การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ – ที่จะทำให้เราเสมอกัน

เสียงรถเครื่องรับจ้างครางกระหึ่ม ดูเป็นสิ่งที่แปลกแยกไปจากทุกสิ่งอัน…ในหมู่บ้านที่เงียบสงบ พี่โฟกำลังยื่นสตางค์ให้กับคนขับ ซึ่งรับไปอย่างรวดเร็ว ฉันตวัดขาข้ามลงบ้าง พี่สาวร่วมพ่อส่งสัญญาณว่ารวมจ่ายให้แล้ว จึงค่อยหมุนตัวไปหาประตู

ประตูรั้ว…ซึ่งไร้บานอย่างที่เคยเป็น มีเพียงซี่ไม้ไผ่สานไว้โย้เย้ ดอกบานบุรีและพวงแสดพัวพันกันอยู่ ดอกเหลืองคงบานทุกฤดู แต่พวงสีส้มต้องรอหน้าร้อนจึงจะมี

ฉันยังจดจำมันได้ เช่นเดียวกับเถาอัญชันที่เลื้อยระไปอีกฟากหนึ่ง ร่มเงามะขามต้นสูง มีไม้แป้นพาดต่อตีนเป็นตั่งนั่ง กับทางลงตลิ่งตรงนั้น ที่มีกอปักษาสวรรค์ขึ้นเป็นดง

แล้วฉันก็เห็นแม่…

แม่ผู้มีใบหน้าเฉยเมยมากกว่าที่เคยคิดไว้เสียอีก กับแววตาว่างเปล่าเมื่อมองมา

พ่อเสียอีก ที่กระตือรือร้นส่งยิ้มกว้างเข้ามาหา

“มากันตั้งแต่เมื่อไหร่!”

“ก็มาเมื่อเห็นนะซี” พี่โฟโต้ตอบทันควัน และจากคนที่เคยดูซึมเซาขาดไร้ชีวิตชีวา เหมือนยางรถถีบได้ลมเติมใส่ ค่อยๆ หน้าชื่นตาใส

แววตาจ้องดูแม่อย่างสนใจใคร่รู้

“อีแม่มันเป็นหยังอีพ่อ”

“ก็บ่เป็นหยังนี่” พ่อตอบ

“อ้าว ไหนว่าขาหัก” พี่โฟเบิ่งตา “ถ้าไม่ได้เป็นอะไร จะเรียกพวกข้าเจ้ากลับมาทำไม!”

พ่อหัวเราะ

“ถ้าไม่บอกไปอย่างนั้น จะกลับมากันรึ”

 

วงข้าวดูสรวญเสเฮฮาเป็นยิ่งนัก คงเพราะมีเหล้าแดงวางเด่นอยู่เป็นครึ่งขวด และแก้วอีกสองใบ คนในวงผลัดกันจิบ รินส่งให้กัน อาหารเป็นผัดกะเพราปลาหมึกสีขาวอ่องต่อง กับลาบไก่ เป็นพี่โฟที่แสดงฝีมือให้อย่างเต็มที่ ปลาหมึกนั้นก็เงินของฉันที่ควักจ่ายไป

“เอาปลาหมึกเลย อีพี่” พี่โฟบอก ทันทีที่ลงจากรถบัสแล้วเข้าในตลาดกันชั่วครู่

“บ่แพงหรอก ของมันมาไกล” ไม่พูดเปล่า ยังหยิบเอาๆ ใส่ตะกร้าพลาสติกส่งให้แม่ค้า “อีพ่อมันชอบ แม่มึงก็มัก ธรรมดาคงไม่ค่อยได้กินกันหรอก”

“ก็ตามใจพี่” ฉันคร้านจะต่อความไป

“เอาไก่ไปอีกตัว” เดินผ่านแผงที่มีไก่บ้านแบะอกวางขาย พี่โฟรี่เข้าไป พอแม่ค้าบอกราคาก็นิ่วหน้า

“หยังมาแพงแท้แพงว่า แต่ก็เอาเถอะ นานๆ มาที”

“ที่บ้านก็มีมั้งพี่ ไก่น่ะ” ฉันยังจำได้ว่า แม่มักจะเลี้ยงไก่ไว้เสมอ ทั้งกินไข่และกินตัว

“ค่ำแลงป่านนี้ ใครจะมามัวจับไก่ เอาไปสักตัว เดี๋ยวจะทำลาบลำๆ ให้กิน รับรองไม่มีใครเหมือน”

