จะกระตุ้นต่อมจริยธรรม “ครม.ปฏิรูป” ที่ชูตัวเหนือคนอื่นโดยเฉพาะนักการเมืองตลอดไป

ขณะที่สถานะ พล.อ.ประวิตร ก็ยิ่งคลอนแคลนและเผชิญแรงกดดันอย่างสูง

อันตรายต่อสถานะของตนเองยิ่ง

เพราะในทางยุทธวิธีการศึกนั้น ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการที่ป้อมค่ายถูกตีแตกจากภายใน

ซึ่งในกรณีนี้ น.พ.ธีระเกียรติ ถือเป็น “หัวหอก” จากภายใน ที่ทะลวง “ป้อม” ออกมา

แม้จะมีความพยายาม “รีบจบ” ไม่ให้รอยร้าวขยายใหญ่ออกไป

แต่เจ็บครั้งนี้พี่ใหญ่คงไม่ลืมง่ายๆ

และอาจทำให้เก้าอี้ นพ.ธีระเกียรติในอนาคตไม่มั่นคงนัก

ทั้งนี้ ให้จับตา ป.ป.ช. ที่กำลังตั้งแท่นรอสอบสวนการซุกหุ้นสัมปทานของ “หมอธี” ให้ดี

งานนี้อาจมีการใช้องค์กรอิสระที่สนิทกับพี่ใหญ่ “เอาคืน”