โคโรนาไวรัส ยังอยู่ คำเตือนจาก CDC อเมริกา

(Photo by Tolga Akmen / AFP)

หนังสือพิมพ์ของเมืองเรดดิ้ง รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อเร็วๆ นี้ พาดหัวข่าวหน้า 1 ว่า

CORONAVIRUS ‘มันยังอยู่ที่นี่’
“It’s Still Here”

พร้อมพาดหัวรองว่า

เคสกำลังเพิ่มขึ้น มีคำเตือนเกี่ยวกับโควิดอย่างแรงกล้าจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

เนื้อข่าวบอกว่า เมื่อสำนักงานกลาง (Federal) ป้องกันโควิดฉุกเฉินของสาธารณสุข (the federal COVID-19 public health emergency) ประกาศยกเลิกเฝ้าระวังการแพร่ระบาดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2023 นั้น ทั้งประเทศรับรู้การกลับมามีชีวิตชีวา

ดูเหมือนจะชี้ให้เห็นว่า จุดที่แย่ที่สุดของการแพร่ระบาดจะเห็นได้ชัดเป็นภาพลวงอยู่ในกระจกเงา และการเปลี่ยนแปลงทั่วโลกเป็นไปอย่างผ่อนคลายที่ไม่ใช่ของจริง

ในหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นจริง คือ จำนวนเคสลดลง ยกเลิกการบังคับสวมหน้ากาก คนกลับมาทำงาน เข้าร้านอาหาร เด็กไปโรงเรียน และผู้คนรวมตัวกันในที่สาธารณะ

แต่ไม่ใช่ว่าสิ่งต่างๆ เริ่มดีขึ้นนั้นจะหมายความว่า โควิดจะหมดไป เพราะมันเริ่มกลับมาแล้ว

จำนวนเคสเริ่มเพิ่มขึ้น ขับเคลื่อนด้วยเชื้อตัวใหม่ แต่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขกล่าวว่า ยังโชคดีที่อาการล่าสุดมีแนวโน้มที่ไม่รุนแรง

“เราอยู่ในสถานะที่ดีกว่าเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว” Dr. Debra Powell หัวหน้าแผนกโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลเรดดิ้งกล่าว

“แต่ผู้คนก็ต้องจดจำว่า มัน (โควิด) ยังอยู่ที่นี่”

การติดตามยอดติดเชื้อโควิดไม่ง่ายเหมือนที่เคนผ่านมา เพราะจากการประกาศสิ้นสุดสถานกาณ์ฉุกเฉิน บรรดานักสาธารณสุขและเหล่าเอเย่นต์ก็ยกเลิกรายงานผลบวกของโควิดที่เคยลงรายละเอียดในจำนวนเคส อัตราการตาย การนอนโรงพยาบาลและข้อมูลอื่น

ทางรัฐและองค์การควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ (the U.S. Centers for Disease Control and Prevention – CDC) ได้ยกเลิกการรายงานจำนวนเคสในแต่ละวัน เหลือเพียงจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาลและคนตาย

แต่เพื่อให้ได้รับรู้สถานการณ์ที่แท้จริง หนังสือพิมพ์ the Reading Eagle ได้สอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล Reading Hospital และโรงพยาบาล Penn State Health St. Joseph Medical Center

ทั้ง 2 โรงพยาบาลบอกว่าเห็นตัวเลขเคสโควิดเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม

 

“เราเห็นผลบวกเพิ่มขึ้นมากจากห้องแล็บ” หมอ Wolf กล่าว “เราพบผลบวกเพิ่มขึ้น 21% แน่นอนว่า เราไม่ได้คัดกรองมากมาย นอกจากตรวจจากคนที่มีอาการเท่านั้น”

ทั้ง Dr. Powell และ Dr. Wolf บอกว่า ถึงแม้เคสโควิดจะเพิ่มขึ้น แต่จำนวนคนเข้าโรงพยาบาลก็ไม่ได้เป็นไปอย่างล้นหลามเหมือนกับการแพร่ระบาดในระยะแรก

