ศึกอิสราเอล-ฮามาส ยิ่งนับวันยิ่งอำมหิต

บทความต่างประเทศ

 

ศึกอิสราเอล-ฮามาส

ยิ่งนับวันยิ่งอำมหิต

 

สงคราม ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน เกิดขึ้นด้วยเหตุหนึ่งเหตุใด สั้นหรือยาวนานอย่างไร ล้วนแล้วแต่รุนแรง โหดเหี้ยมโดยธรรมชาติ

กระนั้น นับตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อ 7 ตุลาคมที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ ศึกฉนวนกาซาระหว่างกองทัพอิสราเอล (ไอดีเอฟ) กับกองกำลังติดอาวุธกลุ่มฮามาส ยังนับว่าโหดเหี้ยมรุนแรงยิ่งกว่า ยกระดับความเหี้ยมโหดของสงครามขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ถึงระดับอำมหิต

ใน 48 ชั่วโมงแรกเริ่มของสงคราม นักรบฮามาสบุกข้ามแดนเข้ามา เข่นฆ่า “ทุกอย่างที่ขวางหน้า” ให้ได้ “มากที่สุดเท่าที่จะมากได้” ในดินแดนยิว จับพลเรือนหลายร้อยเป็นตัวประกัน เพื่อสร้างเงื่อนไขของสงครามที่เหนือกว่าในอนาคต โดยปราศจากการคำนึงถึงจริยะแห่งสนามรบใดๆ

ตลอดระยะเวลาอีกเกือบเดือนที่เหลือเรื่อยมาจนถึงขณะนี้ อิสราเอลเลือกที่จะเป็น “ผู้กระทำ” บ้าง กองกำลังไอดีเอฟโจมตีดินแดนกาซาทั้งทางอากาศ ตามด้วยกองกำลังทางบก บุกตะลุยฝ่าเข้ามาจากตอนเหนือของฉนวนกาซา

ทิ้งซากปรักหักพัง กองอิฐหินดินทราย ที่เคยเป็นอาคารบ้านเรือน โรงพยาบาล โรงเรียน มัสยิด ฯลฯ ไว้เกลื่อนกล่นมากมายตามรายทาง

 

ข้อเท็จจริงที่ชวนสลดใจมากที่สุด น่าเศร้าที่สุด ก็คือ ยอดผู้เสียชีวิตจากการสู้รบครั้งนี้ทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว นับรวมทั้งสองฝ่ายน่าจะทะลุเกิน 20,000 รายไปแล้ว กว่า 90 เปอร์เซ็นต์เป็นพลเรือนปาเลสไตน์หรือไม่ก็ยิว จำนวนไม่น้อยเป็นสตรีและเด็ก ที่ไม่ควรลงเอยด้วยชะตากรรมอนาถนี้อย่างยิ่ง

นี่ยังไม่นับความเจ็บปวดจากการสูญเสีย ความโดดเดี่ยวอ้างว้างมืดมนของกำพร้าสงครามอีกมหาศาล ที่กลายเป็น “ภาพรายวัน” ของสงครามครั้งนี้

ทั้งหมดฉายให้เห็นภาพอำมหิตของสงครามนี้ได้อย่างชัดเจนเหนือคำบรรยายใดๆ

ภาพที่ได้เห็นกันทุกเมื่อเชื่อวัน ชวนสลดจนทำให้ผู้คนทั่วโลกต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้าเป็นอย่างน้อย

โรงเรียน มัสยิด บ้านเรือน หรือแม้แต่ค่ายผู้ลี้ภัยที่อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ ถูกโจมตี เกิดการสูญเสียชนิดที่แม้แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเอ็นยัง “รับไม่ได้”

ภาพเหล่านั้นอำมหิตอย่างยิ่ง แต่อีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ข้างหลังภาพ ยิ่งเลือดเย็น ยิ่งอำมหิตกว่าหลายเท่าตัว

 

ขณะที่กระแสต่อต้านยิวทั่วโลกถูกกระพือขึ้นสู่ระดับสูง เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลถูกแปลงสภาพเป็นปิศาจ ไอดีเอฟกลายเป็นมฤตยูกระหายเลือด

ขณะที่ทุกคนลืมไปชั่วขณะว่า ศึกใหญ่ครั้งนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลกลใด พลเรือจัตวา แดเนียล ฮาการี โฆษกไอดีเอฟ เปิดเผยเรื่องราวจากอีกมุมมอง ในการแถลงข่าวออนไลน์ต่อเนื่องกัน 2 วัน 6-7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ไอดีเอฟไม่ได้ปฏิเสธการโจมตีโรงพยาบาล สถานศึกษา หรือค่ายผู้ลี้ภัยใดๆ แต่นำเสนอหลักฐานส่วนหนึ่งที่กองกำลังภาคพื้นดินยิวค้นพบในการบุกตะลุยจากทางเหนือลงมา ระบุว่า สถานที่เหล่านี้ถูกนักรบฮามาสใช้เป็นกองบัญชาการ ใช้เป็นสถานที่เก็บกักอาวุธ ใช้เป็นจุดซุ่มเพื่อโจมตี

และที่เลือดเย็นที่สุดก็คือ ใช้เป็นเกราะกำบังเพื่อไม่ให้ฮามาสบาดเจ็บล้มตาย หรือสูญเสียจากการศึก

ฮาการีระบุว่า ในการปิดล้อมกาซาซิตี้ เพื่อถอนรากถอนโคนฮามาส ไอดีเอฟไม่เพียงถูกนักรบฮามาสที่ซ่อนตัวอยู่ภายในโรงพยาบาลยิงเข้าใส่จากโรงพยาบาลเหล่านั้นเท่านั้น กระทั่งยังพบด้วยว่า ฮามาสใช้โรงพยาบาลเป็นเกราะกำบังปกปิดพฤติกรรมของตนเอง

