ชายผู้ทำสิ่งที่เขารักตลอดชีวิต

วัชระ แวววุฒินันท์

เชื่อว่าเกือบทุกคนน่าจะรู้จัก “เดวิด เบ๊กแฮม” อย่างน้อยแม้จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขามาก แต่ก็น่าจะเคยได้ยินชื่อ หรือเห็นรูปเขาตามสื่อต่างๆ มาบ้าง

“เดวิด เบ๊กแฮม” เป็นนักฟุตบอลครับ คอฟุตบอลแม้จะไม่ได้เป็นสาวกของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ย่อมจะรู้จักเขาเป็นอย่างดี

หากจะนึกถึงเขาในแง่นักฟุตบอล หลายคนก็จะนึกถึง “การเตะฟรีคิกที่เฉียบคม” “การส่งบอลที่แม่นยำเหมือนจับวาง” “การคว้าแชมป์กับสโมสรแมนฯ ยู มาได้ถึง 9 ถ้วย” “การเป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษ”

และแม้กระทั่ง “นักบอลรูปหล่อที่สาวๆ คลั่งไคล้”

เหล่านี้คือภาพจำของเดวิด ซึ่งนอกจากความโดดเด่นในสนามฟุตบอลแล้ว เขายังเหมือนดาราดังๆ หรือเซเลบริตี้แถวหน้าคนหนึ่งก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าเขาจะจับทำอะไร จะเป็นที่สนใจ และแน่นอนที่ตามมาคือมูลค่าทางการตลาดที่สูงยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีนักฟุตบอลคนใดทำได้มาก่อน

ในช่วงที่เขาโด่งดังสุดๆ เวลาทีมไปแข่งขันที่ไหน ในประเทศใดในโลก จะมีคนตามแห่แหนและกรี๊ดเขาเหมือนป๊อบร็อกคนหนึ่งทีเดียว ไม่แต่ผู้หญิงรวมทั้งแฟนๆ ผู้ชายด้วย

จนมีสำนักข่าวหนึ่งให้คนตระเวนออกไปสำรวจว่า จะมีใครที่ไม่รู้จัก “เดวิด เบ๊กแฮม” บ้างไหม? และก็พบเข้าคนคนหนึ่ง เขาคือ “คนเลี้ยงแกะในชาด” (น่าจะเป็นสถานที่ที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญมากๆ)

ด้วยความโด่งดังและน่าสนใจของเดิวดนี่เอง จึงมีการสร้างสารคดีเรื่องราวชีวิตของเขาขึ้นมาโดยสตรีมมิ่งเจ้าดัง Netflix ในชื่อตรงๆ ว่า “Beckham” เมื่อออกฉายก็ได้ยอดผู้เข้าชมอยู่ในอันดับต้นๆ

ในสารคดีจำนวน 4 ตอนนั้นเราจะได้รู้จักความเป็น “เดวิด เบ๊กแฮม” เต็มที่ ข้อสำคัญคือได้รู้จักเขาในฐานะ “มนุษย์ผู้ชายคนหนึ่ง” ที่เผอิญเกิดมาเป็น “เดวิด เบ๊กแฮม”

ถามว่าทำไมเขาถึงยินยอมให้สร้างสารคดีเกี่ยวกับตัวเขา เดวิดบอกว่า ก็เพื่อให้คนได้รู้จักเขาจริงๆ กับชีวิตในแต่ละช่วงเวลาว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เขาคิดและรู้สึกอย่างไร ทำไมจึงตัดสินใจทำเรื่องนั้นๆ ซึ่งที่ผ่านมาคนอาจจะยังกังขาและเคลือบแคลงในหลายๆ เรื่อง

ผู้กำกับฯ สารคดีเรื่องนี้คือ “ฟิชเชอร์ สตีเวนส์” เขาใช้เวลานานหลายปีในการตามสัมภาษณ์เดวิดและบุคคลที่เกี่ยวข้องต่างๆ ใครเป็นแฟนบอลก็จะได้เห็นนักฟุตบอลคนดังมากมายที่ร่วมอยู่ในสารคดีชุดนี้ แน่นอนรวมทั้ง “เซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน” อดีตผู้จัดการทีมแมนฯ ยู ที่เดวิดบอกว่า “เป็นพ่อคนที่สองของเขา”