ทั้งนี้เพราะการแพร่ระบาดของเชื้อปัจจุบันไม่มีอาการรุนแรง

“ข่าวดีก็คือ ในทุกเชื้อตัวแปรที่พัฒนาไปมีการติดเชื้อที่มากขึ้น แต่ไม่มีอาการรุนแรง” Dr. Powell กล่าว

หมอ Powell ยังกล่าวอีกว่า คนไข้ส่วนมากที่ติดโควิดจะมีอาการปวดหัว, เจ็บคอ และไอ ประมาณ 3-5 วัน

“บางคนยังคิดว่า แค่เป็นหวัด” หมอ Powell เสริม

หมอ Wolf เพิ่มเติมว่า การสูญเสียการได้กลิ่นและการไม่รู้รส ซึ่งเป็นอาการของโควิดในยุคเริ่มแรก ตอนนี้หมดสิ้นไปแล้ว

และคุณหมอ Wolf ยังเห็นด้วยว่า คนไข้ส่วนมากไม่มีอาการรุนแรงใดๆ

ผลรวมคือการต้องนอนโรงพยาบาลจากโควิดยังอยู่ในอัตราต่ำ

 

หมอ Powell และหมอ Wolf บอกว่ามีเหตุผล 2-3 อย่างที่มีผลต่อโควิด มีอาการลดน้อยลงคือ

ข้อแรก คนจำนวนหนึ่งได้ภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนหรือจากการติดเชื้อ ช่วยให้ร่างกายสู้กับเชื้อโรค และลดความรุนแรงจากการติดเชื้อ

ประการต่อมา ตัวเชื้อโรคเองได้กลายพันธุ์จาก variant หนึ่งไปยังตัวอื่น

สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดมาคือมีการติดเชื้อรวดเร็วขึ้น ขยายพันธุ์รวดเร็ว แต่อาการอ่อนลง หมอ Powell กล่าว แล้วเพิ่มเติมว่า

“มันเหมือนกับ a parasite ที่จะไม่ฆ่าร่างที่มันเข้ามาอาศัย มันจะเกาะกับเราไปเรื่อยๆ แล้วกระโดดไปยังคนอื่นๆ”

ถึงจะมีสัญญาณว่า โควิดจะมีอันตรายน้อยลงจากการกลายพันธุ์แต่ละครั้ง แต่พวกสาธารณสุขก็บอกว่า ผู้คนยังต้องระวังเรื่องโควิดอยู่ดี

ยังมีคนส่วนหนึ่งที่มีอัตราเสี่ยงเจ็บป่วยหนักถ้าติดโควิด จำนวนเคสที่เพิ่มขึ้น สร้างจำนวนคนที่จะเจ็บป่วยและทุกข์ระทมเพิ่มขึ้น

“เรายังมีกลุ่มคนที่เปราะบาง” Dr. Powell กล่าว “โดยเฉพาะกับคนสูงวัย”

หมอ Powell แนะนำว่า คนที่คิดว่าติดเชื้อจะต้องมีการเทส แล้วถ้าเป็นบวกจากโควิด ต้องกักตัวห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 5 วัน

และทั้งหมอ Powell และหมอ Wolf กระตุ้นให้คนเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยเฉพาะคนที่มีอัตราเสี่ยง

หมอ Powell บอกว่า คนที่อายุเกิน 65 ปีควรได้วัคซีนรุ่นใหม่เช่นเดียวกับคนที่มีโรคร่วม รวมทั้งคนที่ต้องทำงานกับคนกลุ่มใหญ่เช่นพวกครู พวกในวงการสาธารณสุข

ถ้ารับสัมผัสผู้ติดเชื้อมาต้องรีบฉีดวัคซีน

 

หนังสือพิมพ์ Reading Eagle ระบุว่า ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวปีนี้จะได้เห็นการเพิ่มขึ้นของ Flu cases, COVID-19 cases และ respiratory syncytial virus – RSV (ไวรัสโรคระบบทางเดินลมหายใจ) โรคทั้งหมดนี้มีการพยากรณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นพร้อมกับอากาศหนาวเย็น

