เด็กเก็บบอล : 2018 ปีนักเตะไทยอาละวาดเจลีก

คอลัมน์เขย่าสนาม


ความฝันของนักเตะไทยหลายคน เชื่อว่าคือการที่จะได้ออกไปค้าแข้งยังต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฟุตบอลอาชีพในเมืองไทยมีความแข็งแกร่งมากขึ้น นักเตะไทยมีความสามารถมากขึ้น ก็ย่อมอยากเห็นนักเตะไทยได้โกอินเตอร์มากขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลีกที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย อย่าง “เจลีก ญี่ปุ่น” ซึ่งนับตั้งแต่ที่กลายเป็นลีกอาชีพอย่างสมบูรณ์นั้น นักเตะไทยหาโอกาสได้น้อยมากๆ ที่จะได้ไปค้าแข้งที่นั่น

เอาจริงๆ แล้ว หากลองได้ย้อนอดีตไป จะเห็นได้ว่าฟุตบอลไทยกับฟุตบอลญี่ปุ่นนั้น มีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ที่ยังไม่ได้เป็นฟุตบอลอาชีพกันอย่างเต็มตัวทั้งสองประเทศ เคยมีนักเตะไทยนั้นได้เดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น เพื่อค้าแข้งที่นั่นหลายคนด้วยกัน

คนที่ประสบความสำเร็จที่สุดคงหนีไม่พ้น “โค้งเฮง” “วิทยา เลาหกุล” ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิค สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ คนปัจจุบัน ซึ่งเป็นคนแรกที่บุกเบิกการค้าแข้งในแดนอาทิตย์อุทัย กับสโมสรแรกอย่าง ยันมาร์ ดีเซล หรือ “เซเรโซ่ โอซาก้า” ในปัจจุบัน

ก่อนจะโกอินเตอร์ไปค้าแข้งในเมืองเบียร์กับ “แฮร์ธ่า เบอร์ลิน” และกลับมาเล่นในญี่ปุ่นอีกครั้งกับ มัตซึชิตะ หรือ “กัมบะ โอซาก้า”

และปิดฉากที่การคุมทีม “ไกนาเร่ ตอตโตริ” ทีมเจ 3 ในปี 2551

นอกเหนือไปจากนี้ ยังมีนักเตะไทยอีกหลายคนที่ได้ไปค้าแข้งในญี่ปุ่น ตอนที่ยังไม่เป็นลีกอาชีพ ไม่ว่าจะเป็น “วรวรรณ ชิตะวณิช” กับ “พิชัย คงศรี” เล่นให้กับ “แทจิน มัตสึยาม่า”, “นที ทองสุขแก้ว, รณชัย สยมชัย” ที่ตามรอยโค้ชเฮงไปอยู่กับมัตซึชิตะ, “สมชาย ทรัพย์เพิ่ม, พิชิตพล อุทัยกุล” และ “พงศธร เทียบทอง” ที่เคยอยู่กับ “คอสโม่ออยล์”

คนสุดท้ายที่ได้โกอินเตอร์ไปค้าแข้งในญี่ปุ่นในช่วงที่ยังไม่ใช่ลีกอาชีพแบบเต็มตัว ก็คือ “ประเสริฐ ช้างมูล” ที่ลงเล่นให้กับคอสโม่ออยล์ ร่วมกับ พงศธร เทียบทอง ในปี พ.ศ.2534 ก่อนจะย้ายกลับมาเมืองไทย พร้อมกับการก้าวสู่ฟุตบอลอาชีพเต็มตัวของญี่ปุ่น

 

อย่างไรก็ตาม จากการที่ฟุตบอลญี่ปุ่นเข้าสู่การเป็นฟุตบอลอาชีพอย่างเต็มตัว ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีการพัฒนาวงการฟุตบอลไทยให้เป็นฟุตบอลอาชีพ ทำให้ระดับการแข่งขันมันเริ่มทิ้งห่างกัน จนกลายเป็นว่านักเตะไทยหาโอกาสได้ยากยิ่งขึ้นในการจะเดินทางไปค้าแข้งที่ญี่ปุ่น

กลายเป็นว่านักเตะไทยคนแรกที่ได้ไปค้าแข้งญี่ปุ่น กลายเป็น “บังดุล” “อดุล หละโสะ” ซึ่งได้ไปค้าแข้งให้กับ ไกนาเร่ ตอตโตริ โดยตอนนั้นเป็น “โค้ชเฮง” ที่คุมทีมอยู่ และได้ดึงลูกศิษย์รักของเขาใน “ฉลามชล” “ชลบุรี เอฟซี” ไปเปิดประสบการณ์ที่ญี่ปุ่น แต่ก็เป็นเพียงเจลีก 3 เท่านั้น

ถ้าหากจะพูดถึงลีกสูงสุดนั้น นักเตะไทยหาโอกาสได้น้อยมากที่จะได้ไปค้าแข้งที่นั่น

แม้แต่ในช่วงยุคเริ่มต้นที่ฟุตบอลอาชีพของไทย มีการพยายามส่งนักเตะระดับเยาวชนของไทยไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสรในญี่ปุ่นบ้าง

อย่างเช่น “เมสซี่เจ” “ชนาธิป สรงกระสินธ์” หรือ “ยิม” “วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ” แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มีใครที่ได้รับสัญญาอย่างเป็นทางการเสียที

แม้แต่ในช่วงที่ฟุตบอลไทยกระแสดีขึ้นมามาก ทีมสโมสรมีผลงานที่ดี อย่างตอนนั้น “ปราสาทสายฟ้า” “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” เข้าถึงรอบ 8 ทีม เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก และผลงานของ “อุ้ม” “ธีราทร บุญมาทัน” เป็นที่ประจักษ์อย่างมาก แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีนักเตะไทยได้เข้าไปเล่นในเจลีกเสียที

