เรื่องของ ‘หัวใจ’

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

ผมเพิ่งไปตรวจสุขภาพประจำปีมาครับ

จะเรียกว่า “ประจำปี” ก็ไม่ถูกนัก

เพราะถ้า “ประจำปี” ต้องหมายถึงตรวจทุกปี

แต่ผมว่างเว้นการตรวจมาหลายปีตั้งแต่ช่วงโควิด

ปล่อยปละละเลยแบบผัดวันประกันพรุ่งมาตลอด จนตอนสิ้นปีก็เกิดสำนึกเฉียบพลันว่าต้องตรวจสุขภาพได้แล้ว

แม้ร่างกายไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรผิดปกติ แต่การใช้ชีวิตที่นอนดึก ไม่ค่อยออกกำลังกาย กินอร่อย

เป็นคนมองโลกในแง่ดีครับ

เจอของอร่อยเมื่อไร จะบอกตัวเองทุกครั้งว่าไม่เป็นไรหรอก…นิดเดียว

“หมูกรอบ”…นิดเดียว

“ปีกเป็ดพะโล้”…นิดหนึ่ง

“ขาหมู”…แค่นานๆ ครั้ง

ผมตัดสินใจตั้งแต่ก่อนสิ้นปี แต่ยังไม่ตรวจทันที

ทุกอย่างต้องมีการวางแผน

ผมวางแผนทำร่างกายให้พร้อมก่อนตรวจสุขภาพล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน

เรื่องกินผ่อนลงนิดหนึ่ง

แต่มาเน้นเรื่องการออกกำลังกาย

ลู่วิ่งสายพานสิงสถิตอยู่ในบ้านมานานแล้ว

ถึงเวลาได้เวลาใช้งานเสียที

สัปดาห์แรก ผมเดินสลับวิ่งทุกเช้าวันละ 30 นาที

สบายมาก

สัปดาห์ที่ 2-3 เริ่มผ่อนลงนิดหนึ่งตามงานที่เข้ามาลดเหลือสัปดาห์ละ 4 วัน

…ใช้ได้

ทำบุญมาพอสมควรแล้ว

ได้เวลาตรวจสุขภาพเสียที

 

ผมขอให้คุณหมอเอกพจน์ ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ เป็น “ผู้บัญชาการรบ”

สั่งให้ตรวจโปรแกรมไหน ทำหมด

เริ่มต้นจากเจาะเลือด อัลตราซาวด์ และอะไรอีกมากมาย

ก่อนถึงขั้นตอนสำคัญ

…วิ่งสายพาน

การวิ่งสายพานจะเป็นการตรวจการเต้นของหัวใจว่าเป็นอย่างไรบ้าง

เขาจะเอาเครื่องมือมาติดที่หน้าอกเต็มไปหมด

แล้วให้เราวิ่งบนสายพาน

จะมีคุณหมอด้านหัวใจมาควบคุมดูแล

เริ่มจากช้าๆ แล้วก็เร่งให้เร็วขึ้น

ระหว่างการวิ่งคุณหมอจะถามเป็นระยะๆ

“ไหวไหมคะ”

“สบายมากครับ”

ผ่านไปเกือนสิบนาที คุณหมอปรับความชันให้สูงขึ้น

“ไหวไหมคะ”

“วะ…วะ ไหวครับ”

คุณหมอคงสังเกตว่าเสียงเริ่มหอบขึ้นเรื่อยๆ

พักหนึ่งก็สั่งหยุด

จบการวิ่งสายพาน

“การเต้นของหัวใจดีมากเลยค่ะ”

แผนนี้ได้ผล…

เหมือน “ทำบุญ” ล่วงหน้ามาเกือบเดือน ได้ลบล้าง “บาป” ที่ทำไว้มาหลายปีได้หมดสิ้น

“แต่ตัวเลข LDL อะไรต่างๆ ไม่ค่อยดีเลยนะคะ” คุณหมอทักขึ้นมา

“เดี๋ยวคุณหมอเอกพจน์จะดูเรื่องนี้ให้นะคะ”