แต่ยังโชคดีที่นักสาธาณสุขท้องถิ่นผู้เชี่ยวชาญ ให้ความเห็นว่ามีสิ่งที่จะป้องกันตัวจากโรคทั้ง 3 อย่างได้ กล่าวคือ

ในช่วงเดียวกันนี้ของปีที่แล้ว หมอผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำเรื่องความเป็นไปได้ของระบบ “tri-demic” ของการเจ็บป่วย

ฤดูของ flu – ไข้หวัดกำลังมา เป็นที่คาดการณ์ว่าจะเลวร้ายยิ่งกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา นั่นเป็นเพราะช่วงที่แพร่ระบาด COVID pandemic นั้น flu ได้หายไป

“ช่วงพีกของ COVID พวกเราทุกคนใส่ masks และอยู่ห่างกัน” Dr. Debra Powell หัวหน้าแผนกโรคติดเชื้อ โรงพยาบาล Reading Hospital อธิบาย

“ในฤดูหนาว ปี 2020-2022 flu cases เป็นศูนย์ แสดงว่าการใส่ masks ได้ผล”

หมอ Powell บอกว่า ฤดูหนาวปีที่แล้ว โรงพยาบาลเห็นตัวเลขเพิ่มขึ้นของ flu cases เพราะคนเลิกใส่ masks หันไปใช้ชีวิตตามปกติ

“การกลับขึ้นมาของ flu เกิดขึ้นในขณะที่ COVID ยังยืนทะมึนอยู่เบื้องหลัง”

หมอ Powell กล่าว พร้อมเพิ่มเติมว่า “อัตราเข้าโรงพยาบาลของโควิดใน Berks เพิ่มขึ้นจาก 35 เป็น 70 ระหว่างเดือน กันยายนถึงเดือนกุมภาพันธ์”

แล้วก็ถึงขาที่สามของ “tri-demic” นั่นคือ RSV โรคไวรัสของระบบทางเดินลมหายใจที่แพร่กระจายข้ามประเทศ โดยเฉพาะในหมู่เด็กๆ ที่กลับเข้าสู่โรงเรียน

“เรามีเด็กที่ยังไม่ติดเชื้อ RSV ที่ปรากฏออกมาว่า กำลังติดเชื้อในขณะเดียวกัน”

องค์ประกอบของความเจ็บป่วย 3 ประการ ที่เข้ามาพรัอมกันในเวลาเดียวสร้างความกดดันสู่วงการแพทย์

“เราเห็นการเพิ่มขึ้นของตัวเลขการแอดมิตจากการเจ็บป่วย 3 ประการ” Dr. Kimberly Wolf รองประธานฝ่ายการแพทย์ของ Penn State Health St. Joseph Medical Center กล่าว

“มันเพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ปีที่แล้ว”

ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ท้องถิ่นบอกว่า ความเจ็บป่วยทั้ง 3 ประการจะเพิ่มขึ้นมากในฤดูหนาวนี้

หมอ Powell คาดว่า flu จะเพิ่มขึ้น เพราะมาตราการเฝ้าระวัง เช่น การเว้นระยะห่าง ได้ยกเลิกไป

“เราจะได้เห็น flu เพิ่มขึ้นมากในปีนี้ เมื่อเทียบกับ 2-3 ปีที่แล้ว เรากำลังเข้าสู่ฤดูกาล flu ระบาดเหมือนในอดีต”

หมอ Powell ยังคาดอีกว่า RSV จะกลับมาเพิ่มขึ้น หลังจากปีที่แล้วเคสลดลงนิดหน่อย

และ COVID ไม่ได้หายไป

 

ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ท้องถิ่นรายงานว่า ตัวเลขเคสการป่วยเพิ่มขึ้น และคิดว่าแนวโน้มคงเพิ่มขึ้นตลอดหน้าหนาวนี้

ยังโชคดีที่เคสโควิดสมัยใหม่ มีความรุนแรงลดลง คนไข้ส่วนมากมีอาการไม่รุนแรงและหายไปในหนึ่งอาทิตย์

