กลยุทธ์ ‘นิด-ทิน’ บริหารอำนาจกองทัพ จับตาโผเมษาฯ เสือป่า วางตัว ผบ.ทหารสูงสุด จับสัญญาณ ตท.26

กลยุทธ์แบบพลเรือน แบบนักธุรกิจ ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี น่าจับตายิ่ง ในการบริหารจัดการอำนาจกองทัพ

การคุมสายงานความมั่นคงเอง ประสานสั่งการพูดคุยโดยตรงกับผู้บัญชาการเหล่าทัพด้วยตนเอง

และนับวันยิ่งใกล้ชิดผู้นำกองทัพมากขึ้น จนทำให้เกิดกระแสข่าวว่าหากมีการปรับคณะรัฐมนตรี นายเศรษฐาจะควบเก้าอี้ รมว.กลาโหมด้วยตนเอง หลังจากที่ชิมลางหยั่งเชิงท่าทีของผู้นำกองทัพแต่ละคน และได้ทำงานใกล้ชิดพูดคุยกันมากขึ้น

จากเดิมที่จะสายตรงกับบิ๊กอ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพียงคนเดียว เพราะคุ้นเคยกันมาก่อน และเคมีตรงกัน เนื่องจาก พล.อ.ทรงวิทย์ ก็เรียนจบจากนายร้อยเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา เป็นนายทหารแนวคิดทันสมัย และสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี เซ้นส์ตรงกัน

แต่ต่อมาได้สายตรงพูดคุยกับ บิ๊กต่อ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.ทบ. มากขึ้น หลังจากที่ได้รู้ว่าธรรมเนียมประเพณีของกองทัพไทยนายกรัฐมนตรี หรือ รมว. กลาโหมจะต้องประสานสั่งการโดยตรงกับ ผู้บัญชาการเหล่าทัพไม่ใช่ประสานสั่งการผ่านผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพียงคนเดียว

แม้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดจะเป็นผู้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการเหล่าทัพก็ตาม แต่ประเพณีนิยมแบบกองทัพไทยๆ คนเป็น ผบ.ทบ. จะถูกให้ความสำคัญเพราะเป็นเหล่าทัพที่ใหญ่ที่สุดและมีอำนาจแฝงในทางการเมืองมาหลายยุคหลายสมัย

อีกทั้ง ผบ.ทบ. เป็นรอง ผอ.รมน.ด้วย หากนายเศรษฐา ในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.) จะต้องประสานสั่งการโดยตรงเพราะ กอ.รมน. คุมทุกเรื่อง และ ผบ.ทหารสูงสุดไม่ได้อยู่ในโครงสร้าง กอ.รมน.

นอกจากการนัดหมายที่จะรับประทานอาหารค่ำกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ และ รมว.กห. เพื่อสร้างความรู้จักคุ้นเคยกันมากขึ้น และจะได้รู้สไตล์ รู้แนวทางกันมากขึ้น แต่ด้วยภารกิจที่ไม่ตรงกันของผู้บัญชาการเหล่าทัพและนายเศรษฐาเองจึงทำให้ต้องเลื่อนนัดหมายออกไปอีก จาก 31 มกราคม ที่นายเศรษฐาเลื่อนนัดเพราะไม่สบาย และมาเลื่อนอีกครั้งหนึ่ง 8 กุมภาพันธ์ เพราะผู้บัญชาการเหล่าทัพบางคนไปต่างประเทศ

นายเศรษฐา ยังใช้กีฬาเป็นสื่อด้วยการเชิญทั้ง พล.อ.ทรงวิทย์ และ พล.อ.เจริญชัย มาร่วมเตะฟุตบอลที่โปโลคลับ สนามประจำของนายเศรษฐา แต่ทว่า เพราะเพิ่งหายไม่สบายตอนนั้นจึงไม่ได้ร่วมฟาดแข้งด้วย แต่นายเศรษฐาก็ได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวในสนามฟุตบอลกับทั้ง พล.อ.ทรงวิทย์ และ พล.อ.เจริญชัย

