ตั้งใจ ‘กิน’ และ ‘เดิน’ เที่ยว ‘เยาวราช’ ที่หมุนเปลี่ยนไป | ธงทอง จันทรางศุ

ธงทอง จันทรางศุ

เมื่อค่ำวันเสาร์ผ่านมาหลังเทศกาลตรุษจีนนิดเดียว ผมนัดหมายกับสมาชิกในครอบครัวไปหาอาหารจีนกินที่เยาวราช เพื่อฉลองวันเกิดให้หลานสาว

ร้านที่เราไปอุดหนุนนั้นเป็นร้านที่มีชื่อเสียงในทางอาหารทะเลแบบแต้จิ๋วมาช้านาน ชื่อว่าร้านตั้งใจอยู่ ชื่อแท้ๆ คงเป็นภาษาจีนล่ะครับ แต่อ่านเป็นสำเนียงไทยแบบที่ว่าแล้วเข้าใจซึมซาบดี

คือจะอยู่ไปเรื่อยๆ ไม่ยอมเจ๊ง

และเขาก็ทำได้อย่างนั้นจริงๆ เพราะไปคราวใดก็เห็นคนแน่นร้านทุกที ลูกค้าเวียนเข้าเวียนออกไม่ขาดสาย

วันที่ไปกินข้าว สังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่ารถติดเป็นพิเศษมากกว่าทุกครั้งที่ผมเคยไปกินข้าวแถวนั้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าสาเหตุสำคัญเนื่องมาจากมีนักท่องเที่ยวหรือคนเดินถนนจำนวนมาก ของขายก็มีเรียงรายตามบาทวิถีทั้งสองฝั่ง ซ้ายและขวา ทางการจึงเป็นธุระหาแผงเหล็กมากั้นวางบนถนน เพื่อแบ่งพื้นที่ริมบาทวิถีฝั่งละหนึ่งช่องทางเดินรถให้เป็นช่องทางเดินคนแทน

เพราะฉะนั้น จากถนนที่เคยกว้างขวางประมาณห้าช่องจราจร หักออกไปสองช่อง รถจะไม่ติดก็แปลกล่ะ

 

ขาไปเราเพียงแต่นั่งรถไปแล้วสังเกตการณ์โดยทั่วไปว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ครั้นเมื่ออิ่มหนำสำราญแล้ว อย่ากระนั้นเลย ผมและครอบครัวที่ไปด้วยกันไม่มีธุระรีบร้อนอะไร แถมยังมีข้ออ้างว่าเป็นการเดินออกกำลังนิดหน่อยเพื่อย่อยอาหารด้วย เราจึงเดินเล่นย่านเยาวราชสักประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยเดินมาขึ้นรถกลับบ้าน

จากถนนซอยชื่อ เยาวพาณิช ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านตั้งใจอยู่ ผมเดินออกมาหาถนนเยาวราช ตรงปากซอยมีรถเข็นขายบะหมี่ชื่อ มังกรขาว จำได้แน่ว่าเคยกินบะหมี่ร้านนี้ บะหมี่ของเขาอร่อยดี จึงสั่งบะหมี่แห้งไว้สามห่อ บอกคุณพนักงานของร้านว่าเดี๋ยวจะกลับมารับ ให้เตรียมทำใส่ถุงไว้ได้เลย

คุณพนักงานเธอก็ดีแสน รับคำสั่งไว้โดยยังไม่เรียกเก็บเงินเสียด้วย บอกว่ากลับมาค่อยจ่ายก็ได้ค่ะ

สั่งบะหมี่เสร็จแล้วเราเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง ตรงนั้นเป็นถนนแปลงนามซึ่งเป็นถนนที่เชื่อมต่อระหว่างถนนเยาวราชกับถนนเจริญกรุง ถนนแปลงนามเป็นถนนสายสั้นนิดเดียว ความยาวประมาณ 100 เมตรเห็นจะได้ แต่ผู้คนล้นหลามมหาศาล

ของที่ขายเกือบร้อยละร้อยเป็นอาหารนานาชนิด คนที่เดินอยู่นั้นหลายชาติหลายภาษาจริงๆ แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นชาวจีนนักท่องเที่ยว แต่คนที่หน้าตาเป็นฝรั่งก็เห็นได้หนาตาพอสมควร แถมด้วยคนไทยหน้าซื่อแบบผมเข้าไปด้วยอีกหน่อย

พอรวมกันเข้าหลายเผ่าพันธุ์ ถนนนี้ก็กลายเป็นถนนสหประชาชาติไปได้อย่างง่ายดาย

 

