เผยแพร่ |
---|
สถานีคิดเลขที่ 12 | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร
ทุนใหญ่-ทุกข์ใหญ่
สัปดาห์ที่ผ่านมา “ทุนใหญ่”เป็นประเด็นร้อนให้พูดถึง อยู่ 2 ประเด็น
ประเด็นแรก คือ เรื่อง “กางเกงช้าง”
กางเกงช้าง ที่กำลังจะมีอีเวนต์ใหญ่ “THAILAND SOFT POWER X GUINNESS WORLD RECORDS CHALLENGE” ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 21 – 27 กุมภาพันธ์ 2567 นี้
โดยจะเป็นการจัดการแข่งขันใน 5 หัวข้อที่สุดของโลก ได้แก่ 1) ใส่นวมต่อยลูกโป่งแตกมากที่สุดใน1 นาที 2) ใส่กางเกงช้างเยอะที่สุดใน 1 นาที 3) กินสตรีทฟู้ด (ปาท่องโก๋) มากที่สุดใน 1 นาที 4) ใส่หน้ากาก (หน้ากากผีตาโขน) ได้มากที่สุดใน 1 นาที 5) กินป๊อบคอร์นได้เยอะที่สุดใน 1 นาที
ก่อเกิด ดรามา มากมาย
โดยเฉพาะ ที่นางสาวกมลนาถ องค์วรรณดี ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านแฟชั่น นำ คณะอนุกรรมการฯ “ยุติการดำเนินงาน”ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์
ถึงแม้จะระบุถึงการจากลาด้วยดีก็ตาม
แต่เฟสบุ๊กของ น.ส.กมลนาถ ได้โพสต์ข้อความโยงถึงกางเกงช้าง ว่าคณะอนุกรรมการสาขาแฟชั่นฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับไอเดียกินเนส (Guinness)
ทำให้ มีการมองว่า กางเกงช้าง น่าจะเป็นหนึ่งในประเด็น ที่เกี่ยวข้องกับการยุติการดำเนินการของคณะอนุกรรมการฯหรือไม่
ไม่เพียงเท่านั้น กางเกงช้างยังถูกตั้งคำถาม อีกว่า กางเกงช้าง ซึ่งเป็นหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ที่รัฐบาลพยายามผลักดันและโปรโมท นั้น
พูดได้เต็มปากหรือไม่ว่าเป็นสินค้าของไทย
เพราะพบว่า มีกางเกงช้างจากประเทศจีนเข้ามาตีตลาด ขายในราคาถูกกว่าไทยถึงครึ่งหนึ่ง และได้รับความนิยมจากพ่อค้าแม่ค้าที่ซื้อไปขายต่อจนเต็มตลาด
ประเทศไทย ได้ประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยจากกางเกงช้างหรือไม่
หรือเงินและผลประโยชน์ไหลไปยังจีนเป็นส่วนใหญ่
ประเทศไทยที่เป็นต้นคิด เป็นผู้โปรโมโมท ได้อะไร
และไทยจะรับมือ กับ”ทุนจีน”มหึมา ที่สามารถผลิตกางเกงช้างราคาถูกเข้ามายึดครองตลาดได้อย่างไร
และเรื่องนี้ คงไม่ได้จบเพียงแค่กางเกงช้าง อย่างแน่นอน
เพราะหลังจาก1 มีนาคม ที่ไทย-จีน เปิดฟรีวีซ่า เชื่อว่า”ทุนจีน-พลังจีน”ที่ใหญ่และมีอิทธิพลมากกว่า จะเข้ามาเบียดชิง บ่อนเซาะ ในอีกหลายธุรกิจโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว
“ไท่กั๋ว”จะรับมืออย่างไร
นี่คือสิ่งที่ต้องช่วยกันคิด ลำพังแค่ อีเวนต์ใหญ่ๆ คงช่วยไม่ได้แน่
ทุนใหญ่ อีกประเด็น เป็นเรื่อง ภายใน ของเรา
เป็นทุนใหญ่ ที่ปรากฏ ใน 4 คำเตือน 8 คำแนะนำ ของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีต่อรัฐบาล กับการดำเนินนโยบายการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน “ดิจิทัลวอลเล็ต”
มีข้อความ ตอนหนึ่งว่า
“1. รัฐบาลควรศึกษา วิเคราะห์ การดำเนินโครงการตามนโยบายฯ รวมทั้งชี้แจงความชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรมว่า ผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการจะไม่ตกแก่พรรคการเมือง นักการเมือง หรือเป็นการเอื้อประโยชน์แก่บุคคลรายใดรายหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพมากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายที่อาจเข้าข่ายการทุจริตเชิงนโยบาย”
“กลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่” ที่ป.ป.ช. ระบุถึงก็คงหมายถึง “กลุ่มทุนใหญ่” ที่อาจจะได้ประโยชน์จากเงินกู้ 5 แสนล้าน
ซึ่งถือเป็นอีกไม้เด็ดหนึ่ง ที่องค์กรอิสระและกลุ่มจารีต เคยใช้บดขยี้ ฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะในปีกที่ถูกแขวนป้าย”ทุนนิยมสามานย์” อย่างได้ผลมาแล้ว
และครานี้ ถูกชูขึ้นมาอีกครั้ง
ซึ่งเมื่อเคียงคู่กับป้าย”ทุจริตเชิงนโยบาย” ก็ดูจะมีน้ำหนัก
และขับเน้นให้พรรคเพื่อไทยในปัจจุบันและอดีตดูมอมแมมขึ้นทันที
จำต้องหาทางแก้ดีๆ
เพื่อมิให้ “ทุนใหญ่”ทั้งจาก นอกและในประเทศ กลายเป็น”ทุกข์ใหญ่”ของรัฐบาลและเพื่อไทยอีก
—————