การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ สิ่งเดียวที่จะแตกพราว 

“แม่เป็นยังไงบ้าง”

พร้อมกับคำถาม วงแขนก็อ้าเปิดออก รั้งให้หย่อนก้นลงบนตัก

แสงแดดกำลังส่องเข้ามาจากหน้าต่าง เห็นฝุ่นฟุ้งวนอยู่ในลำแสง ฉันเพิ่งสังเกตว่า มีต้นไม้ใบเขียวมาใหม่ในโหลแก้วโปร่งใส

บนชั้นหนังสือ

โอบรอบคอนั้นไว้ ไม่เคยรู้สึกว่าไม่อยากจะพูดอะไรเท่าวันนี้มาก่อนเลย

ซุกหน้าลงไปอีก จนรู้สึกถึงกลิ่นเหงื่อที่คุ้นจมูก และในความหยาบกร้านของผิวเนื้อก็ทำให้รู้สึกปลอดภัย

ใช่…ปลอดภัยอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อนเช่นกัน

“มีอะไร”

น้ำเสียงฟังนุ่มนวล แต่ก็มีปลายที่แปร่งปร่า

ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร

แต่ก็นั่นเอง มันคงจะดี…ต้องดีอยู่แล้วล่ะ ถ้าจะเป็นเช่นนั้น

ขดตัวเข้าไปอีก รัดแขนแน่นเข้าอีก จนกระทั่งร่างกายแทบจะจมหายไปกับอีกร่างที่ใหญ่โต

“ไปข้างบนกันเถอะ”

“หือ?” กลับมีเสียงสงสัย “มีอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไร” ฉันโอบเอาคอหนาๆ นั้นไว้ ตาที่ยังปิดสนิทคิดถึงใบแดงอีกเป็นร้อยเป็นพัน

ฉันแค่ต้องยังคิดถึงมัน

“หนูอยากให้พี่เอา”

 

ฉันเรียนรู้มาเรื่อยๆ แล้วว่า ในบางถ้อยวาจา ยิ่งดิบดำเท่าไหร่ ยิ่งกลายเป็นสิ่งเร้าอารมณ์ ไม่ผิดหวังเลยเมื่อร่างสูงใหญ่เกร็งขึ้นในชั่วขณะ

แม้แต่เสียงในลำคอก็ยังพร่าแหบทันควัน

“ตอนนี้เลยหรือ”

“ตอนนี้”

“เฮียเพิ่งจะเปิดร้านเอง”

“ก็ไม่เป็นไรนี่ ไม่มีคนมาหรอก”

ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่ฉันกลายเป็นคนพูดจาเลี้ยวลดคดเคี้ยว โต้ตอบได้ทุกสิ่งอัน มันคือสิ่งที่จำมาจากพี่โฟ หรือเกิดขึ้นเพราะประสบการณ์ที่ผ่านมา แต่มันจะเพราะอะไรก็ช่าง

ความแข็งกระด้างที่ดุนผ่านกางเกงขึ้น ก็คือคำตอบ

“งั้นก็ไปกัน”

“พี่อุ้มหนูสิ”

ลมหายใจหนักๆ เป่าผ่านข้างแก้ม รู้สึกได้ถึงการช้อนตัวอย่างรวดเร็ว ฉันถูกยกลอยขึ้นไป ดั่งจะได้โบยบิน ยินเสียงบันไดลั่นตามการก้าวเดิน

ทุกๆ จังหวะย่างเดิน ฉันยังคงหลับตา

 

“อีพี่”

พี่โฟยืนท้าวสะเอวอยู่ข้างตีนสะพาน จุดที่รถบัสจอดให้ลง

“มึงแน่ใจนะ ว่าจะแฮ่นไปหามัน”

“อือ” ฉันพยักหน้าตอบอย่างมั่นใจ “พี่หายดีแล้วนี่ กลับหอคนเดียวคงได้กระมัง”

“กูไปได้อยู่แล้ว” พี่โฟเสียงแข็ง “แต่มึง…มึงยังตัวเท่านี้ จะสลิดดกทำไมขนาดนี้ กูไม่เข้าใจ”

ฉันเงียบเสีย

“ถ้าแม่มึงรู้…”

“ฉันบอกแม่แล้ว” ตัดบทอย่างรวดเร็ว

พี่โฟเบิกตา

“บอกอะไรอีพี่”

“บอกแม่ว่าฉันเยียะ_ีกับมันแล้ว เขาว่างวันไหนค่อยพาไปใส่ผี”

พี่โฟจ้องหน้าฉัน ราวว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย

“พี่ไปเถอะ ฉันจะเรียกรถแดงเหมือนกัน”