แม่ค้าหยิบไก่ใส่ถุงแซ่วส่งให้ ฉันยื่นมือรับ อุตส่าห์ว่าจะช่วยถือของให้บ้าง หากพี่โฟส่งเสียงบอก

“จ่ายสตางค์เขาก่อนซี”

“อ้าว…” ฉันมองหาพี่สาวร่วมพ่อ

“จะอ้าวจะแอ้วอะไร กระเป๋ากูอยู่ที่มึง จกเอาจ่ายไปก่อน”

ไม่อยากจะต้องมาถกเถียงกันต่อหน้าคนอื่น ฉันควักใบแดงออกไปอีกใบ สุดท้าย พี่โฟหิ้วข้าวของพะรุงพะรังเต็มมือ ก่อนจะพาไปขึ้นรถเครื่องรับจ้างที่ท่า

ถึงบ้าน ก็ทำราวว่าตัวเองเป็นคนซื้อหาของทั้งหมดมาให้ เปลี่ยนจากผีแห้งซังกะตายมาเป็นสาวสวยทันสมัย ผู้ที่เพิ่งกลับมาจากเวียงเชียงใหม่มาเยี่ยมบ้านนอก

 

คนที่มากินเหล้าและกินข้าวร่วมโตก ใช่จะมีเพียงในครอบครัวเท่านั้น เป็นพี่โฟอีก ที่ออกไปเชื้อเชิญคนบ้านใกล้ กับลูกพี่ลูกน้องกันอีกสองสามราย ซึ่งเมื่อมีคนทยอยขึ้นเรือนมา แม่ก็ยิ่งมีสีหน้าสงบจนน่ากลัว และพอแก้วเหล้าวนส่งต่อกันมากกว่าสามรอบ แม่ก็บอกว่าอิ่มแล้ว และลุกออกวงไป

มีอะไรบางอย่างกระตุกอยู่ในใจของฉัน มันไม่อาจจะบอกได้เป็นคำพูด เพราะก็ไม่รู้ด้วยว่าควรพูดมันกับใคร

“จะไปไหน อีพี่” พี่โฟถามทันควัน เมื่อเห็นฉันลุกบ้าง

“อิ่มแล้ว” ตอบออกไป “จะลงไปข้างล่าง”

“ลงไปทำไม”

“ไปดูแม่หน่อย”

“อ้อ” พี่โฟพยักหน้าอย่างแล้วใจ “มึงไปดูหน่อยก็ดี อีแม่มันดูเครียดๆ อะไรไม่รู้ กูก็ยังไม่ได้ทักทายอะไรมาก มัวแต่ทำกับข้าว หรือว่าไม่ถูกปาก”

พูดเหมือนนกแก้วนกขุนทอง แล้วก็หันไปสนใจอย่างอื่นต่อ…เป็นพี่โฟคนเก่าที่หวนกลับมา

พี่โฟคนเก่า…ที่บางครั้งฉันอดคิดไม่ได้ว่า เวรกรรมอันใดให้ต้องเกิดมาเป็นพี่น้องกัน

 

ข้างล่างใต้ถุนยังมีกลิ่นที่คุ้นจมูก…มากเหลือเกิน จนเหมือนมีแมลงตัวเล็กๆ ชอนไชอยู่ในอกเสื้อ มันเป็นกลิ่นฝุ่นปะปนกับกลิ่นขี้ไก่ กลิ่นใบไม้แห้ง กลิ่นหญ้า กลิ่นเสื้อผ้าที่สาบเหงื่อไคล ซึ่งพาดอยู่บนราวไม้ไผ่ รั้งแขวนไว้ด้วยเส้นลวดเคลือบสนิม

ยินเสียงจากฝายไหลเบาๆ ถ้ามองไปตรงนั้น จะมีต้นผักกุ่มและต้นมะเดื่อ ส่วนตรงโน้น กอไผ่ที่เคยไหวใบอยู่ทุกค่ำคืนวัน

…นี่ฉันจากไปนานแค่ไหนแล้ว

ไม่เคยคิดว่ามันนาน จนกระทั่งเมื่อย่างเท้าอยู่ในบริเวณบ้าน ถึงได้รู้สึกจริงๆ ว่า

เวลาช่างรวดเร็วเหลือเกิน

ได้ยินเสียงไอแห้งๆ เบาๆ มาจากมุมหนึ่งของใต้ถุน

“…อ้าว แม่”