และที่พลาดไม่ได้ก็คือภรรยาที่รักของเขา “วิกตอเรีย เบ๊กแฮม” อดีตนักร้องสาวแห่งวงสไปซ์ เกิร์ล ที่โด่งดัง ทุกย่างก้าวของเดวิดจะมีวิกตอเรียร่วมเคียงข้างด้วยเสมอ และเธอก็ได้รับผลพวงไปเต็มๆ ทั้งความสุข และความทุกข์ที่เคยถึงขึ้น “แสนสาหัส”

เดวิด เบ๊กแฮม ในวัยเด็ก

ในวัยเด็กของเดวิด เขาไม่ใช่คนเรียนหนังสือเก่ง ชอบเก็บตัว ที่โรงเรียนเขามีเพื่อนน้อย นั่นทำให้เขาได้ใช้เวลาเต็มที่กับฟุตบอลซึ่งเป็นกีฬาที่พ่อเขาชื่นชอบ โดยมีสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเป็นสโมสรโปรด และฝันว่าวันหนึ่งลูกชายของเขาจะเล่นให้กับสโมรสรแห่งนี้

พ่อฝึกให้เขาเตะฟรีคิกซ้ำๆ บ่อยๆ อยู่อย่างนั้น โดยเดิมพันว่าหากเขาเตะฟรีคิกได้แม่นจนไปชนคาน จะได้รับรางวัลครั้งละ 50 เพนนี ปรากฏว่าพ่อเขาต้องเสียเงินไปเยอะเลย

นั่นจึงส่งผลในเวลาต่อมาให้เขาได้ทำหน้าที่เตะฟรีคิกหรือเตะมุมทุกครั้งในสนาม และแน่นอนที่มันจะส่งผลเป็นประตู และบางครั้งมันเป็นถึง “ประตูชัย” ที่นำชัยชนะมาสู่ทีมได้เลย

ก้าวแรกของเขาที่ได้ก้าวสู่สโมสรแมนฯ ยู เมื่อเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน ก้าวมารับหน้าที่ผู้จัดการทีมให้กับสโมสรแห่งนี้ หลังจากที่ไม่เคยได้สัมผัสแชมป์ลีกมาเป็นเวลา 25 ปีแล้ว เฟอร์กูสันชื่นชอบที่จะสร้างนักเตะหน้าใหม่ขึ้นมาเพื่อจะเป็นกำลังสำคัญให้กับสโมสรต่อไป และเขาก็เห็นของดีในตัวหนุ่มน้อยเดวิด จนจับเขาเซ็นสัญญาเป็นนักเตะฝึกหัดของสโมสรเมื่อเดวิดอายุได้ 12-13 ปีเท่านั้น

ฝันแรกของเขาสำเร็จแล้ว ฝันต่อไปคือการเป็นนักเตะตัวจริงของทีมชุดใหญ่ และเขาก็ได้มีโอกาสลงเล่นกับชุดใหญ่เมื่ออายุได้เพียง 17 ปี ทั้งยังได้แจ้งเกิดในแมตช์ที่แข่งกับทีมวิมเบิลดัน

ในแมตช์นั้นเขาก็ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนๆ โดยการยิงไกลจากกลางสนามและเข้าประตูไป นั่นเป็นลูกแจ้งเกิดให้กับเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนนี้ ที่แฟนแมนฯ ยู พร้อมอ้าแขนรับทันที รวมทั้งเพื่อนร่วมทีมคนอื่นด้วย

หลังเกมจบลง เฟอร์กูสันบอกกับเขาว่า “ขึ้นรถ แล้วไม่ต้องพูดอะไร ห้ามให้สัมภาษณ์”

นั่นคือวิธีคิดของผู้จัดการคนนี้ เขาต้องการนักฟุตบอลที่เก่งและแน่วแน่ในการเตะฟุตบอล ไม่ได้ต้องการ “คนดัง” ซึ่งด้วยวิธีคิดนี้ต่อมาได้กลายเป็นเครื่องทำลายมิตรภาพของคนทั้งสองลงอย่างชนิดที่เรียกว่า “จบไม่สวย”

