ได้ลองใช้ Vision Pro แล้ว! | จิตต์สุภา ฉิน

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

ผ่านมากว่าครึ่งปีนับตั้งแต่ Apple เปิดตัว Vision Pro ในงาน WWDC เมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ Vision Pro เริ่มวางขายแล้วอย่างเป็นทางการโดยขายแค่ในสหรัฐอเมริกาก่อนเท่านั้น

คนทั่วไปจะเรียก Vision Pro ว่าเป็นอุปกรณ์สวมศีรษะแบบ mixed-reality คือสามารถมองเห็นภาพเสมือนจริงที่ฉายทับลงไปบนสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราได้ หรือจะให้แสดงภาพเป็นเสมือนจริงทั้งหมดราวกับเราวาร์ปไปอยู่สถานที่อื่นก็ได้

แต่ Apple เปิดหมวดหมู่ใหม่ เรียกผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ว่าเป็น Spatial computer เครื่องแรกของแบรนด์ เป็นคอมพิวเตอร์ที่จะทำให้โลกที่เราอาศัยอยู่จริงๆ ผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวกับคอนเทนต์โลกดิจิทัลได้อย่างแนบเนียนไร้รอยต่อ

ผู้คนที่ได้จับจองเป็นเจ้าของ Vision Pro เป็นกลุ่มแรกๆ ต่างก็พยายามทดลองใช้ของชิ้นใหม่นี้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป บางคนใส่เดินไปมาตามท้องถนน บางคนใส่บนรถไฟฟ้าใต้ดิน ใส่บนเครื่องบิน ใส่ไปนั่งกินข้าวในร้านอาหาร หรือแม้กระทั่งใส่ในระหว่างขับรถ (อย่าหาทำ!)

คนรอบตัวที่พบเห็นก็ถ่ายภาพไปแชร์กันจนกลายเป็นมีมมากมายบนอินเตอร์เน็ต

สาเหตุที่เราได้เห็นภาพคนสวมใส่ Vision Pro ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านก็เพราะมันสามารถทำงานด้วยตัวมันเองได้คล้ายๆ กับเราพกคอมพิวเตอร์หรือ iPad เครื่องหนึ่ง ไม่ต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนหรือคอมพิวเตอร์อะไรเพิ่มเติมเลย สวมปุ๊บก็ใช้ได้ทันที

และอีกอย่างก็คือฟังก์ชั่น passthrough ที่ผู้สวมใส่ยังสามารถมองเห็นสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้แบบที่สัดส่วนไม่ผิดเพี้ยน เราเลือกได้ว่าจะปรับโหมดให้เป็นแบบมองเห็นทุกอย่างรอบตัวเหมือนเดิม หรือจะเป็นโหมดที่เน้นเห็นแต่คอนเทนต์ล้วนๆ ซึ่งหากเลือกแบบหลังแล้วในระหว่างใช้งานมีคนเดินเข้ามาใกล้ๆ เราก็จะยังสามารถมองเห็นคนคนนั้นปรากฏขึ้นมาบนจอได้

เพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานได้มากขึ้นแม้จะอยู่ในระหว่างวาร์ปไปโลกเสมือนก็ตาม

 

การที่คนสวม Vision Pro ไปตามที่ต่างๆ แบบนี้ทำให้ฉันหวนนึกถึง Google Glass ที่เปิดตัวไปตั้งแต่เมื่อปี 2013 และเคยเขียนถึงเอาไว้ในคอลัมน์นี้ด้วย สมัยนั้นบรรดาคนรักเทคโนโลยีพร้อมใจกันสวม Google Glass ไปในทุกที่ ดีไซน์ของมันถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่สวยเอาเสียเลย ใส่แล้วกลายเป็นตัวประหลาดที่แปลกแตกต่างจากผู้คนรอบข้าง จนในที่สุด Google ก็พับโปรเจ็กต์ไปอย่างน่าเสียดาย

เปรียบเทียบกับภาพของผู้คนที่สวมใส่ Vision Pro ที่กินพื้นที่ไปครึ่งใบหน้าแล้วเดินไปตามท้องถนนในตอนนี้ ฉันคิดว่า Google Glass ดูสวยขึ้นมาทันที!

ด้วยความที่ Vision Pro ถูกจัดให้เป็นคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ฉันคิดว่าเราน่าจะเห็นภาพได้ชัดขึ้นหากเรานำ Vision Pro ไปเปรียบเทียบกับ iPad ที่เพียงเปิดเครื่องมันก็พร้อมให้ใช้งานได้ทันทีไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ทำให้เราสามารถเปิดโซเชียลมีเดีย ดูภาพ ดูหนัง ประชุมวิดีโอคอลล์ หรือเล่นเกมได้คล้ายๆ กับสิ่งที่เรามักจะทำบน iPad

แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือวิธีการซื้อ Vision Pro สักเครื่อง มันไม่ง่ายเพียงแค่เดินเข้าไปในร้าน จิ้มแบบที่อยากได้ จ่ายเงินแล้วเดินออกมาเลย

เพราะการซื้อ Vision Pro จะมีขั้นตอนที่ผลิตภัณฑ์แบบอื่นๆ ไม่มี

ลูกค้าจะต้องเริ่มตั้งแต่การวัดใบหน้าเพื่อให้ได้ขนาดของ light seal หรือยางซิลิโคนที่ใช้เพื่อปิดไม่ให้แสงเล็ดลอดเข้าไปภายในได้ หรือใครมีค่าสายตาสั้นยาวก็จะต้องสั่งซื้อเลนส์สำหรับสายตาตัวเองด้วย