และเป็นแมตช์ที่นายเศรษฐาต้องการกระชับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กองทัพ เอกอัครราชทูต และผู้ช่วยทูตทหารมิตรประเทศด้วยกีฬาฟุตบอล เพราะที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศและกองทัพต้องทำงานประสานใกล้ชิดกันในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศตั้งแต่เรื่องอิสราเอลจนมาถึงเรื่องเมียนมา

สายสัมพันธ์ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ รวมทั้งนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม เป็นไปได้ด้วยดีกับทางผู้นำกองทัพ แต่ก็กำลังถูกจับตามองว่าจะสั่นคลอนหรือไม่ จากการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพล กลางปี 2567นี้

โดยแต่ละเหล่าทัพมีกำหนดส่งให้กลาโหม หลัง 15 กุมภาพันธ์นี้ หลังการหารือกับ ผบ.อ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.ทหารสูงสุด เพื่อยืนยันในตำแหน่งแลกเปลี่ยน ที่เหล่าทัพจะส่งมาอยู่ บก.ทัพไทย และคนที่ต้องกลับเหล่าทัพ

แต่ด้วยโผนายพลกลางปี จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหลักสำคัญมากนัก แต่จะเป็นการรองรับคนที่จะเกษียณราชการกันยายน 2567 นี้ ที่จะต้องมีการขยับชั้นยศ จากพลโท เป็นพลเอก ของทุกเหล่าทัพ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นเตรียมทหารรุ่น 23 ล็อตสุดท้ายที่กำลังจะเกษียณ

โดยมีรายงานว่าในส่วนของกองทัพบก พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.ทบ. ที่เกษียณราชการกันยายนนี้ ก็มีโอกาสที่จะดูแลเพื่อน ตท.23 ที่กำลังจะเกษียณ แต่เนื่องจากนโยบายการลดจำนวนนายพลของกลาโหม ทำให้การเลื่อนยศนายพลต้องไม่เกินจำนวนที่กำหนดในการแต่งตั้งโยกย้ายแต่ละครั้ง

จึงทำให้มีรายงานว่าได้มีการร้องขอต่อทั้งนายสุทิน และนายเศรษฐา นายกรัฐมนตรีในการอนุมัติอัตราเฉพาะตัวให้กับนายทหารที่เกษียณราชการได้เลื่อนยศ และให้ปิดอัตรานี้ไปพร้อมเมื่อเกษียณ

โดยมีข่าวว่า นายเศรษฐาได้ไฟเขียวให้ตามที่ พล.อ.เจริญชัยร้องขอ

จะเห็นได้ว่าในระยะหลังนี้ นายเศรษฐามีความสนิทสนมใกล้ชิดกับ พล.อ.เจริญชัยมากขึ้น มีการสายตรงพูดคุย รวมทั้งเชิญมาพบและมีการให้สัมภาษณ์สื่อว่าได้พูดคุยกับ ผบ.ทบ. ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับประชาชน

หลังจากที่นายเศรษฐารู้ตัวว่าจะต้องประสานสั่งการให้ตรงแชนแนล โดยยิงตรงถึงผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยไม่ต้องสั่งการผ่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนเดียว เช่นแรกๆ ที่มาเป็นนายกฯ

ขณะที่มีการจับตามองไปที่กองบัญชาการกองทัพไทย สนามเสือป่า แจ้งวัฒนะ ในยุคของบิ๊กอ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด

เพราะมีข่าวสะพัดว่าในการโยกย้ายกลางปีหรือโผมีนาคมนี้ จะเห็นเค้าลางว่าใครจะได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดต่อจาก พล.อ.ทรงวิทย์ ที่จะเกษียณราชการกันยายน 2568

มีข่าวว่า พล.อ.ทรงวิทย์ จะดึงบิ๊กจุ๊บ พล.ท.ชิดชนก นุชฉายา จากรองผู้บัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (รอง ผบ.สปท.) กลับ บก.กองทัพไทย เสือป่า แจ้งวัฒนะ โดยได้เป็นพลเอก เพื่อรอจ่อตำแหน่งหลักในโยกย้ายตุลาคม 2566

