วิบากกรรม พี่ศรี ‘ไถเจอตอ’ กระแสสังคมแรง สะใจ สุดทน

ปฏิบัติการจับกุมตัวนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ผู้ต้องหาขบวนการนักเคลื่อนไหวหรือนักร้องเรียน ข่มขู่เรียกเงินอธิบดีกรมการข้าว แลกกับการไม่ร้องเรียนหรือกลั่นแกล้งให้ถูกตรวจสอบ มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นการปิดตำนาน “นักร้อง” คนดังหรือไม่

ปฏิบัติการครั้งนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับเรื่องร้องเรียนจากนายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว ว่าได้ถูกนายศรีสุวรรณ จรรยา พร้อมด้วยนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ประธานกลุ่มรวมใจรักชาติ และเป็นหนึ่งในคณะทำงานเขตราชการที่ 11 ที่ได้รับการแต่งตั้งจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี พร้อม น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมกันข่มขู่เรียกเงินจำนวน 3 ล้านบาท ก่อนจะมีการเจรจาต่อรองเหลือเพียง 1.5 ล้านบาท เพื่อแลกกับการยุติเรื่องร้องเรียนโครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการปลูกข้าว และโครงการปรับปรุงการผลิตสำหรับผู้ปลูกข้าว โดยอ้างว่าพบข้อพิรุธที่ส่อไปในทางทุจริต

แต่นายณัฏฐกิตติ์มั่นใจว่า ที่ผ่านมาได้บริหารงานหรือปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ถูกผู้ต้องหาทั้ง 3 รายกล่าวอ้างเพื่อข่มขู่ จึงมองว่าการถูกกระทำเช่นนี้ไม่เป็นธรรมแก่ตนเอง

อย่างไรก็ดี เกรงว่าหากถูกร้องเรียนโจมตีบ่อยครั้งเข้า จะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงยอมจ่ายเงินให้ก่อนเป็นจำนวน 1.4 แสนบาท ก่อนแอบถ่ายคลิปวิดีโอตอนส่งมอบเงินเก็บไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นจึงนำมามอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

นำมาสู่การซ้อนแผนจับกุมในครั้งนี้

 

นายดนุเดช ศิริวงษ์ตระกุล ทนายความและที่ปรึกษากฎหมายอธิบดีกรมการข้าว ให้สัมภาษณ์ย้อนไปถึงก่อนเกิดเหตุว่า มีบัตรสนเท่ห์ร้องเรียนอธิบดีกรมการข้าวส่งมายังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก่อนที่อธิบดีกรมการข้าวจะถูกเรียกเข้าไปชี้แจงถึงงบฯ ก้อนดังกล่าว ว่าไม่ได้ใช้แล้ว และส่งให้ทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อช่วยชาวนาไปแล้ว จากนั้นเรื่องจึงยุติไป จนอธิบดีกรมการข้าวมาปรึกษากับตนเองว่าน่าจะถูกคนกลั่นแกล้ง จึงมอบอำนาจให้ไปแจ้งความร้องทุกข์

ต่อมามีที่ปรึกษาของผู้บริหารของกระทรวงเกษตรฯ เรียกอธิบดีกรมการข้าวเข้าไปพบ ก็ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร ซึ่งที่ปรึกษาคนนี้ได้แนะนำให้จ่ายเงินเคลียร์นาย ศ. เรื่องจะได้ยุติลง เพราะหากมีการแถลงข่าวก็จะเกิดความเสียหายอย่างมาก ก่อนจะนัดแนะให้ไปจ่ายเงินที่บ้านนาย ศ. จำนวน 6 หลัก มากกว่า 100,000 บาท

ซึ่งขณะนั้นก็คิดว่าเรื่องจะจบแล้ว แต่เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2566 นาย ศ. และนาย จ. ไปแถลงข่าวที่รัฐสภา กล่าวหาถึงการทุจริตในกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ซึ่งในช่วงท้ายมีการกล่าวถึงกรมการข้าวว่า เป็นกรมเล็ก แต่มีการซุกงบฯ กว่าหมื่นล้านบาท และตั้งภรรยาผู้บริหารให้เปิดบริษัทรองรับการทุจริต

