2024 ปัญญาประดิษฐ์ จะ ‘ประดิษฐ์’ น้อยลง

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

Cool Tech | จิตต์สุภา ฉิน

Instagram : @sueching

Facebook.com/JitsupaChin

 

2024 ปัญญาประดิษฐ์

จะ ‘ประดิษฐ์’ น้อยลง

 

ตลอดทั้งปี 2023 ที่ผ่านมา ถ้าจะบอกว่าแสงไฟสปอตไลต์สาดส่องไปลงที่เทคโนโลยีไหนได้อย่างเจิดจรัสที่สุด ฉันก็คิดว่าทุกๆ คนก็คงตอบได้ตรงกันว่าปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence แน่นอน

ย้อนกลับไปแค่ราวปีเดียว แทบไม่เคยมีใครได้ยินชื่อของ AI อย่าง ChatGPT หรือ Bard มาก่อน ไม่มีใครรู้ว่ามันสามารถทำอะไรได้บ้าง หรือต่อให้ได้ยินก็คงไม่เชื่อด้วยซ้ำว่ามันจะมาช่วยทำให้ชีวิตเราสะดวกสบายขึ้นได้ หรือทำให้หน้าที่การงานในบางรูปแบบไม่จำเป็นต้องพึ่งมนุษย์อีกต่อไป

ในเมื่อเรากำลังก้าวเข้าสู่ปี 2024 คำถามที่น่าสนใจคือ

AI จะยังคงได้รับความสนใจมากขนาดนี้อีกหรือไม่

AI จะเปลี่ยนไปในรูปแบบไหน

และเราต้องเตรียมตัวอย่างไรให้พร้อมสำหรับ AI ในปีหน้า

 

เว็บไซต์ DW ของเยอรมนีบอกว่าแชตบ็อตที่เก่งกาจอย่าง ChatGPT ได้กลายเป็นผู้ช่วยที่แสนฉลาดของคนทั่วโลก

มันสามารถช่วยสร้างคอนเทนต์ที่มนุษย์อย่างเราๆ ต้องใช้เวลาในการทำหลายชั่วโมงได้เสร็จภายในเวลาอันรวดเร็วด้วยตัวมันเองคนเดียว

และยังมีความสามารถใหม่ๆ ที่ผุดขึ้นมามากมาย ทั้งความเชี่ยวชาญในการเขียนโค้ด การสร้างสรรค์วิดีโอ กราฟิก หรือแม้กระทั่งดนตรี

ความสามารถที่เก่งกาจหลากหลายแบบนี้ทำให้คาดการณ์ได้ง่ายว่า AI ก็จะยังคงครองหน้าสื่อของปี 2024 ต่อไปได้อีกแน่นอน แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เราน่าจะได้เห็นก็คือ Artificial Intelligence จะลดความ artificial ลง

หรือปัญญาประดิษฐ์ จะลดความ ‘ประดิษฐ์’ ลงนั่นเอง

มนุษย์เราจะสามารถสนทนากับแชตบ็อตขุมพลัง AI ได้อย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติมากขึ้นกว่าเดิม จากเดิมเราอาจจะต้องใช้งานมันด้วยคำสั่งแบบง่ายๆ แต่ AI เจเนอเรชั่นต่อไปจะสามารถตอบสนองได้ในแบบที่คล้ายมนุษย์มากขึ้น

หากเราตั้งเป้าหมายที่ต้องการไว้กับผู้ช่วยอัจฉริยะ AI ให้มันใช้ทรัพยากรที่มีในการทำให้เป้าหมายนั้นบรรลุผลสำเร็จ มันก็จะสามารถตัดสินใจและลงมือทำด้วยตัวมันเองได้เลย

AI จะปรับตัวเองให้เข้ากับความชอบและความต้องการของผู้ใช้งานมากขึ้น เรียนรู้จากฟีดแบ็กที่ผู้ใช้งานให้ จนทำให้มันปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทำงานและคิดแบบเดียวกับมนุษย์ได้

 

ตลอดปีที่ผ่านมาเราอาจจะได้เห็น AI สร้างทั้งผลงานที่น่าสรรเสริญและน่าตำหนิ ผลงานบางชิ้นก็ดีเข้าขั้นมาตรฐาน ในขณะที่อีกหลายๆ ชิ้นที่ AI สร้างขึ้นมามีข้อมูลที่เป็นเท็จหรือคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง

หลายๆ ครั้งก็ไปก๊อบปี้ผลงานของคนอื่นจากบนอินเตอร์เน็ตแล้วให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นคอนเทนต์ที่น่าเบื่อซ้ำซากหรือมีความลำเอียงไม่ว่าจะเป็นในด้านการเมืองหรือเชื้อชาติ

AI คลื่นลูกที่สามจะมุ่งเน้นไปที่การมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น แทนที่จะกดปุ่มหรือพิมพ์เพื่อสื่อสารกับ AI แบบที่เราทำกันมาโดยตลอด AI รุ่นใหม่จะเน้นการพูดคุยกับเรามากขึ้น หรือเข้าสู่ความเป็น Interactive AI มากขึ้น