เนื่องจากนายทหารที่นั่งตำแหน่งรองเสนาธิการทหาร จะเกษียณราชการพร้อมกันหมด ทำให้ในกองทัพไทยจะต้องมีการดันนายทหารขึ้นมาเป็นพลเอก หรือขึ้นมาเป็นรองเสนาธิการทหาร

หาก พล.ท.ชิดชนก ได้ขึ้นเป็นพลเอก ในโยกย้ายมีนาคมนี้ ก็จะได้อาวุโสและสามารถขึ้นเป็นรองเสนาธิการทหารได้ หรืออาจเป็นเสนาธิการทหาร อัตราจอมพลเลย เพราะจะเป็นพลเอกในโผกลางปีนี้

คาดว่าเก้าอี้เสนาธิการทหาร ที่บิ๊กจ่อย พล.อ.ธิติชัย เทียนทอง ยังไม่เกษียณ นั่งอยู่ จะต้องขยับขึ้นรอง ผบ.ทหารสูงสุด ในปีสุดท้ายก่อนเกษียณ เพราะนั่งเป็น เสธ.ทหาร มา 2 ปีแล้ว

หาก พล.ท.ชิดชนก ขึ้นพลเอกในโผกลางปีนี้ แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งหลัก แต่ก็จะกลายเป็นแคนดิเดตคนสำคัญที่จะขึ้นเป็น เสธ.ทหาร และถือว่าเหมาะสม เพราะก็เติบโตมาในสายยุทธการ เคยเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารมาถึง 3 ปี ก่อนที่ในโผตุลาคม 2566 บิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้นได้ย้าย พล.ท.ชิดชนก ออกนอกไลน์ ไปเป็นรอง ผบ.สปท.

หากในโผนี้ พล.อ.ทรงวิทย์ ดึง พล.ท.ชิดชนก จาก สปท.กลับมา บก.กองทัพไทย และอาจวางตัวให้ขึ้นเป็น เสธ.ทหาร คนต่อไป ถือว่ากลายเป็นแคนดิเดตผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนต่อไป และจะถือว่าอาวุโส เพราะครองอัตราจอมพล

แต่ที่ต้องจับตามองกันทั้งสนามเสือป่า แจ้งวัฒนะ แคนดิเดตอีกคน อย่างเจ้ากรมเอี่ยว พล.ท.ณัฐพงษ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 26 ของ พล.ท.ชิดชนก ที่กำลังเป็นคู่ที่ถูกจับตามองว่าใครจะได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนต่อไป เพราะมีอายุราชการถึง 2571 พร้อมกัน ดังนั้น จึงต้องมีแค่คนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่ได้ถึงฝั่งฝัน

แต่หากเทียบคอนเน็กชั่นแล้ว พล.ท.ณัฐพงษ์ ได้เปรียบกว่าเพราะเป็นน้องรักของบิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ องคมนตรี เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี และอดีตนายกฯ และเคยเป็นผู้ช่วยทูตทหารบก ประจำกรุงปารีส ฝรั่งเศส

หลังการรัฐประหาร คสช. 22 พฤษภาคม 2557 พล.ท.ณัฐพงษ์ในเวลานั้น เป็นที่รับรู้กันว่าเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการที่มีบทบาทสำคัญ ก่อนและหลังการรัฐประหาร ก่อนที่ต่อมาจะไปเป็นเลขานุการของ พล.อ.ดาว์พงษ์ รมว.ศึกษาธิการ ในรัฐบาล คสช.

