จีนสมัยราชวงศ์หยวนและหมิง (12) หลังยุคกุบไลข่าน

วรศักดิ์ มหัทธโนบล

เงาตะวันออก | วรศักดิ์ มหัทธโนบล

 

จีนสมัยราชวงศ์หยวนและหมิง (12)

 

หลังยุคกุบไลข่าน

จนถึงการล่มสลาย (ต่อ)

จนเมื่อยึดเมืองป๋อโจวของมณฑลอันฮุยได้แล้ว เขาก็ตั้งหันหลินเอ๋อร์บุตรชายของหันซันถงให้เป็นกษัตริย์ปกครองเมืองนี้ ชื่อกษัตริย์ของหันหลินเอ๋อร์คือ เสี่ยวหมิง (แสงสว่างดวงน้อย) และมีชื่อราชวงศ์ว่า ต้าซ่ง ใน ค.ศ.1355

ชัยชนะของกลุ่มกบฏในครั้งนี้ทำให้จักรพรรดิซุ่นตี้หรือโตกอน เตมูร์ข่าน ทรงเรียกร้องให้เหล่าผู้มั่งมีช่วยจัดตั้งกองกำลังขึ้นมาต่อสู้กับกลุ่มกบฏ

โดยใช้ยศศักดิ์มาเป็นแรงจูงใจให้กับเหล่าผู้มั่งมี ว่าหากระดมกำลังมาได้ห้าหมื่นจะได้ยศศักดิ์ วั่นฮู่ (จมื่น) หนึ่งพันจะได้ เชียนฮู่ (นายพัน) และหนึ่งร้อยจะได้ ไป่ฮู่ (นายร้อย)

ผลคือ มีเจ้าที่ดินจำนวนหนึ่งทั้งที่เป็นชาวมองโกลและชาวจีนให้ความร่วมมือ

 

แต่ผลในด้านกลับคือ เจ้าที่ดินเหล่านี้ได้กลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของกลุ่มกบฏไปโดยปริยาย แต่กระนั้น ก็ยากที่จะต้านทัพกบฏได้โดยง่าย ด้วยใน ค.ศ.1357 หลิวฝูทงนำทัพกบฏบุกขึ้นเหนือโดยแบ่งเป็นสามสาย

สายหนึ่งมุ่งไปยังตะวันออกเพื่อยึดมณฑลซันตง ในสายนี้หากยึดได้ก็จะเป็นช่องทางบุกเข้ายึดเมืองหลวงต้าตู

สายต่อมาเป็นสายภาคกลาง สายนี้จะข้ามแม่น้ำเหลืองเพื่อบุกเข้าตีมณฑลซันซีเพื่อยึดเมืองต้าถง

และสายที่สามเป็นสายตะวันตกเพื่อบุกเข้ายึดมณฑลสั่นซีแล้วเข้าควบคุมมณฑลซื่อชวน กันซู่ และหนิงเซี่ย

ทั้งสามสายนี้ทัพกบฏทำได้สำเร็จด้วยดี ครั้นพอปีถัดมาก็สามารถยึดไคเฟิงเมืองหลวงเก่าของซ่งได้อีก

 

ดูไปแล้วทัพกบฏน่าจะโค่นล้มหยวนได้ไม่ยาก แต่การหาเป็นเช่นนั้นไม่

ด้วยเอาเข้าจริงแล้วทัพกบฏใช้วิธีจรยุทธ์เช่นนี้ไปเรื่อยๆ หาได้ปักหลักในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งให้มั่นคงไม่ อีกทั้งยังไม่ร่วมมือกับกบฏกลุ่มอื่นๆ อีกด้วย ที่สำคัญคือ หลิวฝูทงมิใส่ใจกับกองกำลังที่มาจากการระดมของเหล่าผู้มั่งมีหรือเจ้าที่ดิน จนกองกำลังเหล่านี้สามารถปิดล้อมเมืองไคเฟิงไว้ได้ และสามารถทำลายยุทธศาสตร์สามสายของหลิวฝูทงได้สำเร็จใน ค.ศ.1362

ทำให้หลิวฝูทงจำต้องตีฝ่าวงล้อมออกจากเมืองไคเฟิงแล้วหนีไปยังเมืองอันเฟิง ซึ่งปัจจุบันคืออำเภอโซ่ว (โซ่วเสี้ยน) ในมณฑลอันฮุย และสิ้นชีพใน ค.ศ.1363 ถึงตอนนี้หันหลินเอ๋อร์ก็ตกอยู่ในการคุ้มครองของขุนศึกกบฏคนหนึ่งคือ จูหยวนจัง (ค.ศ.1328-1398)

โดยเขาได้พาหันหลินเอ๋อร์หนีไปยังเมืองฉูโจวของมณฑลอันฮุยในปัจจุบัน

ในช่วงนี้ทัพกบฏโพกผ้าแดงได้รับชัยชนะในพื้นที่ทางภาคเหนือ ในขณะที่ทางภาคใต้ก็เกิดกบฏกลุ่มต่างๆ ขึ้นมาอีกหลายขบวนการ

กลุ่มที่มีบทบาทสูงกลุ่มหนึ่งคือ กลุ่มที่นำโดยสีว์โซ่วฮุย (มรณะ ค.ศ.1360)

 

กบฏกลุ่มนี้ได้รับการสนับสนุนจากนิกายเมตไตรย และเริ่มปฏิบัติการใน ค.ศ.1351 ที่เมืองฉีโจว (ปัจจุบันคือเมืองฉีชุนในมณฑลหูเป่ย) สีว์โซ่วฮุยเดิมทีเป็นพ่อค้าขายผ้า เป็นคนฉลาดและซื่อตรง และเป็นหนุ่มรูปงาม

