ติดดาบ ‘บิ๊กทิน’ ไปต่อ ร่วมจัดโผทหาร จับตาเกมชิงทัพ 1 เพื่อนรักหักเหลี่ยม ‘เสธ.มิตต์’ ถอดเครื่องแบบ

เข้าสู่ฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารกลางปีแล้ว

บิ๊กหนุ่ม พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกลาโหม ผบ.อ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.ทหารสูงสุด หารือกับ ผบ.เหล่าทัพ ตกลงในเรื่องตำแหน่งแลกเปลี่ยนระหว่างเหล่าทัพ กับกองทัพไทย และกลาโหม

ขณะที่นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ได้หารือรอบแรกกับ ผบ.เหล่าทัพ แบบนอกรอบ ในโอกาสที่มาประชุมสภากลาโหมสัญจร ที่กองบัญชาการกองทัพบก เมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ก่อนที่จะมีการประชุมคณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพล ของกระทรวงกลาโหม หรือที่เรียกว่า บอร์ด 6 เสือกลาโหม ในช่วงกลางมีนาคม เมื่อโผโยกย้ายเสร็จสิ้น

โดยมีรายงานว่า นายสุทิน สบายใจขึ้นแล้ว หลังจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน ได้พูดคุยแล้วว่า ไม่มีเรื่องที่นายกฯ จะควบ รมว.กลาโหม และไม่ต้องกังวล ให้เดินหน้าทำงานต่อ

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า นายสุทินได้รับสัญญาณจากอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร แล้วว่ายังไม่มีเรื่องการที่จะให้นายเศรษฐาควบ รมว.กลาโหม

แต่กระแสข่าวลือยังสะพัด เพราะคาดกันว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีในเดือนเมษายน-พฤษภาคมนี้ จึงทำให้สื่อมีการคาดเดากันอยู่ จนเกิดกระแสและลือกันแม้แต่ในกองทัพ

ด้วยเพราะมองว่า นายเศรษฐาเอง อาจต้องการมีทหารแบ๊กอัพหลัง หลังจากมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้นำเหล่าทัพมากขึ้นแบบที่เรียกว่าสายตรงคุยกันตลอด รวมถึงการเชิญมาพบหารือ แม้แต่ในวันหยุด

ยิ่งในยามที่นายเศรษฐาอาจถูกมองว่า ไม่ใช่นายกฯ ตัวจริง เมื่อนายทักษิณได้รับการพักโทษ กลับมาอยู่บ้าน และมีอิสระในการเคลื่อนไหว แม้แต่การออกสื่อ ที่จะถูกมองว่า เป็นเซ็นเตอร์ของอำนาจ เป็นนายกฯ เงา นอกเหนือจากที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นว่าที่นายกฯ

จนที่สุด นายเศรษฐายิ้ม เมื่อสื่อถามถึงกระแสข่าวจะควบ รมว.กลาโหม จริงหรือไม่ ก่อนที่จะบอกสื่อว่า ไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น

เมื่อมีความมั่นใจว่าจะได้ไปต่อบนเก้าอี้ “สนามไชย 1” นายสุทินก็จะได้มีอำนาจในการพูดคุยต่อรองกับทางผู้นำเหล่าทัพในเรื่องการดำเนินการตามนโยบาย หรือโครงการต่างๆ ได้

แต่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือ เรื่องการจัดโผโยกย้ายทหาร

แม้ว่าการเมืองจะเข้าแทรกการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารได้ยากจากระบบบอร์ดแต่งตั้งโยกย้าย หรือ 6 เสือกลาโหม เพราะในรัฐบาลนี้ไม่ตั้ง รมช.กลาโหม และนายสุทินเองก็ไม่ได้เป็นทหารเก่า ไม่ได้มีรุ่น