ปลายสุดถนนแปลงนามด้านถนนเจริญกรุงเป็นที่ตั้งของสถานีรถใต้ดินที่ชื่อว่าสถานีวัดมังกร เพราะถ้าเดินเลี้ยวซ้ายไปนิดเดียวก็จะถึงวัดมังกรกมลาวาส หรือวัดเล่งเน่ยยี่ ซึ่งเป็นวัดจีนนิกายที่มีคนรู้จักกันดีอยู่ทั่วไปแล้ว แต่ค่ำวันนั้นผมไม่ได้เลี้ยวไปหรอกครับ เพราะเวลานั้นสองทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว หลวงจีนท่านน่าจะจำวัดแล้ว อย่าไปกวนท่านเลย

อันที่จริงจากสถานีวัดมังกรนั้นผมสามารถขึ้นรถใต้ดินทอดเดียวมาโผล่ขึ้นสถานีรถไฟใต้ดินใกล้บ้านผมที่สถานีลาดพร้าวได้เลย ใช้เวลาเดินทางไม่เกินครึ่งชั่วโมง แถมยังเสียเงินค่าโดยสารเพียงแค่ครึ่งราคา ตามสิทธิของผู้มีอายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์ที่กิจการรถใต้ดินเขาลดราคาให้เสียด้วย

ติดอยู่หน่อยเดียวครับว่า ตอนไปเยาวราชเรานั่งรถไป ถ้าขากลับจะใช้วิธีนั่งรถใต้ดินกลับมา แล้วจะทำอย่างไรกับรถล่ะ

จะพับเก็บใส่กระเป๋ามาก็เกินปัญญา เป็นอันว่าแผนนั่งรถไฟใต้ดินกลับบ้านต้องพับเก็บไปก่อน

 

จากสถานีวัดมังกรผมเดินเลี้ยวขวาไปตามถนนเจริญกรุง นิดเดียวก็มีถนนหรือซอยอยู่ทางซ้ายมือ มีชื่อไพเราะว่า ถนนผดุงด้าว ชื่อถนนสั้นเพียงแค่สามพยางค์ยังมีสัมผัสอักษร ด เด็ก และความหมายก็ดีเสียด้วย ประมาณว่าทำให้ดินแดนหรือ “ด้าว” ของเราเจริญก้าวหน้า

สำหรับคนชอบภาษาอย่างผมอ่านครั้งเดียวก็จำได้ครับ

ที่ถนนผดุงด้าวนี้มีร้านอาหารมากมายเช่นเคย แต่ที่ผมรู้สึกจักจี้เพิ่มเติมขึ้นเป็นพิเศษคือมีร้านนวด เจ้าร้านนวดนี้ไม่แปลกอะไรหรอกครับ เห็นคนนอนนวดแผนไทยหรือนวดเท้าไปตามระเบียบ แต่ที่จักจี้เพิ่มขึ้นคืออ่างแก้วใส่ปลาตัวเล็กจำนวนมากที่ตั้งอยู่หน้าร้าน สำหรับให้บริการ “สปาเท้า” แก่ผู้สนใจ

เคยลองไหมครับ เรานั่งอยู่ริมอ่างแก้วที่ว่านั้นแล้วหย่อนเท้าลงไปอยู่ในอ่างปลา ปลาทั้งหลายก็จะมาตอดเท้าเราตัวละหนุบตัวละหนับ ผมเข้าใจว่าปลามากินหนังส่วนที่เปื่อยยุ่ยแล้วจากเท้าเราเป็นมังสาหาร ส่วนเราผู้เป็นเจ้าของเท้าก็รู้สึกสบายแบบอธิบายยากและจักจี้ดี

ปลาพวกนี้ไม่มีอันตรายครับ ผมตรวจดูแล้วไม่ใช่ปลาปิรันย่าแน่

 

เดินมาหลายนาทีแล้ว หลานชายหลานสาวผู้ร่วมคณะบอกว่าให้หยุดเพื่อซื้อไอติมกินได้แล้ว ไอติมหรือไอศกรีมเจ้าที่ว่าเป็นไอศกรีมที่มีให้เลือกหลายรส แต่ที่ผู้คนนิยมมากและเป็นเมนูแนะนำคือไอศกรีมที่ทำจากน้ำเต้าหู้ ราดด้วยซอสสีน้ำตาลซึ่งดูเหมือนจะเป็นซอสงาดำ มีลูกแปะก๊วยวางมาในถ้วยสองสามเม็ด บนยอดของไอศกรีมมีขนมปังกรอบโรยงาปักมาด้วยหนึ่งชิ้น