การป้องกันคือกุญแจสำคัญ

กล่าวโดยทั่วไป การเจ็บไข้เป็นอันตรายสำหรับกลุ่มมีความเสี่ยงสูงที่จะเจ็บป่วยรุนแรง เช่น พวกโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง, โรคหัวใจ. โรคเบาหวาน, โรคอ้วนและโรคอื่นๆ

เพื่อลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด พวกหมอแนะนำให้คนใช้เครื่องป้องกันที่ดีที่สุด คือ ฉีดวัคซีน

วัคซีนสำหรับ 3 โรคตอนนี้พร้อมแล้ว ประกอบด้วย

COVID vaccine booster ตัวใหม่ แนะนำสำหรับโดยเฉพาะคนที่อายุเกิน 65 และคนที่มีโรคร่วมตามที่ระบุ

วัคซีน flu รุ่นใหม่ออกมาคั้งแต่เดือนที่แล้ว เป็นวัคซีนรุ่นใหม่สำหรับ RSV ด้วย เหมาะสำหรับคนไข้ที่มีความเสี่ยงเรื่องปอดและโรคหัวใจ

นอกจากคำแนะนำเรื่องวัคซีน ผู้เชี่ยวชาญสาธารณสุขท้องถิ่นยังแนะนำ เรื่อง “Hand hygiene”

เบสิกของ hand hygiene คือล้างมือบ่อยๆ

หมอ Powell และหมอ Wolf ยังแนะนำคนที่มีอาการติดเชื้อเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ให้ถือเป็นเรื่องซีเรียส

และถ้ามีอาการเป็นหวัด (cold) ก็ให้เทส COVID ด้วย เพราะตอนนี้สองตัวนี้คล้ายกันมาก

คนที่มีอาการติดเชื้อ COVID, flu, หรือ RSV ให้อยู่บ้านและอยู่ห่างคนอื่นอย่างน้อย 5 วัน

หลังจากนั้น ถ้าต้องออกจากบ้านก็ให้ใส่ masks อย่างน้อยอีก 5 วัน เพื่อป้องกันการนำเชื้อไปติดคนอื่น

 

Dr. Mandy Cohen ผู้อำนวยการ CDC คนใหม่ให้สัมภาษณ์ CNN ว่า

เราอยู่ในสถานะที่แตกต่างจากครั้งก่อน เราอยู่นอกเขตฉุกเฉิน

แต่ COVID ยังอยู่กับเรา

Dr. Cohen บอกว่าตอนนี้มีคนไข้ 20,000 คนในโรงพยาบาลเพราะ COVID

มีคนอายุเกิน 65 ปี หลายร้อยคนตายเพราะ COVID ทุกอาทิตย์

ตัวเลขการป่วย COVID เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว

มีเครื่องมือป้องกัน COVID หลายอย่าง อย่างแรกคือ Vaccine หวังว่าทุกคนจะได้ฉีดแล้ว

วัคซีนนั้นปลอดภัย ป้องกันผลร้ายจาก Long COVID data บอกว่ามันป้องกันได้ ลดความเสี่ยงจาก Long COVID

นอกจากนั้น มีการ test ต่างๆ พร้อมทั้งการป้องกันตามปกติทั่วไป

การใส่ masks ยังจำเป็น รวมทั้งเรื่องการระบายอากาศ (Ventilation)

การล้างมือบ่อยๆ และการอยู่บ้านเมื่อมีอาการ รวมแล้วคือต้องการเครื่องมือมากขึ้นในการป้องกันตัวเอง

ในเรื่องการใส่ masks ผู้อำนวยการ CDC บอกว่า CDC มีนโยบายให้เด็กนักเรียนใส่ masks การใส่ masks ยังเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะกับเด็กที่ต้องขีดเส้นใต้ เราต้องการให้เด็กเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนพื้นดิน ในชุมชน

ตอนนี้มีโรงเรียนในแมรี่แลนด์ให้เด็กใส่ masks แล้ว

COVID-19 ยังอยู่

เราเตือนคุณแล้ว