แต่ต้องไม่ลืมว่าทีมงานของนายสุทิน ก็เป็นทหารเก่า และนายทหารในกองทัพจำนวนไม่น้อย

รวมทั้งอดีตทหารที่นายสุทินให้ความเคารพ หรือแม้แต่นายทหารที่อยู่ในขั้วชินวัตร ที่เคยถูกเรียกว่าทหารแตงโม ที่แม้จะเกษียณราชการกันไปแล้ว แต่ก็ยังมีรุ่นน้องรุ่นลูกรุ่นหลานอยู่ในกองทัพที่ต้องการจะช่วยสนับสนุน หลังจากที่นายทหารในสายนี้ถูกดองมายาวนาน ตั้งแต่รัฐประหารปี 2557 ที่อาจจะขอมีส่วนในการแชร์อำนาจในบางตำแหน่งกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ

โดยเฉพาะตำแหน่งในส่วนของสำนักงานรัฐมนตรีกลาโหม ตำแหน่งนายทหารฝ่ายเสนาธิการ และตำแหน่งในสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ที่จะต้องมีการเจรจากับ พล.อ.สนิธชนก ปลัดกระทรวงกลาโหม ว่าจะยอมให้สัดส่วนกี่ตำแหน่ง

เพราะตำแหน่งในกลาโหม ก็ว่างลงหลายตำแหน่ง จากโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดของนายทหารชั้นนายพล

และที่เป็นที่จับตามองคือ ในจำนวนนี้มี เสธ.มิตต์ พล.ท.นิมิตต์ สุวรรณรัฐ นายทหารฝ่าย เสธ. มือขวาของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ที่รู้จักกันในนามของ เสธ.ตึกไทยคู่ฟ้า หรือบ้างก็เปรียบเป็น “นายกฯ น้อย” และที่ปรึกษาของนายกฯ ก็ได้ยื่นหยังสือลาออกจากราชการทหาร จากตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ติดยศพลโทตั้งแต่ตุลาคม 2564 โดยจะได้เลื่อนยศเป็นพลเอก ตามระเบียบของการเกษียณราชการก่อนกำหนด

ท่ามกลางการจับตามองว่า พล.ท.นิมิตต์ จะลงสู่สนามการเมืองหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง เคยได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ให้ประสานงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และก่อนหน้านี้ ได้ปรากฏภาพร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน เป็นหัวหน้าพรรค

แม้ว่าวันนี้พรรครวมไทยสร้างชาติ จะไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรีไปแล้ว และไม่เกี่ยวข้องกับทางการเมืองก็ตาม แต่ก็ยังเป็นที่เคารพรัก เป็นศูนย์รวมจิตใจของพรรครวมไทยสร้างชาติอยู่

หากย้อนกลับไปช่วงจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เคยมีข่าว พล.ท.นิมิตต์ จะลาออกจากกองทัพมาเป็นรัฐมนตรี แต่ที่สุดแล้วก็ไม่ได้ลาออก เก็บหนังสือลาออก กลับไปรับราชการทหารตามเดิม โดยในเวลานั้น รมว.พลังงาน จะเป็นโควต้าของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่ของพรรคพลังประชารัฐ และในที่สุดมาสู่รัฐบาลนี้มาเป็นโควต้าของพรรครวมไทยสร้างชาติ และให้นายพีระพันธุ์นั่งว่าการ

แต่มาตอนนี้ เมื่อลาออกจากทหาร คาดการณ์ว่า พล.ท.นิมิตต์ คงเลือกที่จะทำธุรกิจมากกว่าการลงสู่สนามการเมือง หรือเป็นรัฐมนตรี เพราะเป็นคนชอบทำงานเบื้องหลังมากกว่า

 