ส่วนสำคัญคือการที่เจลีกนั้นมีการกำหนดเรื่องของโควต้าผู้เล่นต่างชาติ ซึ่งนักเตะไทยก็เหมือนเป็นนักเตะต่างชาติคนหนึ่ง แต่ถ้าไปเทียบชั้นกับบรรดานักเตะจากยุโรป หรืออเมริกาใต้ แน่นอนว่าสู้ได้ยาก ทำให้โอกาสของนักเตะไทยนั้นลดน้อยลง

แต่สุดท้าย ด้วยความที่ฝีเท้าของนักเตะไทยได้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น การทวงความเป็นเจ้าแห่งอาเซียนกลับคืนมา ด้วยการคว้าแชมป์ซีเกมส์ 3 สมัยติดต่อกัน และแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2 สมัยติดต่อกัน ก็ทำให้นักเตะไทยกลายเป็นที่สนใจของลีกญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น

 

ในที่สุด ไทยก็ได้มีนักเตะคนแรกที่ได้บุกไปค้าแข้งในญี่ปุ่นในที่สุด ก็คือ “เมสซี่เจ” “ชนาธิป สรงกระสินธ์” ที่ได้รับสัญญายืมตัวจาก “คอนซาโดเล่ ซัปโปโร” เป็นระยะเวลาถึง 1 ปีครึ่ง และได้ย้ายไปอยู่ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นช่วงเลกสองของลีกญี่ปุ่น

ซึ่งผลงานในช่วงครึ่งฤดูกาลที่ผ่านมา ชนาธิปเข้าไปเป็นตัวหลักของทีมได้สำเร็จ ได้ลงสนามถึง 16 นัด รวมเวลา 1,346 นาที และทำไป 1 แอสซิสต์ด้วยกัน แถมมีส่วนสำคัญที่พาทีมจบอันดับ 11 ของตาราง จากที่ก่อนย้ายไปนั้นอยู่ในอันดับที่ 15 และต้องหนีตกชั้นอยู่นั่นเอง

ในฤดูกาลที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ชนาธิปเท่านั้นที่ได้ไปเล่นที่ญี่ปุ่น ยังมีนักเตะเยาวชนของไทยอีกสองราย ก็คือ “ย้า” “สิทธิโชค ภาโส” ที่ลงเล่นให้กับ “คาโงชิม่า เอฟซี” และ “ไอซ์” “จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์” ที่ได้เล่นให้กับ “เอฟซี โตเกียว” ทีมยู-23 ลงแข่งขันในเจลีก-3 และกลายเป็นนักเตะไทยคนแรกที่ไปทำประตูในลีกญี่ปุ่นด้วย

จากการที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้ทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับเจลีก ทำให้นักเตะไทยนั้นได้รับสิทธิลงสนามในฐานะญี่ปุ่น ยิ่งเปิดให้ในฤดูกาลหน้านักเตะไทยจะมีโอกาสได้ไปค้าแข้งที่ญี่ปุ่นมากขึ้น

ซึ่งคนต่อมาที่จะได้ไปบรรเลงเพลงแข้งในเจลีก ฤดูกาลหน้าแน่นอนแล้ว ก็คือ “มุ้ย” “ธีรศิลป์ แดงดา” ดาวยิงเบอร์หนึ่งทีมชาติไทย ที่ได้เซ็นสัญญายืมตัวไปอยู่กับ “ซานเฟรซเซ่ ฮิโรชิม่า” อีกหนึ่งทีมดังของเจลีก ที่คนไทยรู้จักและได้ยินชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน

และอีกคนที่กำลังรอลุ้นอยู่ นั่นก็คือ “โก๋อุ้ม” “ธีราทร บุญมาทัน” ซึ่งต้อนนี้ “วิสเซล โกเบ” ทีมที่มี “ลูคัส โพดอลสกี้” ยอดดาวยิงเมืองเบียร์ค้าแข้งอยู่ ได้ยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการมาให้กับ “กิเลนผยอง” “เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด” เช่นกัน

ทั้งสองคนจัดได้ว่าเป็นนักเตะที่คนไทยอยากเห็นได้ออกไปค้าแข้งมากที่สุด ซึ่งถ้าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ปีหน้าเราจะได้เห็นนักเตะไทยถึง 3 คนอย่างน้อย ค้าแข้งอยู่ในลีกต่างประเทศ ตามที่แฟนบอลไทยอยากจะเห็นกันมาเป็นเวลานาน

 

เมสซี่เจ นี่คือปีที่สองของเขา เขาจะต้องเจอกับการประกบที่มากขึ้นเพราะผลงานปีก่อน ส่วนมุ้ย นี่น่าจะเป็นโอกาสสุดท้ายในการค้าแข้งต่างประเทศของเขา หลังผิดหวังมาจากที่สเปน ขณะที่อุ้มเขาฝันอยากเล่นในเจลีกมานาน และนี่ถึงเวลาของเขาเสียที

ยิ่งไปกว่านี้เชื่อว่ายังมีนักเตะไทยอีกหลายๆ คนที่พร้อมจะได้รับโอกาสในการไปค้าแข้งลีกต่างประเทศได้อีก ไม่ว่าจะเป็น “ตอง”กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์”, “ตั้ม” “ธนบูรณ์ เกษารัตน์” หรือ “นิว” “ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์”

แต่ตอนนี้ช่วยกันเชียร์ 3 คนระเบิดฟอร์มในเจลีกกันก่อนเลยดีกว่า