Interactive AI หรือ AI ที่มีปฏิสัมพันธ์จะสามารถรับงานที่มีความสลับซับซ้อนได้มากกว่าเก่า ช่วยติดต่องานกับมนุษย์คนอื่นๆ แทนเราได้ แล้วสรุปเป็นรายงานผลลัพธ์ให้กับเราได้

เมื่อ AI รับฟีดแบ็กจากผู้ใช้งานที่เป็นมนุษย์ได้มากขึ้น มันก็จะสามารถสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพดีขึ้นและมีความเป็นต้นฉบับมากขึ้น ลดการสร้างคอนเทนต์อันตรายหรือคุณภาพต่ำ ผลิตงานออกมาได้ตรงกับความต้องการของเราแบบเป๊ะๆ

ในตอนนี้มีหลายบริษัทที่กำลังมุ่งหน้าพัฒนา Interactive AI เพื่อให้มาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของผู้ใช้งาน อย่างเช่น การออกแบบ AI ให้ช่วยมาระดมสมอง วางแผน หรือแม้กระทั่งมาฟังมนุษย์ระบายความทุกข์

 

อีกตัวอย่างของ AI ที่ได้รับการพูดถึงก็อย่างเช่น Character.ai ซึ่งผู้ใช้งานสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ช่วย AI ที่มีบุคลิกแตกต่างกันออกไป โดย AI แต่ละตัวจะถูกสร้างขึ้นด้วยผู้ใช้งานคนอื่นๆ บางคนก็หยิบเอาแคแร็กเตอร์จากภาพยนตร์หรือละครที่ตัวเองชื่นชอบหรือเซเลบบริตี้ชื่อดังมาใช้สร้าง Interactive AI ของตัวเอง

ฉันลองแวะไปพูดคุยกับ Interactive AI บนเว็บไซต์นี้และพบว่าการได้คุยกับ AI ที่มีหลากหลายแคแร็กเตอร์ให้เลือกเป็นกิจกรรมที่สนุกกว่าที่คิด

มีทั้ง AI ที่มาในรูปโฉมของครูสอนภาษาอังกฤษที่หากเราคุยด้วยมันจะช่วยแก้ไวยากรณ์ให้เราได้

AI ของโสกราตีส นักปราชญ์กรีกโบราณ ที่ท้าทายให้เราไปแชร์ความคิดเห็นและ AI จะใช้วิธีการของโสกราตีสมาตอบ

และแน่นอน AI ที่สร้างขึ้นจากบรรดาผู้นำประเทศต่างๆ

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าในปี 2024 เราน่าจะได้เห็น Interactive AI เผยโฉมกันมากขึ้น แม้ว่าก็ยังมีอีกฝ่ายที่ออกมาค้านว่ากว่ามันจะสามารถเป็น AI ที่มีปฏิสัมพันธ์ที่แท้จริงได้นั้นจะยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีก็ตาม

จะเกิดอะไรขึ้นหาก AI ปรับโฉมให้ตัวเองมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ปฏิสัมพันธ์ด้วยได้แบบคล้ายการพูดคุยโต้ตอบกับมนุษย์ด้วยกันมากขึ้น มีความเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่เข้าใกล้ความเป็นมนุษย์และออกห่างจากความเป็นหุ่นยนต์มากขึ้น

ผลกระทบด้านบวกคือมันสามารถช่วยเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นแน่ๆ ผู้ใช้งานจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เราสามารถโยนงานยุ่งยาก น่าปวดหัว และงานเสียเวลาทั้งหลายไปให้มันทำแทนได้แบบไร้กังวล

 

เมื่อมันแบ่งงานเราไปทำได้ ก็แปลว่ามันก็แย่งงานเราไปทำได้เหมือนกัน

นักวิเคราะห์เทคโนโลยีทำนายกันว่า AI ในปี 2024 จะสามารถทดแทนงานของมนุษย์ได้กว้างขวางกว่าที่ผ่านมา งานที่เคยรอดพ้นยุคคอมพิวเตอร์ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาได้ก็อาจจะไม่สามารถไปต่อได้ในยุคหลังจากนี้ และอาจจะคืบคลานเข้าไปฉกฉวยงานในภาคส่วนที่ไม่เคยต้องกังวลว่าจะถูกแย่งงานมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ งานด้านการเงิน กฎหมาย หรืองานทางการแพทย์ ก็อาจถูก AI ทดแทนได้

ภัยที่อาจจะมาพร้อม AI ในปี 2024 ก็ยังรวมถึงวิดีโอที่ถูกปลอมแปลงผ่านการทำดีพเฟก ซึ่งก็จะมีความสมจริงมากขึ้น และสงครามข้อมูลเท็จเพื่อผลลัพธ์ทางการเมืองก็น่าจะดุเดือดเลือดพล่านขึ้นโดยเฉพาะช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน

ถึงจะฟังดูน่ากลัว แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่จะกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้นอีกมากมาย

ดังนั้น เรามาเดินหน้าเข้าสู่ปี 2024 กันด้วยความหวังและความระแวดระวังไปพร้อมๆ กันเถอะค่ะ