การเมืองไทย อ่านยาก คาดเดาลำบาก | ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

ต้องยอมรับว่า หลัง “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” มีมติด้วยเสียงข้างมาก 7 ต่อ 1 วินิจฉัยให้ “นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สิ้นสุดสภาพจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

ตามคำร้องอดีตพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่นำทีมโดยพรรคเพื่อไทย-ก้าวไกล เป็นผู้ร้อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ “นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ” สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง(5) ประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 187 และ พ.ร.บ.การจัดการห้างหุ้นส่วนและหุ้นส่วนของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 (มาตรา 41) จากเหตุที่เชื่อได้ว่า คงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและเป็นผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัด “บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น”

มีผลสะเทือนเป็นอย่างสูงต่อพรรคภูมิใจไทย เนื่องเพราะพลันที่ศาลอ่านคำวินิจฉัย ให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดด้วยเสียงข้างมาก “นายศักดิ์สยาม” แสดงสปิริตและความรับผิดชอบ ประกาศลาออกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย

“ต้นไทรใหญ่” ค่ายสีน้ำเงิน “เอนไหวดุจต้นไผ่” ไปในทันที เหตุที่มีผลสะเทือนค่อนข้างมาก เพราะว่า “นายศักดิ์สยาม” มีบทบาทต่อพรรคสูง เป็นน้องเลิฟของ “ครูใหญ่ เนวิน ชิดชอบ” ถูกวางตัวให้เป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 ดูแลพรรคในลำดับถัดไป

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ความเป็นรัฐมนตรีของ “นายศักดิ์สยาม” สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง(5) ถือว่า ยิบย่อย จิ๊บจ๊อย จะไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้เป็นเวลา 2 ปี เมื่อนับไทม์ไลน์

โดยศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้อง และเอกสารประกอบคำร้อง มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยพร้อมสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2566 เท่ากับว่าเวลาที่โดนแบน เหลืออยู่ปีเศษๆ

แต่ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่สิ้นสุดแค่นั้น ยังต้องผ่านด่านนักร้อง พลาดไปย่อมเสียดายแย่ รวดเร็วฉับไว ทันทีทันใดนั้น “นายศรีสุวรรณ จรรยา” ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน เข้ายื่นเรื่องเรียกร้องให้ “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ” หรือ “ป.ป.ช.” กับ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” หรือ “กกต.” ตรวจสอบการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จของ “เสี่ยโอ” พร้อมยื่นเอาผิดจริยธรรมผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามช่องทางรัฐธรรมนูญ และ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 72 ที่ระบุไว้ว่า

“ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สินใด หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย”

เพื่อโยงลายแทงต่อไปยัง พ.ร.ป.พรรคการเมือง ที่ว่า การสิ้นสุดของพรรคการเมือง มาตรา 92 วรรคหนึ่ง(3) ประกอบมาตรา 92 วรรคสอง ระบุว่า “การกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 72 ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคได้ทันที”

ไม่เพียงแต่ “ศรีสุวรรณ” เป็นเจ้าภาพรายเดียวเสียเมื่อไหร่ ยังมี “นายภัทรพงศ์ ศุภักษร” หรือ “ทนายอั๋น” เข้ายื่นต่อ กกต.เพื่อให้ตรวจสอบเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง กรณีที่ “นายศักดิ์สยาม” ยังคงไว้ซึ่งหุ้นและเป็นผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนบุรีเจริญฯ ตนเห็นว่ามีประเด็นที่ให้ กกต.ตรวจสอบข้อเท็จจริง คำวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าว มีนัยสำคัญว่า “นายศักดิ์สยาม” ยังเป็นผู้ถือหุ้น หมายความว่ามีความเป็นเจ้าของในบริษัทบุรีเจริญฯ และในขณะนั้น “นายศักดิ์สยาม” เป็นเจ้าของ หจก.ดังกล่าวนั้น หจก.นี้ได้รับงานทำถนนสร้างถนนหลวงมูลค่าหลายพันล้านบาท ขณะนั้นมีความเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมอยู่

“จึงมีข้อสงสัยว่าเงินดังกล่าวอาจจะเป็นการได้งาน ได้เงินมาจากการฮั้วการประมูลหรือไม่ ซึ่งงานและเงินที่ได้มาจากการฮั้วประมูล ถือว่าเป็นเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเงินนี้เอาไปบริจาคให้กับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งถือว่ารับเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”

อย่างไรก็ตาม แม้นักร้องเสียงทอง จะประสานสิบทิศกันเพื่อเป้าหมายสำคัญสุดคือ “ยุบพรรคภูมิใจไทย” แบบรวดเร็วฉับไว แต่ต้องผ่านเกณฑ์อีกหลายขั้นตอน ใช้เวลาอีกยาวไกล ไม่น้อยกว่าหนึ่งปี ต้องผ่านอีกหลายขั้นตอน ทั้งตรวจรับ ไต่สวน มีมูล ชี้มูล

แม้ตามรูปเกมค่อนข้างเหนื่อยและน่าหนักใจ แต่ “ภูมิใจไทย” มีข้อหักล้างหลายช่องทาง มีการหยิบยกกรณี “ยุบพรรคอนาคตใหม่” มาเทียบเคียง ชั่ง ตวง วัดกันปอนด์ต่อปอนด์ จากมูลเหตุที่ “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ปล่อยเงินกู้ให้กับพรรค แต่มีการเก็บดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าปกติทางการค้า และมองว่าการบริจาคเงินเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงถือว่าเงินของพรรคอนาคตใหม่ได้มาใช้ครั้งนี้ ได้มาโดยมิชอบ จึงมีโทษถึงขั้นยุบพรรค

แต่กรณี “ศักดิ์สยาม” บริจาคให้กับภูมิใจไทย อ้อมกำแพง ตีเข่าโค้ง มาในรูปของนอมินี คือบริษัทบุรีเจริญฯ ที่มีชื่อบุคคลอื่นเป็นผู้ถือหุ้นแทน จึงแก้ต่างได้ว่า ไม่รู้มาก่อนว่าเงินที่ได้มาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

เป็นข้ออ้างเบื้องต้น ที่ภูมิใจไทยเตรียมไว้แก้หมาก และยังมีอีกมากมายหลายประเด็น โดยมั่นใจว่า ค่ายสีน้ำเงิน จะไม่ถูกยุบเหมือนค่ายสีแดง หรือสีส้ม แน่นอน

การเมืองไทย อ่านยาก คาดเดาลำบาก สรุปอะไรล่วงหน้าไม่ได้