หน่วยข่าวกรองของอิสราเอลระบุว่า ฮามาสใช้โรงพยาบาลอย่างน้อย 3 แห่งเป็นกองบัญชาการ ออกคำสั่งและวางยุทธศาสตร์เพื่อทำศึกครั้งนี้ หนึ่งในจำนวนนั้นคือ ชีฟา โรงพยาบาลในกาซาซิตี้

ในขณะที่ไอดีเอฟพบ “ทางออกอุโมงค์” ในโรงพยาบาลชีค ฮาหมัด ซึ่งถูกใช้เพื่อเอื้อต่อ “การก่อการร้าย”

ส่วนอีกแห่งที่เหลือ เป็นโรงพยาบาลที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกปิดการก่อสร้างโครงข่ายใต้ดินเพื่อการปฏิบัติการของฮามาสโดยเฉพาะ

 

ไอดีเอฟยังเผยแพร่คลิป แสดงให้เห็นการค้นพบ “ฐานยิงจรวด” ซึ่งค้นพบก่อนหน้านี้ทางตอนเหนือของฉนวนกาซา ตั้งอยู่ใกล้กับสนามเด็กเล่นและสนามกีฬากับสระว่ายน้ำ ซึ่งเหล่าเด็กๆ เข้ามาใช้เป็นประจำ

ฐานยิงจรวดอีกแห่ง ซึ่งทิศทางมุ่งตรงไปทางเหนือ เห็นชัดว่าสำหรับใช้โจมตีเมืองแอชเคลอน ทางใต้ของอิสราเอล ถูกพบซ่อนอยู่ในอาคาร ซึ่งสำนักงานกิจการลูกเสือเป็นเจ้าของ

ที่ตั้งฐานยิงจรวดหลายหัวรบอีกแห่ง ถูกพบกลายเป็นซากอยู่ในมัสยิดที่ถูกถล่มทางอากาศ สภาพของฐานใช้ยิงไปแล้วทั้งหมด เป้ายังคงมุ่งสู่ตอนเหนือ สู่อิสราเอล

คลังอาวุธขนาดใหญ่ของฮามาสถูกพบอยู่ในโครงข่ายอุโมงค์ใต้ดิน ที่ปากปล่องทางเข้าออกด้านหนึ่งซ่อนอยู่ในพื้นที่สวนสนุก

ทั้งหมดเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ฮามาสกำลังใช้พลเรือนเป็นเกราะกำบัง ไอดีเอฟระบุไว้อย่างนั้น

การโจมตีสถานที่อย่างมัสยิด สถานศึกษา หรือโรงพยาบาล เข้าข่ายการกระทำที่เป็นอาชญากรสงคราม เป็นการกระทำอำมหิต

แต่การใช้สถานที่เช่นนี้เพื่อเก็บสะสมอาวุธ วางกลยุทธ์ บัญชาการการรบ และโจมตีฝ่ายตรงกันข้าม ก็เป็นอาชญากรรมสงครามเช่นเดียวกัน และอำมหิตเลือดเย็นยิ่งกว่าด้วยซ้ำไป

 

เหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้ศึกระหว่างยิวกับฮามาสหนนี้สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนซ่อนปมเอาไว้มากมาย หากปราศจากการพินิจพิเคราะห์อย่างถ่องแท้ ทำให้ง่ายมากที่จะตกเป็นเครื่องมือในนามของมนุษยธรรมและความยุติธรรม

ซีกัล อิทซาฮัค พลเรือนอิสราเอลบอกกับซีเอ็นเอ็นไว้ว่า โลกเห็นอกเห็นใจอิสราเอลเมื่อตกเป็นเหยื่อ เมื่อถูกเข่นฆ่า

แต่เมื่อเหยื่ออย่างอิสราเอลลุกขึ้นมาเป็นผู้กระทำ เพื่อป้องกันตัวเองเพื่อความมั่นคง ปลอดภัยในอนาคต โลกกลับก่นด่าประณาม

“หรือเป็นเพราะการเป็นคนยิว ทำให้ไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตอยู่ในประเทศหนึ่งๆ ได้โดยสันติหรืออย่างไร? นี่คือสิ่งที่ยิวต้องการ แต่ทั้งโลกไม่มีใครเข้าใจ”

นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมคนอิสราเอลถึงได้ต่อต้านเนทันยาฮู แต่กลับให้การสนับสนุนสงครามกาซาอย่างมั่นคง

แม้แต่ครอบครัวของเหยื่อที่ถูกลักพาตัวไปเป็นตัวประกัน ยังยืนกรานว่า ฮามาสต้องถูกถอนรากถอนโคนเสียที ไม่เช่นนั้นอิสราเอลทั้งประเทศไม่มีวันอยู่อย่างสงบ

ส่วนตัวประกันที่เป็นญาติพี่น้องของตน ถือเป็นเรื่องรอง สำคัญน้อยกว่าการกวาดล้างฮามาสด้วยซ้ำไป บทเรียนที่ผ่านๆ มาแสดงให้เห็นข้อเท็จจริงนี้อย่างชัดแจ้ง หลายครั้งที่เนทันยาฮูปล่อยให้ฮามาสรอดเงื้อมมือไปได้แล้วกลับมาแว้งกัดใหม่อีกครั้ง

ชาวยิวทุกคนคาดหวังว่าครั้งนี้คงไม่เป็นเหมือนเช่นที่ผ่านมา