ด้วยฝีเท้าที่ยอดเยี่ยมบวกกับภาพลักษณ์ที่ดูดี จึงฉุดให้เดวิดโด่งดังเป็นที่สนใจของสื่ออย่างมาก และเขาก็รู้จักการแต่งตัวให้ดูดี ซึ่งนั่นยิ่งเสริมภาพลักษณ์ของเขาให้ใกล้กับ “ซูเปอร์สตาร์” เข้าไปทุกที ในสารคดีเราจะได้เห็นถึงรสนิยมของเขา

ตอนที่เขาได้เงินก้อนแรกๆ จากการเป็นนักเตะ เขานำไปซื้อนาฬิกาดีดี ซื้อรถยนต์ยี่ห้อหรู รวมทั้งเสื้อผ้าแบรนด์ดัง

เซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน

แกรี่ เนวิลล์ เพื่อนสนิทในทีมให้สัมภาษณ์ว่า คนอื่นเอาเงินไปซื้อรถ หรือนาฬิกาก็เท่านั้น แต่ไม่เคยมีใครเอาไปซื้อปากกาหรูๆ อย่างเดวิดเลย พวกเพื่อนๆ สงสัยว่า ซื้อปากการาคาแพงมาทำไม?

นั่นเป็นหนึ่งที่มาของการเป็น “เพอร์เฟ็กชั่นนิสต์” ของเดวิด ด้วยความเป็นเช่นนี้นี่เองที่บ่มเพาะให้เขาทำทุกอย่างให้สมบูรณ์ที่สุดจนก้าวมาถึงจุดแห่งความสำเร็จเหล่านี้ได้

ในสารคดี เราจะได้เห็นวิถีการใช้ชีวิตของเดวิดว่า ในตอนนี้ที่เขาอายุ 48 ปีแล้ว แต่เขายัง “เนี้ยบ” กับสิ่งรอบตัวที่รายล้อม ตู้เสื้อผ้าเขาจะถูกจัดอย่างเป็นระเบียบมาก เสื้อจะถูกแยกตามชนิดของเนื้อผ้า และเรียงไล่สีอย่างกับในร้านขายเสื้อผ้า และเขาก็จะสังเกตได้หากมีใครมาเปิดตู้ของเขา เชื่อไหมว่าเขาจะจัดเตรียมเสื้อผ้าที่จะใส่ในหนึ่งอาทิตย์ไว้ล่วงหน้า เขาใส่ใจพิถีพิถันกับภาพลักษณ์มาก

หรือในตอนที่ให้สัมภาษณ์ เขาก็จะคอยขยับเก้าอี้ที่วางอยู่ให้เข้าที่เข้าทาง และหลังจากมีปาร์ตี้เสร็จ สมาชิกของบ้านขึ้นนอนแล้ว แต่เขาจะยังอยู่ทำความสะอาดทุกอย่างให้เรี่ยมเร้เรไร เขาลงทุนทำความสะอาดครอบแก้วของเทียนที่จุดและดับแล้วไม่ให้มีคราบใดๆ ติด ไม่อย่างนั้นจะนอนไม่หลับ

การเป็นที่สนใจของสื่อและแฟนๆ ถูกกระตุ้นให้มากขึ้นไปอีก เมื่อเขาได้เป็นคนรักกับนักร้องดังในยุคนั้น “พอช สไปซ์” เขาเห็นเธอจากทีวี และเขาบอกกับแกรี่ว่า “ฉันจะแต่งงานกับคนนี้”

ซึ่งแกรี่ให้สัมภาษณ์ว่า ผู้ชายส่วนใหญ่ก็จะพูดอย่างนี้เวลาเห็นผู้หญิงที่ถูกใจ แต่ไม่นึกว่ามันจะเป็นจริงขึ้นมา

เดวิด เบ๊กแฮม และ “พอช สไปซ์” วิคตอเรีย อดัมส์

วิกตอเรียเล่าว่า เธอไม่เคยสนใจกีฬาฟุตบอลมาก่อนเลย ไม่รู้จักเดวิดด้วย แต่จุดเริ่มต้นของทั้งคู่เกิดขึ้นเมื่อเธอกับเพื่อนในวงอีกคนหนึ่งได้รับเชิญให้ไปชมการแข่งขันของแมนฯ ยูครั้งหนึ่งเพื่อการตลาดของวง

