เมื่อ ‘นักเรียนนักเลง’ อัพเลเวล สู่ ‘องค์กรอาชญากรรม’!! พร้อมคำถามจี๊ดถึง ‘อว.-ศธ.’??

“นักเรียนนักเลง” เป็นปัญหาที่อยู่คู่กับ “สถานศึกษาอาชีวศึกษา” มายาวนาน แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพยายามแก้ปัญหา ออกสารพัดมาตรการคุมเข้ม และร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งดูเหมือนปัญหาอาจเบาบางลงบ้าง แต่ก็ยังเกิดเหตุทะเลาะวิวาทระหว่าง “สถาบันคู่อริ” เป็นระยะๆ

โดยหลังจากเกิดเหตุทะเลาะวิวาท หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็มักจะตื่นตัว ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบหาย และปัญหาทะเลาะวิวาทระหว่างสถาบันก็จะกลับมารุนแรงอีก เป็นวัฏจักรวนเวียนไม่จบไม่สิ้น

โดยเฉพาะคู่อริเบอร์ต้นๆ ของประเทศ อย่าง “อุเทนถวาย” และ “ช่างกลปทุมวัน” ที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่อยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทั่งย้ายไปอยู่ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.)…

หนึ่งในแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา คือ ศธ.พยายาม “ยกระดับ” สถานศึกษาอาชีวะ จากที่ผลิตแรงงาน “สายอาชีพ” ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ได้อัพเลเวลขึ้นเป็น “สถาบันอุดมศึกษา” ที่เปิดสอนสายอาชีพระดับ “ปริญญา” เพื่อให้นักเรียนมีความรู้สึกโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และมีวุฒิภาวะเพิ่มขึ้น

เพื่อลดปัญหาทะเลาะวาทระหว่างสถาบันให้ “น้อยลง”…

แต่จากเหตุการณ์ที่มีคนร้าย 2 คนใช้อาวุธปืนยิง น.ส.ศิรดา หรือครูเจี๊ยบ ครูสอนคอมพิวเตอร์ โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ และนายธนสรณ์ หรือน้องหยอด นักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย เสียชีวิต ที่บริเวณหน้าธนาคารทหารไทยธนชาต สาขาคลองเตย เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน

ถัดมาเพียง 9 วัน ก็เกิดเหตุสลดซ้ำ เมื่อมีกลุ่มวัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ยิงน้องภู่ นักเรียนชั้น ปวช.ปี 2 แผนกก่อสร้าง วิทยาลัยเทคนิคดุสิต เสียชีวิต ที่บริเวณทางเท้า ตรงข้ามโรงเรียนอนุบาลกรแก้ว

“คนร้าย” ล้วนแล้วแต่เป็นพวกศิษย์เก่าจากสถาบันคู่อริ…

แสดงให้เห็นว่าปัญหาทะเลาะวิวาทระหว่างสถาบันคู่อริไม่ได้ลดน้อยลงไป ที่สำคัญไปกว่านั้น ยังเพิ่มดีกรีของความรุนแรง โดยเฉพาะอาวุธที่ใช้เป็น “ปืน” แทนไม้ที หรือมีด!!

 

โดยเคสของน้องภู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมมือปืนได้ภายหลังเกิดเหตุเพียง 2 วัน ซึ่ง 1 ในกลุ่มคนที่ลงมือยิงน้องภู่เสียชีวิต เป็นศิษย์เก่าสถาบันคู่อริย่านจรัญสนิทวงศ์ ส่วนผู้ก่อเหตุอีก 2 ราย ยังหนีไปได้

นายจักรินทร์ ดำรักษ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคดุสิต ระบุว่า วิทยาลัยเทคนิคดุสิตไม่มีเหตุทะเลาะวิวาทมาเกือบ 1 ปี จากนี้จะหารือเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดุสิต เฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดมากขึ้น ยอมรับว่า 1 ปีที่ผ่านมา มีการตั้งด่านตรวจสกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณหน้าวิทยาลัย หลังเกิดเหตุทะเลาะวิวาทเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 แต่พอสถานการณ์สงบ ก็ไม่มีการตั้งด่าน จึงกลายเป็นช่องโหว่

ขณะที่เคสครูเจี๊ยบ และน้องหยอด เจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่งจับกุมคนร้ายได้บางส่วน หลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญนาน 11 วัน โดยได้บุกจับนายพฤฒิพล หรือนายเอย อายุ 22 ปี อดีตนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่เคหะเอื้ออาทรบางบัวทอง จ.นนทบุรี ซึ่งมีคดีร่วมกันยิงนักศึกษาอุเทนถวาย ที่บริเวณหน้าคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเดือนมกราคม 2566

แต่ที่น่าตกใจมากกว่านั้น จากการตรวจมือถือของนายเอย พบข้อความในกลุ่มไลน์ชื่อ “ปทุมวัน 890” ที่มีสมาชิก 103 คน โดยมีข้อความที่คาดว่ารุ่นพี่พิมพ์ส่งมา ระบุว่า “พี่ขอแสดงความยินดีกับน้อง ช.ก.90 ที่พาน้อง ช.ก.91 ไปเกิดได้อย่างสมศักดิ์ศรีช่างกลปทุมวัน” ซึ่งเป็นข้อความที่ส่งมาหลังเกิดเหตุการณ์ยิงครูเจี๊ยบ และน้องหยอด

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้เข้าค้นบ้านอีก 2 หลังใน จ.นนทบุรี สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ และเป็นอดีตนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน รวม 7 คน ซึ่งมีทั้งคนที่วางแผน และคอยคุ้มกันผู้ก่อเหตุ ซึ่งภายในเซฟเฮาส์ พบภาพรูปหน้าศพของของอดีตนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน ที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา ติดที่ประตู เพื่อใช้ปลุกใจในการก่อเหตุ

โดยหนึ่งในคนที่จับกุมได้ เป็นคนวางแผน และคอยคุ้มกันกลุ่มผู้ก่อเหตุ ขณะที่อีก 1 ราย เคยร่วมก่อเหตุในคดีกราดยิงในงานแต่งของอดีตนักศึกษาอุเทนถวาย

รวมอดีตนักศึกษาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้ในคดียิงครูเจี๊ยบ และน้องหยอด 9 ราย!!

