แม่ยาย | เรื่องสั้น : ธารา ศรีอนุรักษ์

เรื่องสั้น | ธารา ศรีอนุรักษ์

แม่ยาย

 

(-หนึ่ง-)

เสียงดนตรีดังแว่วมาจากสถานที่ใกล้ๆ ทำนองเพลงฟังสนุกสนานชวนครื้นเครง แสดงว่าต้องมีงานอะไรสักอย่าง ที่ไหนมีงานที่นั่นย่อมมีของกิน ท้องไส้นางรู้สึกร้องโครกครากขึ้นมาทันทีเมื่อคิดถึงอาหาร ลูกๆ พริ้มตาหลับอยู่ในอ้อมอก ไม่กล้าไหวกาย กลัวลูกๆ ตื่น ไม่อยากให้เขาตื่นมาสะเปะสะปะไขว่คว้าเต้านมแม่ยัดใส่ปากดูดอย่างไม่อินังขังขอบอะไร ไม่รู้เลยสักนิดว่าแม่เจ็บปานไหน น้ำนมจะผลิตออกมาได้อย่างไรเมื่อสิ่งที่แม่กินเข้าไปแต่ละมื้อแค่ข้าวเย็นแข็งๆ กินกับกับข้าวที่แทบจะเรียกว่าเศษขยะด้วยซ้ำ ลูกหนอลูก

ขณะนอนนิ่งมีเพียงเนื้อเหี่ยวๆ บริเวณท้องเท่านั้นที่เคลื่อนไหวพอให้รู้ว่าซากร่างนี้ยังมีลมหายใจ ฟ้าจู่ๆ ก็โปรยลงมาเหมือนหว่านเมล็ดถั่วเขียวกระสอบใหญ่ คงจะดีไม่น้อยหากน้ำฝนกินแล้วทำให้ท้องอิ่มเหมือนข้าว แต่ฝนก็คือฝน นอกจากมาพร้อมกับความเหน็บหนาวแล้ว ยังทำให้เพิงโกโรโกโสที่นางอาศัยซุกหัวนอนชื้นแฉะน่าเวทนาเข้าไปอีก นางคู้กายห่อหุ้มตัวลูกๆ ให้เปียกฝนน้อยที่สุด

ฝนฟ้าคร่ำครวญอยู่ครู่ใหญ่ หาเรื่องกลั่นแกล้งสรรพชีวิตที่ทุกข์ยากอยู่แล้วให้ทุกข์หนักเข้าไปอีก พอหนำใจก็สะเด็ดหยาดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหล่าลูกน้อยได้ไออุ่นจากกายแม่หลับพริ้มอย่างน่าเกลียดน่าชัง ปากเล็กๆ จมูกน้อยๆ เยิ้มคราบน้ำลาย นางค่อยๆ ยันกายช้าๆ กลัวลูกๆ ตื่น โซเซเดินย่องออกมาจากเพิงพัก มุ่งไปยังงานตามเสียงเพลงที่ดังก้องอยู่ไม่ไกล

เส้นทางจากเพิงที่นางพักกับสถานที่ต้นตอของเสียงเพลงไม่ไกลนัก ถ้าใช้ทางลัดป่าละเมาะผู้คนไม่ชอบสัญจร ดีกว่าถนนดำสร้างใหม่ รถราพลุกพล่านอันตราย นางไม่ชอบถนน รู้สึกได้กลิ่นความตายแฝงอยู่ตลอดสาย ทั้งความตายจากเจ้าของที่ดินหัวใจแตกสลายหลังถูกเวนคืนธรณีรกรากบรรพบุรุษสร้างเป็นถนนสมัยใหญ่ ความตายจากสัตว์เล็กสัตว์น้อยสังเวยล้อรถอำมหิตตะกละตะกลาม บดขยี้อย่างไร้ปรานีปราศรัย ชั่วอึดใจใหญ่นางก็พาร่างผอมโซโผล่ยังสถานที่ราชการต้นทางของเสียงเพลงดัง มองผ่านๆ มีเต็นท์กางอยู่หลายหลัง ภายในเต็นท์มีเก้าอี้สีน้ำเงินวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ ผู้คนเริ่มทยอยมาร่วมงาน ประสบการณ์แล้วๆ มา การซ่อนตัวจนกว่าจะมีอาหารหลงเหลือทิ้งขว้างแล้วค่อยออกจากที่ซ่อน รีบกินให้เร็วและเยอะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