ผมเริ่มนึกในใจ

สงสัยบาปจะหนาเกินกว่าบุญจะช่วยได้

แต่ LDL คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ ฯลฯ สูงกว่ามาตรฐานหน่อย

ก็กินยาลดไขมันเท่านั้นเอง

ออกกำลังกาย คุมอาหารหน่อย

แป๊บเดียว…

 

เสร็จจากการตรวจร่างกาย ผมรีบเข้าร้านอาหารทันที

เพราะก่อนการตรวจร่างกาย เราต้องงดน้ำงดอาหารตั้งแต่เที่ยงคืน

หิวข้าวมาก

กินข้าวยังไม่ทันหมดจาน

มีโทรศัพท์เข้ามา

เป็นพยาบาลหน้าห้องคุณหมอเอกพจน์

เธอบอกว่าถ้ารับประทานอาหารเสร็จให้แวะมานิดหนึ่ง

เพราะคุณหมอเอกพจน์เห็นผลการตรวจเลือดแล้วอยากให้ตรวจ “แคลเซียม สกอร์” ต่อก่อนจะมาคุยกัน

เดี๋ยวนะ…

สัญญาณแบบนี้ไม่ค่อยดีแล้ว

“แคลเซียม สกอร์” เป็นการตรวจหาหินปูนในเส้นเลือดหัวใจ โดยใช้เครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์

การที่คุณหมอสั่งตรวจ แสดงว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน

รอผล 1 ชั่วโมง ผมก็ไปนั่งเผชิญหน้ากับคุณหมอเอกพจน์

“แย่เลยใช่ไหมครับ” ผมยิงคำถามดักก่อนเลย

“ไม่ได้แย่อะไรมากครับ” คุณหมอหัวเราะ “พี่จะฟังข่าวดีหรือข่าวร้ายก่อน”

“ข่าวร้ายก่อนครับ” ผมเลือก

คุณหมอเอกพจน์บอกว่าการตรวจเลือดของผม ไขมันเยอะมาก ทุกตัวเลขบ่งบอกมาทางนี้หมด

มาตรฐานเท่าไร

ของผมเหนือมาตรฐานชายไทยเยอะทีเดียว

และจากตัวเลขนี้เมื่อเทียบกับครั้งก่อนสูงขึ้นมาก แสดงว่าต้องสะสมมานานพอสมควร

นั่นคือ เหตุผลที่ต้องตรวจ “แคลเซียม สกอร์”

และผลการตรวจเป็นไปตามที่คุณหมอคาดการณ์

เส้นเลือดหัวใจ 4 เส้น

2 เส้นเกินมาตรฐานเยอะทีเดียว

แต่ยังไม่สรุป

ขอตรวจ mri อีกครั้ง

เป็นการตรวจอย่างละเอียด

คราวนี้จะรู้ชัดๆ เลยว่าเส้นเลือดหัวใจมีปัญหาหรือเปล่า

ถ้าน้อย ก็กินยา

ถ้ามาก ก็แค่บอลลูน

ครับ แค่ “บอลลูน”

แม้จะรู้ว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์ทันสมัย ไปไกลมากแล้ว

“บอลลูนหัวใจ” เป็นเรื่องง่ายๆ ปลอดภัยสูง

แต่ผมก็อยากอยู่บนดิน

ไม่อยากขึ้นบอลลูน

นึกปลอบใจตัวเองว่าถ้าวิ่งสายพานแล้วแข็งแรงดี

แบบนี้ไม่น่าจะเป็นอะไร

 