และที่พิเศษสุดคือ มีการนำทองคำเปลวมาปิดประดับบนส่วนยอดสุดของไอศกรีมหลังจากโรยหรือราดน้ำซอสเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วด้วย

ผมยืนสังเกตการณ์เด็กหนุ่มเจ้าของร้านปิดทองบนยอดไอศกรีม เขาพิถีพิถันมากครับ ทองคำเปลวแผ่นหนึ่งขืนปิดเข้าไปหมดทั้งแผ่นก็แพงตาย และกินทองมากไปก็ไม่ดีด้วย เพราะฉะนั้น ทองคำเปลวหนึ่งแผ่น เขาจึงใช้ครีมขนาดเล็กคีบทองคำเปลว ที่แบ่งเป็นชิ้นเล็กพอใช้การได้เหมาะ แล้วนำไปวางบนยอดไอศกรีม ทีละชิ้น ทีละชิ้น

ของทุกอย่างที่อยู่ในถ้วยไม่ใช่ของมหัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นไอศกรีมน้ำเต้าหู้ ซอสงาดำ ลูกแปะก๊วย ฯลฯ แต่พอเอามารวมกันเข้าแล้วก็กลายเป็นสินค้าใหม่ที่แปลกตาและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อน

ไอศกรีมถ้วยนี้สอนให้รู้ว่า ในโลกที่มีการแข่งขันทางการค้าแบบอุตลุด ของเก่าเอามาปรับปรุงเติมโน่นนิดเติมนี่หน่อย ก็กลายเป็นของใหม่ขึ้นมาได้

 

เลยไปจากรถเข็นที่ขายไอศกรีมน้ำเต้าหู้ มีแผงขายผลไม้สด ที่เห็นเหลืองอร่ามได้แต่ไกลคือมะม่วงสุก ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นมะม่วงน้ำดอกไม้ เราจะซื้อแต่มะม่วงอย่างเดียวก็ได้ หรืออยากกินข้าวเหนียวมะม่วง คุณแม่ค้าก็มีพร้อมให้บริการ ซื้อแล้วนั่งกินตรงนั้นได้เลย ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

สิ่งที่ลืมไม่ได้เลยเมื่อมาถึงถนนผดุงด้าว คือร้านสุกี้เก่าแก่รสอร่อยที่ชื่อสุกี้เท็กซัส จนกระทั่งหลายคนลืมไปเสร็จแล้วว่าถนนสายนี้ชื่อจริงชื่อถนนผดุงด้าว เพราะทุกคนไปเรียกนิคเนมเสียหมดว่า ซอยเท็กซัส

นอกจากร้านสุกี้เท็กซัสที่อยู่ตำแหน่งดั้งเดิมมาชั่วนาตาปีแล้ว ร้านค้าในละแวกนั้นหลายร้าน ก็นำคำว่าเท็กซัสเข้าไปต่อท้ายชื่อร้านและสินค้าของตัวเอง เพื่อบ่งบอกและให้ง่ายต่อความทรงจำของลูกค้าว่าร้านของเราอยู่ซอยเท็กซัสนะ ไม่ได้อยู่ซอยอื่น

นี่ถ้าท่านผู้ว่าการรัฐเท็กซัสบินมาจากอเมริกา มาเห็นซอยนี้เข้าคงงงเป็นไก่ตาแตก เพราะหน้าตาไม่เหมือนเท็กซัสที่ท่านคุ้นเคยเลยจนนิดเดียว ฮา!

 

กินไอติมก็แล้ว แวะซื้อของโน่นนิดนี่หน่อยก็แล้ว อีกไม่กี่ก้าวเราก็เดินกลับมาทะลุถนนเยาวราชอีกครั้งหนึ่ง ตรงปากซอยเท็กซัสหรือถนนผดุงด้าวด้านนี้ ทางมุมซ้ายมือมีร้านขายอาหารทะเลร้านใหญ่ เป็นอาหารตามสั่งครับ คนนั่งรับประทานอาหารล้นหลามเหมือนของแจกฟรี เห็นแล้วน่าชื่นใจแทนคนเป็นเจ้าของร้านจริงๆ