ในเกมเธอก็เห็นเดวิดเตะบอลในสนามแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร จนในห้องพักสำหรับเหล่านักบอล เธอสังเกตเห็นว่าในขณะที่นักฟุตบอลคนอื่นจับกลุ่มกันอยู่ที่บาร์ แต่เธอเห็นเดวิดยืนคุยกับครอบครัวของเขา นั่นทำให้เธอประทับใจอย่างมากเพราะเธอก็เป็นคนที่รักครอบครัวมากเช่นกัน

ซึ่ง “การเป็นครอบครัว” นี้ ได้กลายเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในชีวิตคู่ของเขาและเธอในเวลาต่อมา ทั้งสองต้องเจอกับปัญหาต่างๆ มากมายในฐานะคนดังทั้งคู่จนเกือบทำให้ชีวิตแต่งงานต้องพังทลาย แต่ทั้งสองก็ประคับประคองจนผ่านมันมาได้ อย่างหนึ่งนั้นก็ด้วยความรักที่มีให้กันและกันนั่นเอง วิกตอเรียให้สัมภาษณ์ว่า

“จนบัดนี้ฉันก็ไม่ได้ชื่นชอบกีฬาฟุตบอล แต่ฉันรักเดวิด รักในสิ่งที่เขาทำ หากเขาจะไปเป็นคนทาสี ฉันก็จะรักงานทาสีที่เขาทำ”

ในขณะที่เดวิดเองก็พูดถึงภรรยาที่รักว่า

“เธอเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผม”

เดวิด เบ๊กแฮม โดนใบแดงในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1998

ย้อนกลับมาที่การเป็นนักฟุตบอลของเดวิด เขาทำสำเร็จแล้วกับการเป็นนักเตะตัวจริงของสโมรสรแมนฯ ยู ความฝันต่อไปคือการได้เป็น “ตัวทีมชาติ” และเขาก็ได้รับโอกาสนั้นในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1998 แน่นอนที่เขาได้ใช้ฝีเท้าของเขาร่วมกับเพื่อนร่วมทีมสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมให้กับทีมชาติอังกฤษจนผ่านเข้ารอบลึกๆ และมันได้ปลุกความหวังให้กับแฟนบอลว่า อังกฤษน่าจะได้แชมป์ฟุตบอลโลกในครั้งนี้

ชีวิตคนเราไม่มีอะไรราบรื่น ในเกมสำคัญของรอบตัดเชือกกับการเจอทีมเก่งอย่างอาร์เจนตินา นักเตะอาร์เจนตินาที่ชื่อ “ซิเมโอเน่” ที่ต้องประกบกับเดวิดตั้งใจจะยั่วเขา และในการปะทะกันครั้งหนึ่ง เดวิดน็อตหลุดเผลอไปชักเท้าตอนที่ล้มเตะซิเมโอเน่เข้า ด้วยการเล่นใหญ่ของซิเมโอเน่ กรรมการไม่รีรอที่จะชักใบแดงให้เดวิดออกจากสนามทันที อังกฤษต้องเล่น 10 คนในขณะที่มีเวลาเหลือตั้ง 74 นาที

ผลของเกมในวันนั้น อังกฤษแพ้ให้กับอาร์เจนตินา ต้องกระเด็นตกรอบไปอย่างน่าผิดหวัง และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเดวิดคือ เขากลายเป็นแพะในความพ่ายแพ้นี้ จากคนที่เป็นเทพบุตรอยู่ดีดี ได้กลายเป็นซาตานขึ้นมาทันที ทั้งสื่อและแฟนบอลต่างรุมประณามเขาว่าเป็นต้นเหตุที่โง่เง่าสิ้นดี

“คนทั้งเกาะอังกฤษเกลียดผม” เดวิดบอกด้วยสายตาที่ขมขื่นปวดร้าว

ในช่วงเวลาที่ย่ำแย่และโหดร้ายนี้ เขามีวิกตอเรียเป็นที่พักใจ และช่วยเยียวยาความทุกข์แสนสาหัสนั้นลงได้ เธอเหมือนที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโลกสำหรับเขาในตอนนั้น รวมทั้งที่สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บ้านหลังที่สองของเขาด้วย