พลางยัดใบแดงใส่อุ้งมือไปสองใบ ซึ่งแม้จะยังทำสีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ฟัง หากก็งุ้มมือกำสตางค์อย่างรวดเร็ว

อดแค่นยิ้มไม่ได้

ยังต้องพูดอะไรกันอีก

“คืนนี้ฉันอาจจะไม่กลับนะ”

พี่โฟนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงที่ต่างไป

“มึงระวังตัวดีๆ แล้วกัน ยังไงก็อย่าลืมว่ากูน่ะเป็นพี่มึง”

 

ในห้องนอนไม่ค่อยมีกลิ่นฝุ่น ฉันสังเกตได้อีกอย่าง และรอจนกระทั่งหลังแตะลงบนฟูกนอน จึงค่อยๆ เปิดเปลือกตา

ใบหน้าที่เคยมีหนวดเคราครึ้มหนา กลับเหลือเพียงไรเขียวๆ รอบปากและคาง ตาสีนิลลึกกระจ่าง

“คิดถึงเฮียมากเลยหรือ”

พยักหน้าเพียงนิดเดียว

“มั้ง…” แล้วส่ายหน้า “…ไม่รู้”

“ทำไมถึงไม่รู้?”

อย่างจู่โจม มือล้วงตะปบเข้ามา และแค่ดัน กระดุมเม็ดเดียวก็หลุดรัง ซิปถูกรั้งลงตาม

เสียงหายใจหนักหน่วงแทบจะพ่นออกปาก

ฉันไม่ได้สวมอะไรอีก

“แม่หายดีแล้วใช่มั้ย”

“พี่ไม่ต้องถาม!”

“นี่ยั่วเฮียใช่มั้ย!”

“…หนูไม่…”

“งั้นมานี่เลย….มาเลย!”

มือแข็งดึงเส้นผมฉัน และต้นขาแน่นหนั่นก็เปลือยเปล่าบ้าง

 

[…ฝนมาแล้ว**(1)

ฉันได้ยินเสียงลมพัดวู่หวิวมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

เมฆดำลอยแผ่มาบดบังความงามของท้องฟ้าจนหมดสิ้น

เสียงฟ้าลั่นดังครืนคราง ตามมากับแสงอันแปลบปลาบ

ความร้อนอ้าวทวีขึ้นจนแทบทนไม่ไหว

ครั้นแล้วฝนก็ตกลงมา หนักและนาน ราวกับจะชำระล้างความร้อนแรงและความสกปรกให้หมดสิ้นไปจากพื้นแผ่นดิน]

 

“โอย ดี!…ดีมาก!”

ขาของนายจ้างแทบสั่นระริก ขนหยาบงอสากระคายใต้ฝ่ามือ ด้วยการแหงนเงยและยังคงหลับตา ฉันพยายามจะจรดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องหน้า

มันจะต้องดีกว่านี้

ดีพอสำหรับเราทุกคน

จนกระทั่งถอนปากออก เกือบได้ยินเสียงครางยาวอย่างสาสมใจ แล้วในไม่ช้า มือหนักก็ผลักฉันจนชิดขอบเตียงใหม่

“อายุเท่าไหร่กันแน่เรา ทำได้ขนาดนี้!”

ฉันปล่อยเสียงจากลำคอบ้าง

หลายครั้ง ที่ฉันรู้แล้วว่า นายจ้างจะดาลใจยิ่งขึ้นถ้าฉันทำเสียงเหมือนลูกสัตว์ตัวเล็กๆ

ซึ่งวันนี้แทบไม่ต้องปั้นแต่ง พลันเมื่อรับเรี่ยวแรงที่โถมเข้ามา ฉันก็รู้ว่าตัวเองคือสัตว์บาดเจ็บตัวหนึ่งจริงๆ

“…เฮีย!!” ฉันกรีดร้องออกปาก

“ทำไม!”

ไม่มีการผ่อนปรนอะไรอีก รวดร้าวไปตลอดทั้งร่าง จนเหมือนสองขาจะฉีกออกจากกัน…ที่ทะลักหลั่งเป็นฟองพราย อาจจะเป็นสายเลือดเคล้าปนด้วยก็ได้

แต่ก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัว

ฉันเคยกลัวมาอย่างมากมายก่อนหน้านี้

เพื่อที่จะพบว่ามันไร้สาระหมดทั้งสิ้น

แค่ยอมรับที่จะถูกดื่มกิน ปล่อยปลายลิ้นจาบจ้วงทะลวงเข้ามา และอ้ารับทุกสิ่งอัน

“ชอบให้เฮียเอาแล้วรึ! ชอบแล้วรึ!”