ฉันคิดไว้แล้วว่า แม่จะต้องลงมาอยู่ข้างล่าง แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ แม่ดูบอบบาง เหลือตัวเล็กนิดเดียวในความมืดสลัว

เล็กกว่าครั้งสุดท้ายที่เราได้พูดกัน

[“ทำอะไรซุ่มมืดตรงนี้”

วันที่ฉันอยู่ใต้ถุน นั่งห้อยขาบนแคร่ แม่ขยับเข้ามายืนเยื้องอยู่ จุดสีแดงเกิดขึ้นวาบๆ มูลีมวนใหญ่ให้กลิ่นและควันฉุนแรง

“ดูน้ำ”

“เห็นอะไรรึ” แม่ว่า ขยับมาด้านหน้าอีกนิด “มีแต่มืด”

ฉันนิ่งไม่ตอบคำ สักพักหนึ่ง แม่พูดต่อว่า

“แล้วนี่ออกบ้านเขามา มีอะไรติดตัวมาบ้าง”

หัวใจฉันเจ็บเหมือนเข็มแทงขึ้นอีก มองไปให้ไกลที่สุด ยังความมืดที่สลัวเลือนราง

“ก็บอกแล้ว! มีอยู่สามร้อย”

แม่เงียบไป ยิ่งนาน ฉันก็รู้สึกถึงเข็มปักลึกเข้าเรื่อยๆ

“แต่แม่ไม่ต้องห่วงหรอก แค่อยากมาเยี่ยมบ้าน เดี๋ยวก็ไปแล้ว”

“จะไปไหนล่ะ” แม่ถาม

“ข่าวว่าจะมีเขื่อน”

แม่เอ่ยขึ้น หลังนิ่งเงียบกันไปอีกพักใหญ่ บุหรี่ยังส่งสีแดงวาบ และให้กลิ่นฉุนไม่ขาดสาย

“จะรับจ้างเอางานก็ได้อยู่มั้ง พ่อหลวงว่าใครอยากทำก็ไปลงชื่อไว้”

เป็นข่าวลืออยู่นานหลายปีแล้ว เรื่องจะมีเขื่อนในลำน้ำใหญ่ กินอาณาบริเวณกว้างขวางไปทางทิศตะวันตก และคนในตำบลต่างๆ ก็หวังว่าจะมีงานทำ มีรายได้เพิ่มมา

“เขาทำอะไรกันหรือที่เขื่อน” ฉันถามไปส่งๆ เข็มคมยังปักลึกลง ลึกลง ทุกที

“คงรับหลายอย่างละ หมู่ผู้หญิงเป็นคนเก็บหินเก็บดินก็ได้ เห็นพ่อแก่พ่อแคว่นเขาว่ากัน ได้เป็นรายวันยังดีกว่าอยู่ว่างๆ”

“ฉันไม่ได้ว่างหรอก”

เหลียวหน้า สบตากับแม่จังๆ และยังเห็นแววตากันชัดแม้จะมืดแค่ไหน

“บอกแล้วว่าแค่มาชั่วคราว มีงานที่ติดต่อไว้แล้ว”

“โฟมันบอกว่า…”

“บอกว่าอะไร” ฉันกระชากเสียง

“…ช่างมันเหอะ” แม่กลับหยุดคำพูดเสีย “ไปตกเคราะห์ตกขึดมา ถ้ายังไม่ไปง่าย จะให้พ่อทำสะตวงส่งให้”

“มึงไปอยู่ไหนมาอีพี่…” พี่โฟกระชากเสียงถาม

“อีแม่ว่ามึงไปบ้านมาหนหนึ่ง กูก็ว่ามึงไปอยู่ทางหางดงโน้น แต่พอกูไปถามหา เขาก็ว่ามึงออกบ้านเขาไปแล้ว”

“พี่ไปหาฉันด้วยหรือ”

“เออสิ แม่มึงนั่นล่ะ ห่วงมึงจะเป็นบ้าเป็นว้อ หาว่ากูปล่อยมึงไปอยู่กับใครไม่รู้…กูก็ว่าฝากมึงไปทำงาน แล้วมึงไม่อดทนเอง”

“ก็บ้านเจ๊หม่วยมัน…”

“เออๆ ไม่ต้องพูดแล้วเรื่องนั้น มึงจะให้กูพูดกับแม่มึงยังไงเล้า มันจะยิ่งด่ากูละไม่ว่า มึงโผล่มาก็ดีแล้ว…รู้มั้ย แม่มึงมันจะเป็นประสาท กลัวมึงไปตกอับตกจน”

“…แม่ห่วงฉันจริงหรือ”

“ยังจะถามอีก!” พี่โฟกระแทกเสียง

“มึงมันลูกรักลูกใคร่เขานี่ หยั่งกูนี่ไม่ว่า หายไปเป็นปีๆ เขาก็ไม่เดือดร้อนหรอก!”]