สาเหตุที่เขาตั้งตนเป็นกบฏก็เพราะถูกกดขี่ขูดรีดจากข้าราชการของหยวน หลังเป็นกบฏแล้วก็มีผู้เข้าร่วมด้วยมากมายจนได้เป็นสาขาหนึ่งของกบฏโพกผ้าแดง

อย่างไรก็ตาม หลังยึดฉีโจวได้แล้วเขาก็บุกยึดอีกหลายเมืองสำคัญในมณฑลเจียงซี เจ้อเจียง และซื่อชวน จากนั้นก็ตั้งตนเป็นใหญ่ พร้อมกับตั้งราชสำนักและกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ขึ้นมา ทั้งๆ ที่เมืองที่เขายึดได้นั้นเป็นเพียงเมืองเล็กๆ เท่านั้น

วันหนึ่งสีว์โซ่วฮุยได้สมาชิกใหม่คนหนึ่งชื่อ เฉินโหย่วเลี่ยง (ค.ศ.1320-1363) เขาผู้นี้มีภูมิหลังเป็นชาวประมงจากเมืองเหมี่ยนหยัง (ปัจจุบันคือเมืองเซียนเถาในมณฑลหูเป่ย) และเคยเป็นเสมียนอำเภอมาก่อน

จนเมื่อทัพกบฏของสีว์โซ่วฮุยผ่านมายังเมืองที่เขาอยู่ เขาจึงเข้าร่วมด้วย เนื่องจากเป็นคนรู้หนังสือและรู้จักวางแผน เขาจึงได้รับความไว้วางใจจากสีว์โซ่วฮุยในเวลาต่อมา

แต่หลังจากที่สีว์โซ่วฮุยตั้งตนเป็นใหญ่ได้ไม่นาน เมืองที่เขาอาศัยอยู่ก็ถูกทัพหยวนตีจนแตก ตัวเขาหนีไปปักหลักได้ที่เมืองฮั่นหยัง ซึ่งปัจจุบันยังคงชื่อนี้อยู่ในมณฑลหูเป่ย ในระหว่างนี้ได้เกิดการช่วงชิงการนำภายในทัพกบฏ แต่ผู้ก่อการกระทำไม่สำเร็จจนต้องหนีไปอาศัยกับเฉินโหย่วเลี่ยงที่เขาเคยให้การอุปถัมภ์

โดยเบื้องหน้าแล้วเฉินโหย่วเลี่ยงให้การต้อนรับด้วยสำนึกในบุญคุณแต่เก่าก่อน แต่พอตกกลางคืนเขาก็บุกเข้าสังหารผู้มีพระคุณนี้แล้วตัดศีรษะส่งไปให้สีว์โซ่วฮุย

จากเหตุนี้ เขาจึงได้รับความดีความชอบอย่างถึงขนาดด้วยการได้อยู่ใกล้ชิดกับสีว์โซ่วฮุย

 

การได้ความดีความชอบของเฉินโหย่วเลี่ยงกลับเป็นเสมือนสัญญาณร้าย เมื่อเขาทำให้ทุกคนเห็นถึงความเหนือกว่าสีว์โซ่วฮุย จนสีว์โซ่วฮุยที่ตั้งตนเป็นจักรพรรดิต้องยอมอยู่ใต้บังคับของเขา

จนวันหนึ่งในขณะที่ทัพกบฏได้หยุดพักแรมอยู่ที่เมืองหนึ่งนั้น เฉินโหย่วเลี่ยงได้เชิญสีว์โซ่วฮุยไปไหว้เทพเจ้าที่ศาลเจ้าประจำเมือง สีว์โซ่วฮุยตอบรับคำเชิญด้วยความยินดี ครั้นเมื่อไปถึงก็พบว่าเฉินโหย่วเลี่ยวคอยตนอยู่ก่อนแล้วพร้อมกับองครักษ์สองคน หลังจากสนทนากันเพียงไม่กี่คำ สีว์โซ่วฮุยก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

เขาเสนอให้เฉินโหย่วเลี่ยงเป็นจักรพรรดิแทนเขา แล้วขอลดตัวลงเป็นมหาอำมาตย์

แต่สิ่งที่เขาได้รับก็คือ องค์รักษ์สองคนของเฉินโหย่วเลี่ยงได้ใช้ค้อนทุบศีรษะของเขาจนแหลกเหลวเลือดนองศาลเจ้า และเมื่อองครักษ์ชำระล้างคาบเลือดจนสะอาดแล้ว เฉินโหย่วเลี่ยงก็ประกาศตั้งตนเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่น

โดยใช้ชื่อรัชสมัยว่า ต้าอี้ ที่แปลว่า คุณธรรมอันยิ่งใหญ่ ถึงแม้จะสวนทางกับพฤติกรรมของเขาก็ตามที

 

นอกจากกบฏกลุ่มดังกล่าวแล้วก็ยังมีกบฏอีกกลุ่มหนึ่งที่มีผู้นำชื่อ จังซื่อเฉิง (ค.ศ.1321-1367)

กบฏกลุ่มนี้ปฏิบัติการที่เมืองไท่โจวของมณฑลเจียงซูในปัจจุบัน และสามารถยึดเมืองเกาโหยวของมณฑลนี้ได้สำเร็จ

จากนั้นก็สามารถยึดเมืองซูโจว หังโจว และอีกหลายเมืองที่อยู่ทางใต้ของแม่น้ำหยังจื่อได้สำเร็จ จนทัพหยวนยอมจำนนใน ค.ศ.1357

จังซื่อเฉิงนับเป็นกบฏที่มิได้สังกัดขบวนการโพกผ้าแดง