นางจึงได้แต่รอ และรอ

 

(-สอง-)

“ยาย เสร็จหรือยัง เขานัดเก้าโมงเช้านะ เดี๋ยวก็ไปสายหรอก”

เสียงแจ้วๆ ของเด็กหญิงวัยเก้าขวบเศษ ดังขึ้นในบ้านไม้เก่าสภาพกรำแดดกรำฝนมาค่อนชั่วอายุคน ขณะผู้ถูกเรียกกุลีกุจอหาเสื้อผ้าที่คิดว่าดีที่สุดสวมใส่

“เอ็งมาดูซิว่า ตัวนี้ข้าใส่แล้วดูเรียบร้อยรึเปล่า”

“โธ่…ยาย ตัวไหนก็ใส่ๆ ไปเหอะ”

หลานตัวน้อยต่อปากต่อคำยายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เธอพูดเก่งจนเป็นที่เลื่องลือ และผลจากการพูดเก่งนี่แหละทำให้ได้รับรางวัลพูดสุนทรพจน์มากมาย เป็นตัวแทนระดับโรงเรียนไปแข่งขันได้โล่ได้ถ้วยสารพัด และที่ต้องวุ่นวายตั้งแต่เช้า งัวเงียตื่นก่อนไก่โห่ ก็เพราะต้องไปรับรางวัลพูดสุนทรพจน์ชนะเลิศระดับอำเภอ ในหนังสือเชิญเข้าร่วมงานระบุต้องพาผู้ปกครองไปร่วมด้วย

“เอ็งพูดเรื่องอะไร ถึงได้รางวัลกับเขา”

“ให้ยายทาย…”

“ข้าจะไปรู้หรือวะ เอ็งก็บอกๆ มาเหอะ”

“เรื่องพระคุณแม่…จ้ะยาย”

สิ้นเสียงตอบ ผู้เป็นยายถึงกับสายตาลดลงมองต่ำ เหมือนมีก้อนแข็งอะไรบางอย่างมาจุกลำคอ สะท้อนใจพูดอะไรไม่ออก ย้อนหลังจากนี้ไปเมื่อสี่ปีที่แล้ว โศกนาฏกรรมใหญ่หลวงเกิดกับหลานรัก จากเด็กอยู่ท่ามกลางความรักความอบอุ่นของพ่อแม่ บ้านอยู่ในตลาด สิ่งอำนวยสะดวกครบครัน ทำอะไรมีแต่คนโอ๋คอยตามใจ อยากได้อะไร อยากกินอะไร พ่อแม่รีบไขว่คว้าหามาให้ งานวันเกิดแต่ละปีแทบจะปิดซอยในตลาดเลี้ยง พ่อแม่เห่อลูกยังกะอะไรดี แต่แล้วโชคชะตาพลิกผัน ชั่วข้ามคืน แม่ประสบอุบัติเหตุจากไปกะทันหัน ห่างกันไม่ถึงเดือนพ่อถูกตำรวจจับข้อหามีสิ่งเสพติดไว้จำหน่าย ใช้ทรัพย์สินเงินทองบ้านโฉนดที่ดินในตลาดค้ำประกันหวังออกมาสู้คดี แต่สุดท้ายคิดสั้น ตัดช่องน้อยแต่พอตัวหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน ทิ้งภาระทุกอย่างไว้ข้างหลัง เจ้าที่หน้าริบทรัพย์สินประกันโฉนดบ้านที่ดินในตลาด ไม่มีข่าวคราวหลังจากนั้น เงียบหายเหมือนตายจาก ลูกน้อยถูกญาติฝ่ายพ่อผลักไสความรับผิดชอบ ไม่อยากเป็นภาระระยะยาว ในที่สุดต้องมาอยู่กับยาย