นั่นคือคำพูดกับเรื่องราวเหตุการณ์ที่เคยผ่านมา ทว่า ขณะที่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปรวดเร็ว แต่บางอย่าง…กลับเหมือนแค่หลับชั่วคืน พอตื่น ก็พบว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเก่า

 

ยังมีหนามแหลมเล่มเก่า…ความทรงจำเดิมๆ และตัวฉัน ที่พลันสำนึกได้ว่า เหมือนไม่เคยจากไปไหน

หากจะมีหลุมหล่มอะไรสักอย่างที่ตรึงรัดฉันเอาไว้ นั่นก็คือสายตาคู่เบื้องหน้านั่นเอง

[ครั้งหนึ่ง แม่เคยสอนฉันว่ามะม่วงผลที่อร่อยที่สุดนั้นย่อมอยู่บนยอดต้น** (1)

เราจะนั่งคอยอยู่ใต้ต้นเพื่อให้มะม่วงผลนั้นหล่นลงมาหาเรานั้นหาได้ไม่

เมื่อเราปรารถนา เราย่อมจะต้องป่ายปีนขึ้นไปเด็ดมันลงมา

แต่จะต้องเสี่ยงต่อการกัดของมดที่เฝ้าแหน และการพลาดพลั้งที่จะตกลงมายังที่เดิม…]

บทกวีของราช รังรอง แว่วเข้ามาในหัวอีกอย่างช่วยไม่ได้ ในวาระที่ไม่รู้จะเปิดปากพูดคำใด เมื่อเสียงไอของแม่หยุดลง ได้ยินแต่เสียงน้ำไหลจากฝาย เกลื้อคลออยู่ในความเงียบ

ไม่หรอก แม่ไม่เคยสอนสิ่งใดให้กับฉัน จนถึงวันจากลาและลับหาย ฉันเคยแอบคิดว่า แม่จะบอกให้ใครสักคนไปติดตามถามหาฉันบ้าง แต่ก็ไม่…ยามที่โฟพูด คงแค่อยากจะด่าประชดเท่านั้น ทำไมฉันจะไม่รู้ได้

ดูเอาเถอะ ในแววตาที่เยียบเย็นและหมางเมิน หรือในการเดินเหินแคล่วคล่องของแม่ตอนลุกจากวงข้าว เป็นยิ่งกว่าการบอกกล่าวว่า ที่ฉันกลับมาก็เพราะคำพูดของพ่อ

และแค่พ่อ ที่อยากจะให้พวกเรากลับมา

[แต่ฉันจะไม่เดินไปหาลำธารสายนั้น

แม้ฉันจะฝันถึงมันมาเป็นเวลานานนับปี

ฉันจะไม่รอคอยให้ลำธารสายนั้นไหลมาดับความแห้งแล้งที่เกิดขึ้นรอบร่าง

แม้ฉันจะทนทรมานมานับครั้งไม่ถ้วน

และฉันจะไม่ฝันถึงลำธารสีฟ้านั้นต่อไป

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…]

“แม่…” ฉันตัดสินใจในที่สุด

หากจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่จะทำให้เราเสมอกัน สิ่งนั้นก็คือ…หนามแหลมข้างในตัวฉัน

“ต่อไปคงไม่ได้มาบ้านแล้วนะ ได้มาหนนี้ก็ดีเหมือนกัน”

นั่นไง เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ยินเสียงถามเรียบๆ กลับมา

“ทำไม มึงจะไปอยู่ไหนอีก”

“ฉันเอาผัวแล้วล่ะ จะต้องช่วยเขาอยู่เฝ้าร้านหนังสือ”

———————————————————————————
(1) บทกวีของ ราช รังรอง จากเล่ม ขอบกรุง