ปัญหายังตามมาท้าทายเดวิดเป็นระยะ เมื่อเขาถูกเฟอร์กูสันบอกกับสโมสรให้เลิกจ้างเดวิด นั่นเป็นเพราะ “ความดังนอกสนามฟุตบอลของเขา” นั่นเอง มันเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด เพราะเขามีสโมสรแมนฯ ยู เป็นเหมือนครอบครัวที่สองของเขาที่ได้ใช้ชีวิตผูกพันมาถึง 15 ปี

เขาย้ายมาเล่นให้กับสโมสรเรียล มาดริด ที่สเปน ที่ซึ่งมีดาวดังมากมายให้เขาได้ร่วมเล่น ที่นี่เช่นกันที่เขามีทั้งความสุขและความทุกข์ จนในที่สุดหลัง 4 ปีที่อยู่กับสโมสรแห่งนี้ เขาก็ย้ายไปเล่นให้กับสโมสรในอเมริกา ที่ไม่ใช่ลีกดังของโลกฟุตบอลแต่อย่างใด มันเป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่และท้าทายสำหรับเดวิด

จากที่นี่เขาได้ย้ายตัวเองอีกครั้งไปเล่นกับทีมในลีกอิตาลี รวมทั้งที่สโมสรปารีส แซ็ง แฌร์แม็ง ที่ซึ่งเป็นสนามสุดท้ายของชีวิตการค้าแข้งของเขา ด้วยสภาพร่างกายที่ฟ้องออกมา ทำให้เขาต้องยุติอาชีพนักเตะที่เขารักด้วยวัย 38 ปี

ในช่วงเวลา 10 นาทีสุดท้าย แมตช์สุดท้ายที่เขาลงเตะ เขาเล่นบอลด้วยน้ำตา เพราะนี่คือการทำหน้าที่นักฟุตบอลอาชีพที่เขารักเป็นครั้งสุดท้าย

ตลอดช่วงของการเปลี่ยนแปลงต่างๆ นานาที่ว่านี้ ครอบครัวของเขาได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนที่อยู่อย่างมาก วิกตอเรียต้องหาบ้านใหม่ ต้องหาโรงเรียนใหม่ให้ลูกๆ ต้องปรับตัวกับสภาพสังคมและผู้คนแปลกหน้าใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา แน่นอนที่มันเป็นปัญหาใหญ่ของครอบครัว โดยเฉพาะกับการเป็นชีวิตคู่ของเดวิดและเธอ

ในสารคดีจะเห็นถึง “ความหนักหนา” ที่ทั้งสองต้องเผชิญและแบกรับมัน เราจะได้เห็นถึงมุมมองและวิธีคิด การตัดสินใจของเขาทั้งสอง ซึ่งความสำเร็จ ความโด่งดัง และทรัพย์สินเงินทองทั้งหลายที่พวกเขาได้รับนั้นต้องแลกมาด้วยความสูญเสียความเป็นส่วนตัวของพวกเขาและลูกๆ อย่างมาก

มันท้าทาย “ความเป็นตัวเอง” อย่างสูง โดยเฉพาะกับเดวิด

ตอนท้ายของสารคดี เราจะได้เห็นความอบอุ่นในบ้านไม้หลังเล็กที่ประเทศอังกฤษที่สมาชิกเบ๊กแฮมใช้พักผ่อน เดวิดลงมือทำอาหารและดื่มไวน์ เต้นรำไปกับวิกตอเรีย มีลูกๆ ทั้งสี่อยู่เคียงข้าง

แท้ที่สุดแล้วสิ่งที่พวกเขาต้องการที่สุดก็คือสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี่เอง “ความเป็นครอบครัว”

ซึ่งเดวิดใช้เป็นที่พักพิงและสนับสนุนเขามาโดยตลอด เริ่มจากครอบครัวของพ่อและแม่ ครอบครัวสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และครอบครัวสุดที่รักของเขาเอง

“เดวิด เบ๊กแฮม” ชายผู้ทำสิ่งที่เขารักมาตลอดชีวิต นั่นคือ “ฟุตบอล” •

เครื่องเคียงข้างจอ | วัชระ แวววุฒินันท์