แต่อาหารทะเลมื้อค่ำที่เราเพิ่งกินไปเมื่อกี้ยังอยู่เต็มท้องอยู่เลย เราจึงเดินหน้าเชิดผ่านร้านเขาเฉยๆ แบบทระนง เลี้ยวขวามาแล้วคราวนี้มีร้านขายหูฉลามเรียงรายเป็นแถวเชียวครับ ทุกร้านมีคนแน่นเช่นเดียวกัน

แบบนี้ปลาฉลามเห็นแล้วไม่ถูกใจครับ ไซเตสก็ไม่ปลื้ม

เดินต่อมาอีกไม่กี่เมตรเราก็ถึงทางม้าลายข้ามกลับมาทางฝั่งซ้ายมือของถนน แวะรับบะหมี่ที่สั่งไว้พร้อมกับจ่ายสตางค์ค่าเสียหาย แล้วมาขึ้นรถกลับบ้าน

เป็นอันจบทัวร์เยาวราชของคืนนั้น

 

ระหว่างทางที่เดินมา ผมได้คุยกับเจ้าของรถเข็นคันเล็กที่ขายของกระจุกกระจิก ประเภทไม้แคะหู กรรไกรตัดเล็บ ไฟแช็ก น้ำมันหยอดจักรซิงเกอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย ว่าบรรยากาศคนเดินซื้อของและกินข้าวเยอะอย่างนี้ทุกวันหรือไม่

เธอบอกว่าช่วงนี้คนมากเป็นพิเศษ เพราะยังเป็นบรรยากาศตรุษจีนอยู่ แถมวันที่ผมไปเดินเล่นนั้นยังเป็นวันเสาร์กลางคืนเสียด้วย

ถ้าไม่ใช่ช่วงตรุษจีน คนเดินถนนก็จะน้อยลงไปหน่อยหนึ่ง แต่ถ้าเป็นวันศุกร์หรือวันเสาร์จะมีคนไทยมาเดินเพิ่มเติม ทำให้บรรยากาศก็คึกคักครึกครื้นคล้ายๆ อย่างนี้นี่แหละ

นอกจากสมาชิกในครอบครัวโดยตรงของผมแล้ว ค่ำวันนี้ยังมีเพื่อนรุ่นน้องที่คุ้นเคยกันอีกคนหนึ่งที่ร่วมคณะไปด้วย เขาปรารภว่าเห็นบรรยากาศอย่างนี้แล้วเหมือนไม่ใช่เมืองไทยที่เราคุ้นเคย รู้สึกเหมือนไปต่างประเทศที่ไหนสักแห่งหนึ่ง แต่บอกไม่ได้ว่าที่ไหน

งงไหมล่ะคุณ?

แต่ผมมานึกดูก็เห็นจริงอย่างเขาว่า เพราะนี่เป็นเยาวราชที่ผมไม่คุ้นเคยมาแต่ก่อน ดูมีความเป็นอินเตอร์หรือคอสโมโปลิแตนมากขึ้น เป็นไชน่าทาวน์หรือเมืองจีนที่นักท่องเที่ยวที่มาเมืองไทยไม่ควรพลาด และแม้แต่คนไทยเองถ้ามีโอกาสไปเดินเล่นสักครั้งหนึ่งหรือหลายครั้งก็ไม่เสียเที่ยวครับ

สถานที่บางอย่าง คนบางคน หรืออะไรบางเรื่อง ที่เราได้เคยรู้จักมาแล้วนานปี อย่าไปปักใจเชื่อว่ามันจะเป็นอย่างนั้นเสมอไป นาฬิกาหมุนไป โลกก็เปลี่ยนไป ไม่มีอะไรหยุดนิ่งอยู่กับที่

 

กลางปีพุทธศักราช 2497 ซึ่งแปลว่า 70 ปีมาแล้ว พ่อและแม่ของผมจัดเลี้ยงฉลองงานแต่งงานที่ร้านอาหารจีนที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้นและอยู่ในย่านเยาวราช ชื่อ ห้อยเทียนเหลา ร้านนี้มีชื่อภาษาไทยด้วยว่า หยาดฟ้าภัตตาคาร

เดี๋ยวนี้หยาดฟ้าภัตตาคารก็ไม่มี พ่อแม่ของผมก็ไม่อยู่แล้ว เหลือแต่ผมไปกินอาหารร้านตั้งใจอยู่กับหลานๆ เท่านั้น

ของพรรค์นี้เอาแน่ไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตั้งใจนี่แหละ แต่จะอยู่ไปได้แค่ไหนก็ยังไม่รู้เลย โปรดช่วยกันลุ้นต่อไปครับ

วันเสาร์หน้านัดพบกันที่เยาวราชดีไหมหนอ