เสียงข้าวของบนโต๊ะสะเทือนไหว ตัวฉันโยกโยนแกว่งไกว เอวลอยสูงขึ้น และสูงขึ้น

 

[ฉันได้ยินเสียงน้ำไหลลิ่วลงมาจากขุนเขาและป่าไม้

มันซึมแทรกมาตามพื้นดินอันแห้งผากและแตกระแหง

ธารน้ำกว้างขึ้นและตลิ่งต่ำลง

ปลาซึ่งวางไข่แล้วและลูกกำลังเติบโตอยู่ตามแอ่งและบ่อลึก พากันผุดว่ายออกไปสู่บริเวณอันกว้างขวาง และยังน้ำอันไกลลิบ

ครั้นแล้ว แผ่นดินก็เต็มไปด้วยความชุ่มชื่นและรื่นรมย์

ฉันได้ยินเสียงกระซิบมาจากที่ราบกว้างสองฟากฝั่งลำน้ำสีทอง…]

“อีพี่ อีแม่มึงเป็นอะไร ทำยังกับเป็นผีเป็นพราย กูเห็นจนเป็นกลัว ไม่อยากสู้หน้า”

พี่โฟถามขึ้นมา ระหว่างนั่งบนรถบัสกลับเข้าเชียงใหม่

ลมแรงพัดเข้ามาในช่องหน้าต่าง กลิ่นสาบเบาะหนังเก่าๆ ยังชวนคลื่นเหียนไม่เปลี่ยนแปลง

“ไม่รู้”

เพียงตอบตัดบทออกไป

“แล้วมึงเล่า เป็นอะไร แป๋งหน้าเส้าหน้าหมอง เงินทองก็เริ่มมีแล้วไม่ใช่รึ ไอ่ตัวนั้นมันหลงมึงเสียละทั้ง”

“เขาก็ดีกับฉัน”

“แล้วมึงจะมาบ้านอีกเมื่อไหร่ อีพ่อว่าอีกไม่นานจะมีงานปอยหลวง”

“ยังไม่รู้”

 

ใช่ ฉันยังไม่รู้ ไม่อาจรู้อะไร ไม่อาจรู้ทั้งนั้น

ในยามที่มีแต่ตัวฉัน เป็นเจ้าของตัวเอง บรรเลงจังหวะดนตรีด้วยเตียงที่ไหวสั่น กับทุกอย่างเหล่านั้น ที่ระรัวประสานกันเป็นท่วงทำนอง กึกก้อง…

แต่ฉันควรไยดีมันหรือ ควรหรือ กับอนาคตที่มองไม่เห็น

ตอนนี้สิ่งที่ดีสุด คือการไปถึงจุด…จุดหนึ่ง ซึ่งควรเป็น

[ข้าวกล้าสีตองอ่อนผุดแทรกแผ่นดินขึ้นมา ไหล่ต่อไหล่ แลดูมันละเลื่อมอยู่กลางแสงแดดของอรุณรุ่ง

ลูกนกเล็กๆ จากรังบนกิ่งโสนและพงหญ้าเริ่มโผผินบินไปมา

สีน้ำตาลแห้งของแผ่นดินได้หมดสิ้นไป

ป่าไม้และขุนเขาที่อยู่เหนือเส้นขอบฟ้า ดูเป็นสีเดียวกับสีของที่ราบกว้าง…]

 

“หนูไม่ไหวแล้วพี่! ให้หนูตายเสียทีเถอะ! ให้หนูตายเถอะ!”

ฉันกรีดร้องออกมาจนสุดคอจะเปล่งเสียงได้ สัตว์ตัวเล็กๆ ตัวนั้นกำลังใช้เล็บแหลมคมของมันตะกุยตะกาย แต่มันอยู่ข้างใน หรือตัวฉันอยู่ลึกเข้าไปอีก

เพียงสำนึกว่า ในซอกรูที่กำลังจะปริฉีก ฉันแค่ขอปลดปล่อยความรู้สึกจริงๆ สักครั้ง

เขี้ยวขบลงอีกอย่างรุนแรงบนกล้ามแขน สัมผัสแรงรัดแนบแน่น แผ่นอกของนายจ้างมีเหงื่อพรั่งหลั่งไหล ฉันอาจกำลังจะเข้าใกล้ความตาย และจดจ่อจะรอความมืดดำเหล่านั้น เพราะรู้ว่าในปลายทางนั่น แล้วฉันจะได้พบพลุดาวสกาว มันเป็นสิ่งเดียวที่จะแตกพราว

ส่งฉันสู่สรวงสวรรค์


—————————————————————————
(1) บทกวีของ ราช รังรอง จากเล่ม ขอบกรุง