แรกๆ ผู้เป็นยายต้องทุ่มเทกายใจความรักมหาศาล เพื่อปรับตัวให้เข้ากับหลานตัวน้อยที่แสนเอาแต่ใจ ขี้งอแง รักความสบายตามแบบเด็กตลาดถูกเลี้ยงอย่างเอาใจสารพัด นางมีลูกสาวคนเดียว สามีชิงตายตั้งแต่ลูกยังไม่เต็มสาว พอลูกแต่งงานออกเรือนย้ายไปอยู่ตัวอำเภอในตลาด นางเหมือนถูกลืม วันๆ นั่งเงียบเหงาในบ้านไม้ผุๆ ริมแม่น้ำ นานๆ ลูกสาวถึงจะมาเยี่ยม กระทั่งไม้ใกล้ฝั่งอย่างนางเหมือนได้พลังชีวิตเพิ่มอีกครั้งในวันที่รับหลานตัวน้อยมาอยู่ด้วย

“อาวๆๆๆ นั่งซึม ลืมอะไรอีกหรือยาย…”

“เปล่า…ข้าคิดอะไรของข้าไปเรื่อย ว่าแต่เอ็งเถอะ เสร็จรึยัง”

ยายตอบหลานแก้เก้อ ก่อนรีบเดินยักแย่ยักยันเตรียมจะไปปิดประตูบ้าน แต่ถูกหลานตัวน้อยแย่งหน้าที่ไปเสียก่อน

เส้นทางจากบ้านไปหน้าถนน ต้องเดินลัดเลาะทางเดินแคบๆ ทางสายนี้แหละที่แรกๆ กว่าหลานจะยอมเดินไปโรงเรียนตอนเช้า ผู้เป็นยายต้องคอยจูง คอยอุ้ม คอยปลอบประโลมสารพัด หลานไม่ยอมไปหากแม่ไม่จูงมือไปส่ง นางต้องใช้ความรักความอดทนอย่างมหาศาล ค่อยๆ อธิบาย ว่าแม่ของหลานไม่มีวันกลับมาเดินจูงไปส่งโรงเรียนได้อีกแล้ว

“ยายเดินไหวมั้ย จับมือหนูนี่ จะช่วยจูง”

“ข้าเดินไหว ไม่ต้องจูงหรอก เดี๋ยวสะดุดขาได้ล้มกลิ้งเป็นลูกขนุนกันพอดี”

“ฮะฮะฮ่า ถ้าไม่กลัวยายเจ็บ หนูก็อยากเห็นยายล้มกลิ้งเป็นลูกขนุนอยู่เหมือนกันนะ ฮะฮ่า…”

ผู้เป็นยายได้ยินถึงกับยิ้มปากกว้างให้กับความทะเล้นของหลานรัก รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ถ้าไม่ใช่เพราะหลานคนนี้ นึกไม่ออกเหมือนกัน จะมีอะไรมาทำให้ใบหน้าเหี่ยวๆ ยิ้มออกได้บ้างในแต่ละวัน

สองยายหลานเดินมาถึงปากทางถนนใหญ่ ผ่านเพิงคนงานก่อสร้างร้างเก่าโกโรโกโสที่คนมักง่ายจะเอาขยะมาทิ้งกันบริเวณนี้ จากนั้นนั่งวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปยังที่ว่าการอำเภอซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก คือสถานที่จัดงานเนื่องในวันแม่แห่งชาติ ไปถึงทางคณะครูที่สอนหลานได้รอรับอยู่ก่อนแล้ว รีบกุลีกุจอให้ทั้งสองเข้านั่งประจำที่ในเต็นท์ เพื่อรอเวลานายอำเภอประธานในพิธีมากล่าวเปิดงาน