อย่างไรก็ตาม หากย้อนไปช่วงที่นายสุทิน ขึ้นมาเป็น รมว.กลาโหมใหม่ๆ ก็เคยยึดอำนาจในการแต่งตั้งมาแล้ว เช่น การแต่งตั้ง พล.อ.เดชนิธิศ เหลืองงามขำ ที่ได้ชื่อว่า ใกล้ชิดกับสายพรรคเพื่อไทย นายทหารสายชินวัตร มาเป็นผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (ผอ.อผศ.) แม้ว่าจะมีแคนดิเดตที่ พล.อ.สนิธชนก สนับสนุนก็ตาม เพราะก็ถือว่าเป็นอำนาจของ รมว.กลาโหม ซึ่งเป็นนายกสภา อผศ.ด้วย

ก่อนที่ต่อมา นายสุทิน จะเปลี่ยนแปลงทีมงานฝ่ายเสนาธิการนายทหารหน้าห้อง รมว.กลาโหมใหม่ จากเดิมที่ พล.อ.สนิธชนก ได้เคยจัดทีมงานหน้าห้องให้

แม้แต่การตั้ง ผช.รมต. ที่เดิมมีการตั้ง บิ๊กตุ่น พล.อ.อ.สุรพล พุทธมนต์ อดีตรอง ผบ.ทอ. เพื่อนเตรียมทหาร 20 ของบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขานุการกลาโหม

แต่ต่อมานายสุทินก็ขออนุมัตินายกฯ ในการตั้ง นายจำนงค์ ไชยมงคล เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีเพิ่มอีกคน อันเป็นการสะท้อนอำนาจในการต่อรองของนายสุทิน ที่มีอยู่บ้างเหมือนกัน

เพราะนายสุทินเองก็สามารถสายตรงถึงทั้งอดีตนายกฯ ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้เช่นกัน

แม้ว่าการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้จะเป็นการโยกย้ายเล็ก แค่รองรับคนที่จะเกษียณ แต่ก็เป็นการโอกาสให้นายสุทินได้ชิมลางวิถีการโผทหาร ที่นายสุทินเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้มาก่อนเลย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการร่วมจัดโผทหารในแต่งตั้งโยกย้ายปลายปี ช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน หากนายสุทินยังคงเป็น รมว.กลาโหมต่อได้ถึงเวลานั้น

เพราะจะมีการแต่งตั้ง ผบ.ทบ. และ ผบ.ทร.คนใหม่ และตำแหน่งสำคัญที่จะต้องเตรียมจ่อเป็นปลัดกลาโหมและผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในโยกย้ายตุลาคม 2568 ด้วย

เป็นที่รู้กันดีว่าการแต่งตั้งโยกย้ายจะลงตัวก็ต่อเมื่อตำแหน่ง ผบ.ทบ.ลงตัวก่อน เพราะตัวเลือกหรือแคนดิเดตมี 3 คน และมีตำแหน่งว่างรองรับถึง 3 ตำแหน่ง

บิ๊กปู พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ เสนาธิการทหารบก แกนนำเตรียมทหารรุ่น 26 ถูกยกให้เป็นตัวเต็ง ผบ.ทบ.คนต่อไป เพราะมีสัญญาณมาตั้งแต่ได้ไปฝึกหลักสูตรนายทหารคอแดง ตอนเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 เลย ก่อนขยับขึ้นเป็น เสธ.ทบ. โยกย้ายตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา

ขณะที่ไม่อาจมองข้าม บิ๊กหยอย พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผช.ผบ.ทบ. แกนนำ ตท.24 ที่มีอายุราชการถึง 2570 แม้ว่าจะเป็นทหารคอเขียวอยู่ แต่ได้ชื่อว่าเป็นนายทหารรักษาพระองค์ ที่เติบโตมาจาก กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) เรียกได้ว่าเป็นสายวงศ์เทวัญตั้งแต่กำเนิด ก่อนมาเติบโตในฝ่ายอำนวยการ และสายยุทธการ และบิ๊กหนุ่ย พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ ผช.ผบ.ทบ. จาก ตท.24 อีกคน ที่เป็นทหารคอแดงอยู่แล้ว แต่เกษียณ 2569 ขณะที่ พล.อ.พนา เกษียณ 2570