แล้ววันนัดตรวจ mri ก็มาถึง

พยาบาลเริ่มต้นด้วยการปักเข็มที่ข้อพับที่แขนทั้ง 2 ข้าง แล้วคาเข็มเอาไว้

งอแขนไม่ได้

เพราะตอน mri เขาจะให้ยาเข้าไปในเข็มที่ปักไว้

แต่ตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่เข็ม ผมดันถอดแว่น

การใส่แว่นโดยที่งอแขนไม่ได้ ถือเป็นการปฏิบัติทุกรกิริยารูปแบบหนึ่ง

ตอนแรกจะใช้วิธีโยนแว่นแล้วเอาใบหน้ารับ

แบบนี้คงไม่ได้

ลองเอามือตั้งขาแว่นขึ้น แล้วก้มหน้าใส่แว่น

…ไม่ได้

สุดท้ายก็ใช้วิธีง่ายสุด

…ใช้ปากครับ

ตะโกนเรียกพยาบาลให้ช่วยใส่แว่นหน่อย

ตอนที่จะเข้าอุโมงค์ mri

เจ้าหน้าที่เอาอุปกรณ์ติดที่หน้าอก อุดหู ใส่หูฟัง

“จะอยู่ในอุโมงค์ประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ นะคะ”

เธอบอกว่าให้นอนนิ่งๆ แล้วทำตามคำสั่ง

นี่คือ การเข้าอุโมงค์ mri ครั้งแรกของผม

เครื่องพาตัวเราเข้าไปในอุโมงค์ เสียงเครื่องค่อนข้างดัง

จากนั้นเสียงจากหูฟังก็ดังขึ้นเป็นระยะๆ

“หายใจเข้า หายใจออก กลั้นหายใจค่ะ”

แบบนี้ไปเรื่อยๆ

ตอนแรกผมหลับตา ทำตามคำสั่ง

สักพัก เริ่มวูบหลับเป็นระยะๆ

ต้องลืมตา ไม่งั้นมีหลับ และกรนแน่นอน

ประมาณครึ่งชั่วโมง เครื่องก็เลื่อนออกมา

เจ้าหน้าที่บอกว่าจะฉีดยาเร่งการทำงานของหัวใจ

“ใจอาจเต้นแรงหน่อยนะคะ ไม่ต้องตกใจ”

หลังจากนั้น ผมก็เข้าอุโมงค์อีกครั้ง

ยาใช้ได้เลย

เกิดอาการร้อนวูบวาบไปทั้งตัว

คำสั่งยังคงเหมือนเดิม

“หายใจเข้า หายใจออก กลั้นหายใจค่ะ”

และแล้วการตรวจ mri ก็เสร็จสิ้น

ถึงเวลาพิพากษา…

คุณหมอศรินทิพย์ที่ดูแลด้านหัวใจนัดฟังผลตอนเช้าวันรุ่งขึ้น

ผมเดินเข้าไปในห้องเหมือน “จำเลย” ที่รอฟังคำพิพากษา

คุณหมอเงยหน้าสบตา

นิ่งพักหนึ่ง

“ดีใจด้วยค่ะ กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงดี”

เย้…รอดแล้ว

คุณหมออธิบายว่าการตรวจ mri นั้นเป็นการตรวจความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ

เส้นเลือดหัวใจทั้ง 4 เส้น ไม่มีอะไรตีบตัน

ไม่ต้องขึ้นบอลลูนอะไรทั้งสิ้น

แต่การที่มีหินปูนจากการตรวจ “แคลเซียม สกอร์” นั้นถือว่าเส้นเลือดหัวใจไม่ปกติ

ยังต้องระมัดระวังเรื่องการกิน และออกกำลังกาย

และไม่ต้องกินยาอะไรเพิ่ม

แค่ยาลดไขมันที่คุณหมอเอกพจน์ให้ก็เพียงพอแล้ว

ตอนนี้ก็เหลืออีกขั้นตอนเดียวของการตรวจสุขภาพ คือ การส่องกล้องลำไส้

คุณหมอนัดแนะเรียบร้อย

อธิบายอย่างละเอียดถึงขั้นตอนการตรวจว่าจะส่องกล้องเข้าไปทั้งทางปาก และทางก้น

“แต่ไม่ได้ส่องพร้อมกันนะคะ” คุณหมอบอกยิ้มๆ

“ถ้าใช้กล้องเดียวกัน ช่วยส่องกล้องทางปากก่อนได้ไหมครับ” ผมขอร้อง

“อย่าส่องทางก้นก่อนปากนะครับ”

กลัวฟื้นขึ้นมา ปากจะเหม็นครับ •

 

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ | หนุ่มเมืองจันท์