“กินอะไรกันมาหรือยังจ๊ะยาย… มีข้าวกล่องแจกสำหรับผู้ปกครองและนักเรียนที่มารับรางวัล เดี๋ยวหนูไปเอามาให้นะคะ เผื่อคุณยายกับหลานจะหิว ได้กินอะไรรองท้องกันก่อน กำหนดการเลื่อนจากเดิมเล็กน้อย นายอำเภอท่านติดภารกิจ กำหนดการเดิมเปิดงานเก้าโมง เลื่อนเป็นสิบโมงครึ่ง จะนั่งกินที่นั่งตรงนี้ หรือลุกไปหามุมตรงไหนที่สะดวกก็ได้ค่ะ…” ครูประจำชั้นซึ่งคุ้นเคยกับยายหลานคู่นี้ดี เพราะเคยไปเยี่ยมบ้าน ขออนุญาตเด็กหญิงกับยายไปร่วมแข่งขันพูดสุนทรพจน์ตัวแทนโรงเรียนหลายครั้ง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองยายหลานไหนเลยจะปฏิเสธน้ำใจแสนงาม รับข้าวกล่องจากครูแล้วชวนกันไปนั่งตรงมุมลับตาคน เพื่อจัดการภารกิจเกี่ยวกับปากท้อง

 

(-สาม-)

ผู้คนทยอยเข้ามาในงานจนหนาตา หลายคนอยู่ในชุดขาวเครื่องแบบราชการเต็มยศ ดูสง่าน่าเกรงขาม ท้องไส้เริ่มส่งเสียงร้องโครกครากอีกรอบ นางหิวจนรู้สึกนัยน์ตาพร่าเลือน แต่ยังคงซ่อนตัวในหลืบซอกข้างอาคาร ไม่กล้าปรากฏกายให้ใครเห็น ทุกแห่งทั่วที่ในความรู้สึกของนางไม่ปลอดภัย ทำไมหนอโลกนี้จึงมีแต่ความโหดร้าย หรือเป็นเพราะนางมีเพศอ่อนแอ จึงมักถูกเพศแข็งแรงกว่าจ้องรังแก ทั้งคุกคามทางเพศ ข่มขืน แย่งชิงอาหาร ใช้ความแข็งแรงกว่าทำร้ายสารพัด นางต้องเป็นฝ่ายถอยร่นหลีกทางให้อยู่ร่ำไป โลกกว้างใบนี้มีสักที่ไหมหนอ ที่ทุกสรรพชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข

นั่น! ตรงนั้นมีใครจ้องมองอยู่ นางตะลึงลาน กลัวจะถูกทำร้าย แต่แล้วสายตาที่จ้องมาเปี่ยมไมตรี และเหมือนว่าต้องการจะหยิบยื่นน้ำใจให้ จริงด้วยเด็กผู้หญิงคนหนึ่งร้องเรียกให้นางไปกินข้าวกล่อง นางรู้ด้วยเสียงเรียกและสัญลักษณ์พยักหน้าให้เข้าไปหา นางรู้สึกลังเล ไม่กล้า แต่ความหิวไม่ยอมให้มีเวลาคิดอะไรมาก

คุณพระคุณเจ้า…วันนี้ช่างโชคดีแท้ ไม่เพียงไม่ถูกขับไล่ทุบตี ยังเจอคนใจบุญหยิบยื่นอาหารให้ นางรีบกินข้าวกล่องตรงหน้า เหมือนว่าหากช้าเพียงแค่นิดเดียว ข้าวกล่องที่เห็นจะเป็นเพียงความฝัน ที่นางมักสร้างขึ้นเองเวลาท้องร้องหิวถึงที่สุด นางกินหมดในเวลารวดเร็ว แถมสุดท้ายยังใช้ลิ้นตวัดเลียกล่องโฟมชนิดที่ไม่ยอมให้คราบข้าวเหลือติดไว้แม้แต่เพียงกลิ่น

เด็กหญิงใจดียิ้มให้อย่างอ่อนโยน นางรู้สึกซาบซึ้งเหลือประมาณ และเมื่อเด็กหญิงใจดีจากไปพร้อมกับผู้หญิงวัยชราอีกคน เพื่อไปนั่งในเต็นท์จัดงาน นางรู้สึกมีแรงขึ้นมาอักโข คิดถึงลูกน้อย ป่านนี้คงหิวนมกันแย่แล้ว ข้าวกล่องที่กินเข้าไปเป็นพลังพอให้นางกลั่นเป็นน้ำนมป้อนเหล่าลูกน้อยได้อิ่มท้อง