อีกทั้งในปัจจุบัน พล.ท.ณัฐพงษ์ ก็ได้รับความไว้วางใจจาก พล.อ.ทรงวิทย์ ในการมอบหมายงานสำคัญให้รับผิดชอบ นอกเหนือจากเรื่องของกรมชายแดนแล้วยังมีส่วนในการแก้ปัญหาในเมียนมา

และหากพิจารณาในแง่ที่ว่า พล.อ.ทรงวิทย์ ก็เติบโตมาในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) และสนิทสนมใกล้ชิดกับ พล.อ.ดาว์พงษ์ ก็ยิ่งทำให้ พล.ท.ณัฐพงษ์ ยิ่งไม่อาจถูกมองข้าม เพราะในโค้งนี้กำลังเบียดกันอยู่กับ พล.ท.ชิดชนก

แม้ว่าในโยกย้ายกลางปีนี้ พล.ท.ชิดชนก จะได้ขึ้นเป็นพลเอก และก็ต้องรอดูว่า ในการโยกย้ายตุลาคมนี้ พล.ท.ณัฐพงษ์ จะขึ้นเป็นพลเอกเช่นกันหรือไม่

แต่ทว่า 2 แคนดิเดตนี้ เป็นแคนดิเดตสายคอเขียว ที่เป็นคนในกองบัญชาการกองทัพไทย เพราะสิ่งที่นายทหารในกองทัพไทยยังคงหวาดระแวงกันมาตลอดก็คือ จะมีการส่งนายทหารคอแดงจากกองทัพบก ข้ามห้วยมาเสียบ เพื่อเตรียมจ่อขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด คอแดงคนที่ 3 ต่อจาก พล.อ.ทรงวิทย์ ในตุลาคม 2568 หรือไม่

หาก พล.ท.ชิดชนก หรือ พล.ท.ณัฐพงษ์ ถูกวางตัวไว้แล้วจริงๆ คนใดคนหนึ่งในนี้ อาจจะได้รับการคัดเลือกให้ไปฝึกหลักสูตรทหารคอแดงก่อนก็เป็นได้ หรืออาจมีการเจรจาว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุด อาจจะกลับมาเป็นนายทหารคอเขียวอีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้

โดยสายสัมพันธ์ของ พล.อ.ทรงวิทย์ ในเครือข่ายทหารคอแดงแล้ว ก็สามารถที่จะพินิจพิเคราะห์ข้อดีข้อเสียในจุดนี้ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาก็เกิดปัญหาความแปลกแยกภายในของทหารคอเขียวในกองบัญชาการกองทัพไทย กับทหารคอแดงที่ข้ามมาเสียบเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาแล้ว 2 คนคือ ตั้งแต่ยุค พล.อ.เฉลิมชัย จนมาถึง พล.อ.ทรงวิทย์ และจะมีเป็นคนที่ 3 หรือไม่

เพราะก็มีชื่อบิ๊กหนุ่ย พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. นายทหารคอแดง จาก ตท.24 ที่มีกระแสข่าวมาอยู่เนืองๆ ว่า ในที่สุดอาจจะต้องข้ามไปอยู่กองบัญชาการกองทัพไทย เพื่อเตรียมจ่อขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดคอแดงคนที่ 3 ต่อจาก พล.อ.ทรงวิทย์ แม้ว่าตอนนี้ พล.อ.ธราพงษ์ จะมีชื่อเป็นแคนดิเดต ผบ.ทบ.อยู่ด้วยก็ตาม

เพราะ ตท.24 ที่มีทั้งบิ๊กหนุ่ม พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ทรงวิทย์ รวมทั้งบิ๊กไก่ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ. ก็เป็น ตท.24 พยายามจะผลักดันให้เพื่อนร่วมร่วมเตรียมรุ่น 24 ได้เป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพครบยกแผง ทั้ง ผบ.ทบ. และ ผบ.ทร.