 

จากพฤติกรรมทั้งหมดนี้ ของอดีตนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล มองว่า การทำงานของอดีตนักศึกษากลุ่มนี้ มีลักษณะเป็น “องค์กรอาชญากรรม” ที่แข็งแรง การทำงานที่ซับซ้อน มีสมาชิกที่มีอุดมการณ์เดียวกันถึง 84 คน และมีการแต่งตั้งหัวหน้าองค์กร ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีข้อมูลสำคัญที่จะเชื่อมโยงไปถึงผู้ลงมือก่อเหตุแล้ว

จากข้อมูลการสืบสวนสอบสวน มีการพัฒนาจนเกินกว่าองค์กรอาชญากรรมไปแล้ว เพราะไม่ใช่แค่ขี่รถไปก่อเหตุ แต่วางแผนกันเป็น 10 คน มีรุ่นพี่ผู้ผ่านประสบการณ์เป็น “พี่เลี้ยง” โดยมีกองทุนเพื่อไว้หาอุปกรณ์ก่อเหตุ กองทุนไว้ประกันตัว และจ้างทนายมาต่อสู้คดี

ที่น่าตกใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อ พล.ต.ต.ธีรเดช ฟันธงว่า ยังมีองค์กรในลักษณะคล้ายกับองค์กรนี้อีกหลายกลุ่ม…

ซึ่ง รศ.เสถียร ธัญญศรีรัตน์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน กล่าวว่า ได้สั่งให้ฝ่ายทะเบียนเช็กข้อมูล พบว่าทั้ง 9 คนพ้นสภาพการเป็นนักศึกษาหมดแล้ว ส่วนกลุ่มที่สนับสนุนกลุ่มผู้ก่อเหตุจนทำเป็นขบวนการนั้น น่าจะเป็นกลุ่มคนที่แอบอ้างชื่อสถาบัน โดยเมื่อเดือนตุลาคม 2566 ได้ให้นักศึกษาพ้นสภาพอีก 140 กว่าคน เพราะขึ้นทะเบียนนักศึกษา แต่ไม่ได้มาเรียน และใช้ชื่อสถาบันไปในทางเสียหาย

โดยยืนยัน นั่งยัน ว่า มทร.วิทยาเขตอุเทนถวาย กับสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน พยายามหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้น แต่ก็ยอมรับว่าหนักใจมาก ที่ถูกนำชื่อสถาบันไปแอบอ้าง ทำให้ตกเป็นจำเลยสังคม!!

 

อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญติดๆ กันถึง 2 เหตุการณ์ เหมือนเป็นการ “ตบหน้า” กระทรวงต้นสังกัด และ “เจ้ากระทรวง” ขณะที่ ศธ.และ อว.ยังขยับตัวกัน “ช้ามาก”…

พร้อมถามหา อว.และ ศธ.เซ็งแซ่ว่า “หายไปไหน”?? หรือ “มี อว.และ ศธ.ไว้ทำไม”??

โดย อว.ต้นสังกัดของ มทร.วิทยาเขตอุเทนถวาย และสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน ซึ่ง น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการ อว. ทำเพียงสั่งการให้นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัด อว.จัดประชุมเพื่อแก้ปัญหา โดยเชิญหน่วยงานและสถาบันที่เกี่ยวข้องมาหารือ เพื่อหามาตรการป้องกัน และแก้ปัญหาการทะเลาะวิวาท

ซึ่งวิธีที่ อว.ขยับ แทบจะ “ไม่ได้” ทำให้สังคม และประชาชน รู้สึกอุ่นใจ หรือปลอดภัยแม้แต่น้อย เพราะยังคงต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวง ไม่รู้ว่าวันใดวันหนึ่งจะโดน “ลูกหลง”…

ขณะที่ ศธ.เอง ได้แต่แสดงความเสียใจ และสั่งเยียวยาครอบครัวครูเจี๊ยบ และน้องหยอด ตามนโยบายของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. พร้อมกำชับให้สถานศึกษาอาชีวะรัฐ และเอกชน ในสังกัด สอศ.เฝ้าระวังไม่ให้เกิดเหตุทะเลาะวิวาท โดยจัดเวรยามกวดขันตามจุดเสี่ยงและจุดอับ โดยทำงานควบคู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ทั้งหมดทั้งมวล เป็นการทำงานแบบ “รูทีน” ไม่ได้ทำงานแบบมุ่งไปข้าง หรือหวังผลแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง และไม่ได้มีนโยบายชัดเจน หรือแตกต่างไปจากที่ผ่านๆ มา ออกจะเรื่อยๆ เฉื่อยๆ เสียด้วยซ้ำ…

ท้ายที่สุด คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ หรือประชาชนตาดำๆ คงต้องหันมาระแวดระวังภัยกันเอาเอง!! •

 

| การศึกษา