คิดได้ดังนี้แล้วจึงรีบวิ่งกลับเพิงที่พักทันที

 

(-สี่-)

“เอ็งไม่หิวหรือวะ ถึงได้ยกข้าวกล่องให้หมาไปแบบนั้น”

“หนูกินไม่ลงจ้ะยาย เห็นแล้วสงสาร นอนผอมกะหร่องคงไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน… ค่อยกลับไปกินกับข้าวฝีมือยายก็ได้ ถึงบ้านยายต้องทำไข่เจียวใส่ดอกขจรให้หนูกินอีกนะ”

ไม่ทันยายชราจะตอบรับปากหลานรักจอมจ้อ คุณครูประจำชั้นรีบวิ่งมาบอกให้เตรียมตัว ประธานในพิธีเดินทางมาถึงแล้ว ได้เวลาเปิดงานวันแม่ น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงเป็นแม่แห่งชาติ

หลังเสร็จสิ้นพิธีการ ถึงช่วงมอบรางวัลพูดสุนทรพจน์เทิดพระคุณแม่ มีนักเรียนระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนทั่วอำเภอส่งประกวด ได้แข่งขันและตัดสินผลประกวดกันไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศจะเข้ารับโล่พร้อมทุนการศึกษาจากนายอำเภอในงานวันนี้

“รู้สึกอย่างไรบ้างคะ กับรางวัลชนะเลิศการพูดสุนทรพจน์ที่ได้รับครั้งนี้”

ผู้ทำหน้าที่พิธีกรได้ยื่นไมค์สัมภาษณ์ความรู้สึก หลังเข้ารับโล่รางวัลจากท่านนายอำเภอเสร็จสิ้น

“ดีใจมากๆ เลยค่ะ” เด็กหญิงตอบพลางยิ้มอย่างสดใส ทำให้ผู้ร่วมงานพลอยยิ้มรื่นไปด้วย

“คิดเองหรือเปล่าคะ สุนทรพจน์ที่พูด”

“เปล่าค่ะ คุณครูเขียนให้ท่องจำค่ะ”

สิ้นเสียงตอบ เสียงฮาครืนก็ดังขึ้น คุณครูประจำชั้นถึงกับยิ้มทำหน้าไม่ถูก

“แล้วถ้าให้หนูพูดอะไรถึงแม่ตอนนี้ หนูพูดได้ไหมคะ ในฐานะวันนี้เป็นวันแม่”

“ลองดูก็ได้ค่ะ” เสียงตอบแจ้วๆ พร้อมรอยยิ้มน่ารักน่าชังของเด็กหญิงทำให้บรรยากาศครื้นเครง จากเดิมที่หลายคนไม่ได้สนใจฟังอะไร แต่พอได้ยินเสียงเด็กหญิงสดใสน่ารักก็เปลี่ยนมาเป็นใจจดใจจ่อรับฟัง ไม่เว้นแม้แต่ท่านประธานในพิธีที่ตอนนี้มองมาด้วยสายตาชื่นชมเต็มเปี่ยม

“งั้นเอาซะหน่อยละกันนะคะ ให้หนูพูดถึงแม่ เชิญค่ะ”

ก่อนพูดเด็กหญิงส่งยิ้มเบิกนำทาง เป็นรอยยิ้มจากใจที่ส่งมอบให้ทุกๆ คน โดยเฉพาะยายที่นั่งมองมาด้วยใบหน้าปลาบปลื้มอย่างเห็นได้ชัด

“แม่หนูตายตั้งแต่หนูยังเรียนชั้นอนุบาลสอง…”

รอยยิ้มที่เคยเปื้อนหน้าทุกคนในเต็นท์พิธีการ พลันหุบลงกะทันหันด้วยถ้อยคำขึ้นต้นนี้ บรรยากาศเงียบกริบทันที