และยังมีบิ๊กหยอย พล.อ.อุกฤษฏ์ บุญตานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ตท.24 เป็นแคนดิเดต ผบ.ทบ.อีกคน ในสายทหารคอเขียว ถึงขั้นที่มีกระแสข่าวว่ามีผู้ใหญ่ที่ยังคงมีเพาเวอร์ในกองทัพ และในเครือข่ายคอแดง ได้เรียกพบแล้ว แต่ไม่มีรายงานยืนยันว่ามีการส่งสัญญาณว่าต้องนั่งตำแหน่งใด

พลโท ณัฐพงษ์ เพราแก้ว

ในเวลานี้เตรียมทหารรุ่น 26 ก็กำลังเติบโตขึ้นมายกแผงเพื่อเตรียมรับไม้ต่อจากเตรียมทหารรุ่น 24 จึงทำให้ชื่อของบิ๊กปู พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ เสนาธิการทหารบก แกนนำเตรียมทหาร 26 ก็ยังคงมาแรง ในตำแหน่ง ผบ.ทบ. ต่อจาก พล.อ.เจริญชัย ที่จะเกษียณกันยายน 2567 นี้เลย

และก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า “สัญญาณเปลี่ยน” ให้ พล.อ.พนา รอไปก่อน โดยจะให้เตรียมทหารรุ่นพี่ 24 ระหว่าง พล.อ. ธราพงษ์ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ก่อน จนเกษียณในปี 2569 แล้ว พล.อ.พนา ค่อยขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ต่อ

แต่หากเป็น พล.อ.อุกฤษฏ์ เกษียณกันยายน 2570 ก็จะเป็นการปิดโอกาสไม่ให้ พล.อ.พนา ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.

พลโท ชิดชนก นุชฉาย

ในตอนนี้มีการประเมินสถานการณ์ในอนาคตช่วงการเลือกตั้งในอีก 2-3 ปี ครั้งต่อไป และเรื่องของการยุบพรรคก้าวไกลอาจทำให้สถานการณ์ทางการเมืองร้อนแรง ทำให้เกิดม็อบลงถนนอีกครั้ง โดยจะมีผลต่อการพิจารณาเลือก ผบ.ทบ. และ ผบ.เหล่าทัพ ไม่น้อย

ทั้งคนที่จะมาเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนต่อไป ที่อาจจะต้องแนวสายบู๊ สายเหยี่ยว หรือไม่

การกลับเข้าไลน์ของ พล.ท.ชิดชนก จาก สปท. มา บก.ทัพไทย จึงน่าจับตายิ่ง แต่ที่น่าจับตายิ่งกว่าคือการปรับเข้าสู่ไลน์มาอย่างต่อเนื่อง พล.ท.ณัฐพงษ์ ในห้วง 3-4 ปีมานี้ ตั้งแต่ย้ายข้ามจากกองทัพบก มาอยู่กองทัพไทย จากรอง ผอ.สำนักบูรณาการและขับเคลื่อนการปฏิบัติ ปร.มน. สาย กอ.รมน. จาก ทบ. มาเป็นผู้ช่วยหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บัญชาการทหารสูงสุด ติดยศพลโท

จากรอง ผอ.สำนักบูรณาการและขับเคลื่อนการปฏิบัติ ปร.มน. สาย กอ.รมน. จาก ทบ. มาเป็นผู้ช่วยหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บัญชาการทหารสูงสุด ติดยศพลโท และจากที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย มาเป็นเจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร

การแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ อาจมีรายการสับขาหลอกเกิดขึ้นได้ ทั้งเกมการวางทายาทใน ทบ. และเสือป่าทัพไทย และถือเป็นโผแรกในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในยุคของนายสุทิน รมว.กลาโหมพลเรือน ที่เป็นเสียงหนึ่งเดียวในบอร์ด 6 เสือกลาโหม เพราะในยุคนี้ไม่มี รมช.กลาโหม

แต่ก็มีนายเศรษฐา นายกรัฐมนตรีคุมความมั่นคง คุมกองทัพ และสายตรงถึงผู้บัญชาการเหล่าทัพด้วยตนเอง ที่ก็ต้องมีการวัดพลังว่า ในบางตำแหน่งสำคัญ ฝ่ายรัฐบาลจะมีส่วนในการเสนอแนะหรือร่วมตัดสินใจมากน้อยเพียงใด

พลเอก ธิติชัย เทียนทอง, พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี