‘ใบตองแห้ง’ อ่านเกม หลัง ‘ยุบก้าวไกล’ แรงบีบ ‘ยุบสภา’ และสภาวะ ‘คาดเดาไม่ได้’ ทางการเมือง

(Photo by Jack TAYLOR / AFP)

หมายเหตุ “ใบตองแห้ง” หรือ “อธึกกิต แสวงสุข” คอลัมนิสต์และนักวิเคราะห์การเมืองอาวุโส แสดงทรรศนะผ่านรายการ “The Politics” ทางช่องยูทูบมติชนทีวี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ โดยมองข้ามช็อตว่า ภายหลัง “ยุบพรรคก้าวไกล” แล้ว การเมืองไทยจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์อะไรบ้าง?

 

(เรื่องยิ่งยุบยิ่งโต) หนึ่ง มันไม่ได้เป็นสูตร สอง เราต้องรู้ว่าเมื่อมีปืน มีกฎหมาย เขา (ผู้มีอำนาจ) ไม่ได้กลัวการลุกฮือหรืออะไรต่างๆ ของประชาชน คือมันบีบให้ (ประชาชน) ยอมจำนนทุกด้าน

เพราะฉะนั้น สิ่งที่คนไม่ยอมและโกรธ มันมีแน่ การหมดความเชื่อถือ มันมีแน่ แต่ว่ามันจะปะทุแบบไหน? มันปะทุยาก คือมันอาจจะไปทาง “เซาะกร่อนบ่อนทำลาย” นั่นแหละ มันจะเกิดการ “เซาะกร่อนบ่อนทำลาย” ระบบอำนาจนี้

มันต้องดูสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ ถ้ามันทำให้เสียสมดุลในระบบรัฐสภา ทั้งที่จากความจริง คนก็รับได้พอสมควร (กับสภาวะเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล ก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน) โกรธ เกลียด แต่มันก็สู้ในระบบรัฐสภา

แต่สิ่งที่จะตามมา ก็คือว่ามันเกิดความเปลี่ยนแปลงให้เสียสมดุลของฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน ผมยังคิดว่าขั้นต่ำที่สุด มันจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ หลังจากช่วงเวลาหนึ่ง

อีกอันหนึ่ง การเคลื่อนไหวนอกสภาจะมากขึ้น แต่จะไม่ได้ไปสู่การปะทุเรื่องนี้โดยตรง ความไม่พอใจ ความโกรธต่างๆ อาจจะปะทุประปราย แต่มันจะเข้าไปสู่การเคลื่อนไหวในประเด็นต่างๆ ที่เป็นปัญหา

ในระยะถัดไป ถ้ามันเกิดความเสียสมดุล คือสภามันมีอยู่ 290 (เสียง) ที่เป็นเพื่อไทยกับก้าวไกล ถ้ารวมประชาชาติด้วย ร่วม 300 ฝั่งที่เคยอยู่กับประยุทธ์ (จันทร์โอชา) มี 200 ถ้าเกิดการเสียสมดุลตัวนี้ หรือเสียสัดส่วนตรงนี้ แล้วทำให้ฝั่งที่เคยอยู่กับประยุทธ์เขามากกว่า มันกระเทือนเพื่อไทยด้วยนะ อย่างน้อยอำนาจต่อรองเขา (ฝั่งรัฐบาลประยุทธ์เดิม) ก็เยอะขึ้น

คําถามคือว่า ก้าวไกลจะรับมืออย่างไร? อันนี้ก็ต้องรับมือให้ดี แล้วยอมรับเถอะ มันจะมีคนแตก (แยกตัวออกไป ระหว่างกระบวนการตั้งพรรคใหม่)

คุณภาพ ส.ส.ก้าวไกล ครั้งนี้ (เลือกตั้ง 2566) ดีกว่าครั้งก่อน (เลือกตั้ง 2562) แต่ว่ามนุษย์น่ะ พอคุณมีตำแหน่งมีอะไรต่างๆ คุณจะรู้สึกว่าคุณอยากสูญเสียตำแหน่งนี้ไหม? ถึงแม้ว่ามองไปแล้ว โห สมัยหน้าสอบตกแน่เว้ย เหมือนงูเห่าก้าวไกลคราวที่แล้ว แต่มันจะมีอยู่บ้าง (ที่ตัดสินใจแยกตัว) เปอร์เซ็นต์อาจจะไม่สูงเหมือนครั้งที่แล้ว

แล้วก้าวไกลจะถูกบีบในแง่ที่ว่า มันจะเหลือแกนนำน้อยมาก ปัญหาคือการจะเอาคนใหม่เข้ามา คราวนี้ มันจะเห็นเจตจำนงชัดเจนเลยว่า คนมันต้องใจสู้จริงๆ คุณต้องรู้ว่า รอบสาม คุณยังมีสิทธิ์โดน (ยุบพรรคและตัดสิทธิ์) อีกนะ

ขณะเดียวกัน ก้าวไกลก็ต้องหาคนที่มีความสามารถด้วยนะ ไม่ใช่ใจสู้อย่างเดียว อันนี้มันจะยิ่งหนักเข้าไปอีก นี่คือสิ่งที่เขา (ฝ่ายผู้มีอำนาจ) วางสเต็ปไว้ว่าก้าวไกลมันจะทำอย่างไร?