“แต่หนูคิดว่า แม่ไม่เคยทิ้งหนูไป แม่อยู่กับหนูทุกวัน คอยปลุกให้ลุกขึ้นแต่งตัวไปโรงเรียน เตรียมข้าวให้กิน รีดผ้าให้ ซักเสื้อผ้าชุดนักเรียนให้ เดินจูงมือไปส่งโรงเรียน แม่ทำอย่างนี้มาตลอด แม้แม่ไม่ได้คลอดหนูมา แต่แม่คือแม่คนที่สองของหนู ถ้าแม่บนฟ้ารับรู้ แม่คงดีใจที่หนูได้อยู่กับแม่ของแม่… นี่คือสิ่งที่หนูอยากพูดในวันแม่ เป็นบทสุนทรพจน์ที่ไม่ได้ท่องจำ…”

ทันทีที่เด็กหญิงพูดจบ ทุกคนในเต็นท์พิธีการ พร้อมใจกันลุกขึ้นปรบมือเสียงดังกึกก้อง หลายคนรวมถึงประธานในพิธีถึงกับน้ำตาเอ่อออกมาอย่างไม่รู้ตัว เด็กหญิงยกมือไหว้ขอบคุณทุกคนแล้ววิ่งไปสวมกอดยายที่นั่งน้ำตานองหน้าอยู่เช่นกัน ทุกคนพอเห็นภาพนั้น ยิ่งทำให้รู้สึกตื้นตันใจเป็นที่สุด

 

(-ห้า-)

“ขอบใจนะ…ที่รักยาย” หลังจากเลิกงาน นั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปลงหน้าปากทางที่เดิม เดินจูงมือเคียงข้างกันไป จู่ๆ ยายก็พูดกับหลานรักตัวน้อย

“โธ่…ยายทั้งคน ใครจะไม่รักล่ะ” เสียงแจ้วๆ ตอบพร้อมรอยยิ้มเปื้อนหน้าดั่งเดิม ก่อนใบหน้านั้นจะหยุดยิ้ม พร้อมฉุดให้ยายชราหยุดเดิน เมื่อผ่านเพิงก่อสร้างร้างโกโรโกโสข้างทาง

“ยายดูนั่นสิ หมาตัวนั้นที่หนูให้กินข้าวกล่อง มันอยู่ตรงนี้เอง มีลูกอ่อนด้วย ดูซิยาย น่ารักจังเลย”

ไม่ทันที่ยายจะห้ามอะไร เด็กหญิงก็วิ่งไปหาแม่หมาที่นอนแอบอยู่ใต้เพิงสังกะสี มันจำเด็กหญิงผู้เมตตาให้ข้าวมันได้ เลยออกมาวีหางเลียมืออย่างเป็นมิตร ตอนแรกผู้เป็นยายจะร้องห้ามเพราะกลัวหมาแม่ลูกอ่อนจะหวงลูกแล้วกัดเอา แต่พอเห็นแบบนั้นได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

“เราพาพวกมันไปอยู่ด้วยนะจ๊ะยาย ดูสิลูกมันน่ารักที่สุดเลย ตัวอ้วนปุ๊ก เหมือนลูกฟักเลย…”

ยายชราตอนแรกอยากจะปฏิเสธ แต่เห็นท่าทีหลานมีความสุข เลยขัดคอไม่ลง เด็กหญิงใช้วิธีอุ้มลูกหมาขึ้นแนบอกสองตัว และเอาให้ยายอุ้มอีกสองตัว ปากก็ส่งเสียงร้องเรียกให้แม่หมาเดินตามมา มันเดินตามเหมือนรู้ความคิด ไม่นานทั้งหมดก็ถึงบ้าน

“ยาย ลูกหมาสี่ตัว ดูตรงไหนหรือจ๊ะ ว่าผู้ชายผู้หญิง”

ยายชราหัวเราะร่วน นั่งลงพินิจอวัยวะเพศลูกหมา ก่อนบอกความจริงเกี่ยวกับเพศของลูกหมาทั้งสี่ให้หลานรักรู้

“ถ้าอย่างงั้น บ้านเราก็มีแต่ผู้หญิงนะสิ…ยาย”

เด็กหญิงพูดเสียงแจ้ว ก่อนเอื้อมมือไปอุ้มลูกหมาตัวหนึ่งขึ้นมาลูบหัวอย่างแสนรัก •