ไหนจะต้องเดโม่สอนวิธีใช้อีกเพราะนี่ถือเป็นของใหม่ที่มีวิธีการใช้ที่แตกต่างจาก iPhone หรือ iPad ที่เราคุ้นเคยกันไปแล้ว

 

แม้จะได้ยินมาบ้างแล้วว่า Apple ออกแบบประสบการณ์การใช้งานของสิ่งนี้มาได้ดีมาก แต่เมื่อได้มาลองกับตัวเองก็ยังต้องอ้าปากค้างด้วยความทึ่ง

สิ่งที่ต้องเรียนรู้ใหม่คือท่าทางในการใช้งานซึ่งคุณผู้อ่านหลายคนก็อาจจะเคยเห็นภาพมาแล้ว นั่นคือการใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งแตะเข้าหากันคล้ายการจีบ ถ้าเราต้องการกดเลือกอะไรก็เพียงแค่มองไปที่สิ่งนั้นและใช้การจีบมือเป็นคำสั่งซึ่งทำได้ค่อนข้างแม่นยำ เรียนรู้แป๊บเดียวก็ใช้เป็นแล้ว

ฉันได้ลองใช้ Vision Pro ทำหลายๆ อย่าง ทั้งการดูภาพถ่ายแบบมองเห็นรอบตัว ดูหนัง วิดีโอคอลล์ เล่นเกม ทำงาน ฯลฯ และตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่างที่ได้ลองจริงๆ

Apple ทำได้ดีมากเรื่องการให้ประสบการณ์ที่สมจริง เราเห็นคอนเทนต์โดยที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวไม่บิดเบี้ยวหรือผิดสัดส่วน ยกมือขึ้นมาสองข้างก็เห็นสองข้างแบบชัดๆ ไม่ว่าจะพลิกมือไปองศาไหน จนเผลอคิดไปว่าแว่นที่สวมอยู่ต้องโปร่งใสแน่ๆ

เกือบลืมไปว่าแท้จริงแล้วมันคือการใช้กล้องถ่ายมุมมองของเราแล้วเอามาฉายให้เราดูบนจอต่างหาก

 

เนื่องจาก Vision Pro เป็นเจเนอเรชั่นแรกที่เพิ่งออกมาสดๆ ร้อนๆ ดังนั้น ก็พอจะคาดเดาได้ว่าจะยังต้องมีความขลุกขลักอยู่ในหลายจุด ฉันรู้สึกว่าการใช้งานโดยรวมแม้จะออกแบบมาได้ดีแต่ในบางครั้งก็ยังมีความติดขัด ค้าง หรือไม่มีที่ให้ไปต่อ การสวมใส่ยังไม่ได้สบาย ใช้ไปได้สักพักก็จะรู้สึกอยากถอดแล้ว ส่วนแบตเตอรี่ก็อยู่ได้เพียง 2-4 ชั่วโมงเท่านั้น

อู๋ spin9 นักรีวิวบอกว่าเขาคิดว่าในตอนนี้ข้อจำกัดของ Vision Pro คือน้ำหนักที่มากเกินไปทำให้ผู้ใช้งานไม่อยากสวมใส่นานๆ ขนาดก็ใหญ่เกินกว่าที่จะพกพาติดตัวไปได้ทุกที่

แต่เขามองเห็นว่าศักยภาพของมันในอนาคตน่าจะเห็นได้ชัดที่สุดในการใช้งานเพื่อการดูกีฬาและการเทรนนิ่ง

อุปกรณ์อย่าง Vision Pro จะช่วยให้การเสพคอนเทนต์ประเภทกีฬา อย่างการดูการแข่งขัน Formula 1 ซึ่งเป็นคอนเทนต์สุดโปรดของเขา ทำได้อย่างมีอรรถรสมากขึ้น และเราจะสามารถเลือกรับชมมุมมองของนักแข่งคนที่เราชื่นชอบได้ตลอดการแข่งขันโดยไม่จำเป็นต้องถูกตัดภาพไปมุมอื่นเลย

เช่นเดียวกับการใช้ Vision Pro เพื่อเทรนนิ่ง ฝึกฝน ซ้อมทักษะต่างๆ ก็จะทำให้ได้สมจริงและข้ามข้อจำกัดได้หลายข้อ

ฉันมองว่าเมื่อตัวอุปกรณ์ได้รับการปรับให้เข้าที่เข้าทางกว่านี้ เสถียรกว่านี้ รองรับแอพพ์มากกว่านี้ น้ำหนักเบากว่านี้ ขนาดเล็กกว่านี้ แบตอยู่ได้นานกว่านี้ (และแน่นอนราคาถูกกว่านี้! ราคาตอนนี้อยู่ที่ประมาณเริ่มต้น 130,000 บาท)

ในที่สุดมันอาจจะกลายเป็นสิ่งที่เราเลือกพกพาแทน iPad หรือแม้กระทั่งคอมพิวเตอร์ไปเลยก็ได้

เพราะหลายๆ คนตอนนี้ที่พก iPad ก็เพื่อจะใช้งานอย่างการทำงาน ดูภาพ ดูหนัง ประชุมวิดีโอคอลล์ และเล่นเกม ซึ่งทั้งหมดสามารถทำได้บน Vision Pro ด้วยเหมือนกัน โดยที่ Vision Pro จะให้ประสบการณ์ที่เต็มอิ่มได้มากกว่า

ขอลองใช้งานต่อไปเรื่อยๆ ถ้าพบเจออะไรที่น่าสนใจจะมาแชร์ให้ฟังเพิ่มเติมแน่นอนค่ะ