แต่หากใครพลาดหวังจากเก้าอี้ ผบ.ทบ. ก็จะถูกส่งไปเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่ว่างลงในเดือนตุลาคม 2568

ในการโยกย้ายใหญ่ปลายปีนี้ ก็น่าจะต้องเห็นเค้าลางแล้ว ด้วยการถูกส่งไปอยู่กลาโหม หรือ บก.กองทัพไทย ในตำแหน่งรองปลัดกลาโหมและรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อเตรียมจ่อที่จะขึ้นแทน

แต่ที่น่าจับตามองมากที่สุดคือเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1 คนใหม่ ที่เต็มหนึ่ง ยังเป็นแม่ทัพใหญ่ พล.ท.อมฤตย บุญสุยา แม่ทัพน้อยที่ 1 สายทหารเสือราชินี ลูกรัก พล.อ.ประยุทธ์ จะได้เปรียบเพราะอาวุโส ติดยศพลโทก่อน และเป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 และยังเป็นรุ่นพี่เตรียมทหาร 27 ชิงกับแคนดิเดตรุ่นน้อง เตรียมทหารรุ่น 28 ถึง 3 คน ทั้งรองไก่ พล.ต.วรยส เหลืองสุวรรณ รองกอล์ฟ พล.ต.สราวุธ ไชยสิทธิ์ และรองมด พล.ต.อาจิณ ปัทมจิตร ที่จะต้องชิงกันเองด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม เริ่มมีกระแสข่าวว่าเตรียมทหารรุ่น 28 พลังเริ่มแผ่วลง หลังจากแกนนำคนสำคัญถูกลดบทบาท

ดังนั้น คนที่จะมีเพาเวอร์ในการตัดสินใจคือ บิ๊กต่อ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.ทบ. และ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ขณะที่พลังเริ่มแผ่ว สำหรับบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ พ้นเก้าอี้ ผบ.ทบ. โอนย้ายไปเป็นข้าราชการทหารในพระองค์

จนทำให้ชื่อของ พล.ต.วรยส กลายเป็นตัวเต็งของ ตท.28 ที่จะชิงชัยแม่ทัพภาคที่ 1 กับ พล.ท.อมฤตย แต่หาก พล.ท.อมฤตย แรงกว่า เก้าอี้แม่ทัพน้อยที่ 1 ก็จะเป็นเตรียมทหาร 28 อย่าง พล.ต.วรยส แต่ก็ไม่อาจมองข้าม พล.ต.สราวุธ ที่สร้างผลงานและฟอร์มดีมาตลอด

และต้องจับตามองด้วยว่าโยกย้ายกลางปีที่กำลังจัดทำกันอยู่นี้จะมีการส่งรองแม่ทัพภาคที่ 1 คนใดออกไปเป็นพลโทนอกกองทัพภาคที่ 1 เลยหรือไม่ หรือจะโยกย้ายปลายปีเลยทีเดียว

ดังนั้น การแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ นายสุทินและนายเศรษฐาที่คุมความมั่นคง จะได้มีประสบการณ์ถึงความเข้มข้นของการจัดโผทหาร และได้รับรู้เรื่องภายในกองทัพ ศึกระหว่างรุ่น และในรุ่น เพื่ออุ่นเครื่องก่อนที่จะเตรียมพร้อมรับมือการโยกย้ายใหญ่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะมีดีลกับขั้วอนุรักษนิยม ที่จะไม่ล้วงลูก ไม่แทรกแซง ไม่ล้ำเส้นกองทัพก็ตาม

แต่สไตล์ของนายทักษิณ ก็จะต้องค่อยๆ ซึมลึก ดึงกองทัพกลับคืนมาจากอำนาจพี่น้อง 3 ป. แต่ทว่า ก็ยังไม่อาจแตะต้องสายทหารคอแดง