ในวันเดียวกันก็มีโทรศัพท์จากนาย ศ. โทร.เข้ามาหาอธิบดีกรมการข้าว แต่ไม่ได้รับ วันถัดมานาย ศ. ก็โทร.เข้ามาอีก เพื่อนัดกินกาแฟช่วงเที่ยง มาถึงก็บอกว่า ขณะนี้เตรียมตรวจสอบงบประมาณ และเตรียมยื่นให้กรรมาธิการตรวจสอบ ซึ่งอธิบดีกรมการข้าวตอบกลับว่าจะตรวจสอบอะไร และยืนยันว่าไม่ได้ทำความผิด

จากนั้นเมื่อแยกย้ายกันแล้วก็มีโทรศัพท์เข้ามาหาอธิบดีกรมการข้าวอีกครั้ง และเรียกรับเงินเพิ่ม ก่อนที่อธิบดีกรมการข้าวจะยื่นโทรศัพท์ให้ภรรยาเป็นคนคุย ปลายสายตอบกลับว่าจะเรียกเงินจำนวน 2 โล หรือ 2 ล้านบาท ซึ่งภรรยาอธิบดีกรมการข้าวก็บอกว่า ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ทำไมถึงต้องทำแบบนี้ และหากดูแลเล็กๆ น้อยๆ ก็ดูแลได้ ก่อนจะมีการต่อรองกันจนเหลือ 1 กิโลครึ่ง หรือ 1.5 ล้านบาท

โดยทางฝั่งผู้ต้องหาได้ขอให้โอนมาก่อน 100,000 บาท แต่ตัวเองนั้นบอกภรรยาอธิบดีกรมการข้าวว่า โอนไปแค่ 50,000 บาทก่อน ทั้งนี้ เลขที่บัญชีที่มีการส่งมาให้โอนไปนั้นไม่ได้เป็นชื่อของ 1 ใน 3 ผู้ต้องหา จากนั้นก็มีการเร่งเร้าให้จ่ายเต็มจำนวน 100,000 บาท วันที่ 23 ธันวาคม 2566 จึงโอนให้อีก 10,000 บาท

ระหว่างนั้นก็ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพียงพอส่วนหนึ่ง และเข้าพบกับตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) แล้วก็โทร.กลับไปหานาย ศ. ซึ่งบอกว่ายังเหลือเงินที่ต้องจ่ายอีก 1,440,000 บาท ภรรยาอธิบดีกรมการข้าวจึงนำเงินจำนวน 100,000 บาท ไปให้นาย ศ. ที่บ้าน เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 ซึ่งวันนั้นมีการถ่ายคลิปวิดีโอขณะที่นาย ศ. กำลังรับเงิน เป็นพยานหลักฐานจนนำไปสู่การออกหมายจับ

จนวันที่ 26 มกราคม 2567 ตำรวจ บก.ปปป. จึงเข้าจับกุมนาย ศ. โดยมีของกลางเป็นเงินจำนวน 500,000 บาท

 

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า เรื่องของนายศรีสุวรรณเป็นเรื่องที่สังคมกำลังจับตาดูอยู่ ก็ต้องให้กระบวนการยุติธรรมได้ดำเนินการ ซึ่งนายศรีสุวรรณจะผิดหรือไม่ก็ต้องสู้กัน

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายศรีสุวรรณตั้งตนเป็นฝ่ายตรวจสอบคนอื่น ก็ต้องพร้อมรับการถูกคนอื่นตรวจสอบด้วยเช่นกัน ซึ่งการทำหน้าที่ของนายศรีสุวรรณที่ผ่านมาประชาชนก็ติดตามอยู่หลายเรื่อง และเมื่อเกิดเหตุลักษณะแบบนี้ขึ้นมา ก็ต้องไปดูว่าจะกระทบกับความน่าเชื่อถือของนายศรีสุวรรณ หรือนายศรีสุวรรณจะทำอาชีพตรวจสอบได้ต่อไปหรือไม่

ฉะนั้น ทุกภาคส่วนที่มีหน้าที่ตรวจสอบก็ต้องทำอย่างตรงไปตรงมา และทุกฝ่ายก็ต้องพร้อมต่อการที่จะถูกตรวจสอบได้