คุณต้องหาคนที่มีเสน่ห์แบบคุณพิธา (ลิ้มเจริญรัตน์) เขา (ผู้มีอำนาจ) ใช้วิธีนี้มาตลอด ในการเด็ดมาตั้งแต่คุณธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ) นี่คืออุปสรรคที่มันจะเป็นปัญหา

แต่ขณะเดียวกัน พลังความโกรธ พลังสนับสนุนก้าวไกล มันก็จะร้อนแรง ถึงแม้เราไม่ได้บอกว่า 14 ล้านเสียงของก้าวไกล มันเป็นหนึ่งเดียวแบบเป๊ะๆ ไม่ใช่หรอก มันไม่ได้เป็นขนาดนั้น แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมา ตั้งแต่เรื่องคุณพิธาไม่ได้เป็นนายกฯ เรื่องอะไรต่างๆ มันยกระดับความคิดของคนที่เลือกก้าวไกลขึ้นมาเรื่อยๆ ความเหนียวแน่นมันจะเพิ่มขึ้น

ผมยังแซวอยู่เลยว่า เพื่อไทยเนี่ย ถ้าบริหารประเทศไปด้วยภาวะปกติ คุณสร้างผลงาน ขณะที่ก้าวไกลอาจจะอ่อนหัดบางเรื่อง คุณไปจับจุดอ่อนหัดมาเขย่า “วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร” มันยังพอแย่งคะแนนเสียงกันได้ คือคนที่ข้ามมา (เลือกก้าวไกล) แล้ว อย่างคนที่เคยเป็นเสื้อแดง ใช่ ไม่กลับ (ไปเพื่อไทย) แต่คนที่เลือกก้าวไกลโดยกระแสนิยม มันสะวิงได้

ตอนนี้ โอกาสของการสะวิงมันยิ่งน้อย แต่ (ฝ่ายก้าวไกล) ก็ต้องคงความเชื่อถือของการปฏิรูปโครงสร้าง การต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ

คนไม่ได้เลือกก้าวไกลเพียงเพราะความโกรธ คุณดูบุคลิกพิธา คนต้องการเห็นอะไร? คนต้องการเห็นสิ่งใหม่ ที่ทำให้ประเทศมันเปลี่ยนจริงๆ ซึ่งตัวนี้ มันก็ไม่มีใครแซงได้

 

เห็นบางคนพูดเรื่อง “ปฏิวัติประชาชน” ผมบอกว่าไม่ใช่หรอก มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นแล้ว คนก็ไม่ได้คิดว่ามันต้องลงถนน ถ้ารู้ว่าไม่ชนะ

แต่ความโกรธ ความอึดอัด ถ้าไม่มีที่ระบาย ตามธรรมชาติมนุษย์ มันจะระบายไปทั่ว การเคลื่อนไหวในปัจจุบัน มันไม่ใช่ยุคพวกผมที่มีขบวนการนักศึกษา เราเห็นตั้งแต่ปี 2563 มันจะไม่มีกฎเกณฑ์

เพราะฉะนั้น ความโกรธมันจะไปทั่ว และมันจะกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล คือพลังต่อต้านจะเยอะขึ้น

เหมือนกับตอนรัฐบาลอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) ก็คือเพื่อไทยเป็นรัฐบาล แต่มีม็อบเรียกร้องให้ยุบสภา อันนี้เป็นจุดที่จะเกิดขึ้นอย่างค่อนข้างเป็นธรรมชาติ

แล้วผมก็มานั่งคิดดูว่า ไอ้สิ่งที่มันเกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน ความคุกรุ่น ความไม่พอใจ นี่มันแรงอยู่แล้ว คุณไม่ต้องมีเรื่อง (ยุบ) ก้าวไกล คุณก็มีเรื่องหมูเถื่อน เรื่องค่าไฟ ความโกรธต่อทุนใหญ่ มันเต็มไปหมด แล้วที่ผ่านมาก็คือว่าเขาฝากความหวังกับก้าวไกล ถึงแม้ว่าก้าวไกลอาจจะทำไม่ได้ก็ได้นะ

แต่พอก้าวไกลถูกตัดออก อารมณ์ของการสะท้อนมันจะไม่ได้เป็นขบวนการ มันสะเปะสะปะได้ด้วย นี่คือ “ความคาดเดาไม่ได้ทางการเมือง” มันจะเพิ่มขึ้น ความไม่นิ่งทางการเมืองเพิ่มขึ้น หุ้นมันถึงตก

หุ้นมันไม่ได้กลัวรัฐประหาร รัฐประหารมีความแน่นอนของมันอยู่