“สำหรับกรณีของนายศรีสุวรรณ คืออุทาหรณ์ของนักร้องทั้งหมด เพราะถ้าจะร้องก็ต้องร้องอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่ดำเนินการโดยมีพฤติกรรมกระทบต่อความเชื่อมั่น ซึ่งท้ายที่สุดไม่ใช่จะกระทบแค่นายศรีสุวรรณเพียงคนเดียว แต่ก็จะกระทบไปยังนักร้องคนอื่นด้วย ซึ่งนักร้องคนอื่นต้องใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสในการยกระดับการทำงาน ดังนั้น ก่อนจะไปร้องใคร ต้องตรวจสอบดูหน้าดูหลังให้ดี รวมถึงดูข้อมูลหลักฐานว่าเพียงพอหรือไม่ ไม่ใช่ใช้ช่องว่างทางกฎหมายในการเอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง” นายอนุสรณ์กล่าว

 

ด้านมุมมองจากคนที่เคยถูกนายศรีสุวรรณร้องเรียนนั้น นายณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า ผมก็เป็นคนหนึ่งครับที่ถูกพี่ศรีร้องเรียนแบบไร้สาระ แต่สร้างความวุ่นวายและความเสื่อมเสียให้กับตัวกระผมอย่างมาก ตอนนั้นพี่ศรีไปร้อง กกต. ในช่วงกำลังเลือกตั้งเกือบโดน กกต.แขวน แต่ก็ต่อสู้และต้องเอาเอกสารหลักฐานไปชี้แจงต่อ กกต. กว่าจะชนะและรอดพ้นมลทินในชั้น กกต. ผมต้องต่อสู้เสียเวลาไปชี้แจงต่อกรรมการ และใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะชนะ เมื่อชนะแล้วเรื่องมันก็เงียบไปแล้ว”

วิธีการพี่ศรีจะแตกต่างกับนักร้องเรียนคนอื่นๆ ต้องเรียกว่าทำงานแบบนักร้องเรียนมืออาชีพก็ว่าได้ ขั้นตอนทำงานก็คือ 1.รวบรวมประเด็นทำข่าว 2.เขียนหมายข่าว กำหนดวันเวลาสถานที่ที่จะร้อง (แจ้งนักข่าว) 3.พิมพ์เนื้อข่าว (Press release) พร้อมรูปชี้นิ้ว เพื่อแจกนักข่าว 4.ส่งข่าวที่พิมพ์แล้วในกลุ่มไลน์นักข่าว หลายๆ กลุ่มเพื่อทำข่าว 5.แชร์ข่าวให้มากที่สุด

สิ่งที่ได้ผลคือ การสร้างประเด็นในหน้าข่าว และประเด็นที่จะสร้างเป็นประเด็นที่สังคมและการข่าวให้ความสนใจ ทำให้พี่ศรีสร้างชื่อเสียงและเรียกนักข่าวได้เร็ว

แน่นอนจากอาชีพที่ไม่เห็นจะมีอาชีพ จึงเกิดอาชีพที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้นคืออาชีพ “นักร้อง” หากดูยอดจากการร้องเรียนมูลค่าไปแตะหมื่นล้านเลยนะครับ ถ้าจะเรียกเก็บสัก 1% มันหมายถึงตัวเลข 100 ล้านบาทเลยนะครับ

ดังนั้น การแก้เผ็ดกลุ่มนักร้องพวกนี้ แก้เผ็ดในแบบอธิบดีกรมการข้าวนี่ถูกต้องแล้วครับ

ต้องยอมรับว่าความรู้สึกหรืออารมณ์ร่วมของคนในสังคมจำนวนไม่น้อยค่อนข้าง “สะใจ” เพราะที่ผ่านมาการแสดงบทบาท “นักร้อง” ของนายศรีสุวรรณก็เป็นที่น่ากังขา และแน่นอนว่าการถูกจับกุมในครั้งนี้ ย่อมทำให้ความน่าเชื่อถือของนายศรีสุวรรณ ลดน้อยถอยลงยิ่งกว่าเดิม