ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 ตุลาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
สงครามที่หนักหน่วงที่สุด รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ซึ่งกำลังดำเนินอยู่อย่างดุเดือดในเวลานี้ คร่าชีวิตทั้งทหารและพลเรือนของทั้งสองฝ่ายไปแล้วไม่น้อยกว่า 2,000 ราย เริ่มต้นขึ้นในตอนรุ่งสางของวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา
เกิดขึ้นในขณะที่ชาวอิสราเอลส่วนใหญ่กำลังหลับใหล
วันเสาร์ก่อนหน้านั้นนอกจากจะเป็นวัน “แซบบาธ” วันสำคัญทางศาสนาของชาวยิวหรือศาสนายูดาห์แล้ว ยังเป็นวันหยุดในเทศกาลที่เรียกกันว่า เทศกาลโนวา ซึ่งตามนัยทางศาสนาแล้ว บรรดาชาวยิวจะใช้เวลาอยู่กับบ้าน หรือไม่ก็ตามโบสถ์ยิวและแหล่งชุมนุมต่างๆ ซึ่งบรรดามิตรสหายมารวมตัวกันได้
สัญญาณการเปิดศึกอย่างเป็นทางการ เริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 06.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นของเช้าวันนั้น โดยกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มฮามาส ระดมยิงจรวดวิถีโค้งเข้าใส่พื้นที่ชุมชนของอิสราเอลถี่ยิบ
ฮามาสอ้างว่า พวกตนใช้จรวดไปไม่น้อยกว่า 5,000 ลูกเพื่อการนี้ แม้ทางการอิสราเอลจะระบุจำนวนว่าทั้งหมดมีเพียงราวครึ่งหนึ่งของจำนวนที่กล่าวอ้างก็ตาม
อย่างไรก็ตาม จำนวนของจรวดเหล่านั้นที่ระดมยิงจากพื้นที่ในบริเวณฉนวนกาซา เข้าใส่เป้าหมายในอิสราเอลไม่เพียงมากมายเท่านั้น ยังเป็นการยิงแบบถี่ยิบ เพื่อลดทอนประสิทธิภาพของระบบป้องกันการโจมตีด้วยจรวดและขีปนาวุธอย่าง “ไอร์ออน โดม” ลงให้มากที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้
ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือนหลายแห่งในหลายเมือง ตลอดแนวด้านตะวันออกของฉนวนกาซา
ไซเรนเตือนภัยการโจมตีทางอากาศในหลายเมืองส่งเสียงดังสนั่น การโจมตีดังกล่าวมาไกลถึงขนาดในบริเวณด้านตะวันตกของนครเยรูซาเลม และกรุงเทลอาวีฟ ที่อยู่ห่างจากกาซามากถึง 60 กิโลเมตร
แต่นั่นเป็นเพียงยุทธวิธีเก่า เป็นวิธีการทำศึกที่ฮามาสใช้มามากครั้ง จนแทบไม่หลงเหลืออะไรให้กองทัพอิสราเอลได้เซอร์ไพรส์อีกต่อไปแล้ว นอกเหนือจากจังหวะเวลาในการโจมตี
สิ่งที่เป็น “เซอร์ไพรส์” อย่างแท้จริงในการประกาศศึกหนนี้ของฮามาส ไม่ได้อยู่ที่การโจมตีด้วยจรวด และไม่ได้เกิดขึ้นในเวลานั้น แต่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง
นี่ต่างหากที่เป็นปัจจัยให้การสู้รบครั้งนี้ผิดแผกแตกต่างไปจากการสู้รบระหว่างสองฝ่ายทุกครั้งที่ผ่านๆ มา
และทำให้การศึกหนนี้สร้างความสูญเสียให้เกิดขึ้นกับฝ่ายอิสราเอลอย่างหนักหน่วงรุนแรงแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นั่นคือการรุกทางภาคพื้นดินฝ่าแนวปิดกั้นชั้นนอกสุดเข้ามาในดินแดนอิสราเอลเป็นครั้งแรก
เป็นการเปิดฉากบุกข้ามแดนเข้ามาโจมตีโดยตรงได้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งในแง่ของขอบเขตและในแง่ของการสอดประสานเชิงกลยุทธ์
นักรบฮามาสอย่างน้อย 1,000 คน ฝ่าแนวป้องกันที่อิสราเอลมั่นใจและภาคภูมิใจนักหนามานานปีเข้ามาในหลายๆ จุดพร้อมๆ กัน
เป็นการรุกเงียบที่เชื่อกันว่าเกิดขึ้นในช่วงระหว่าง 05.00 น. ถึง 05.30 น. ของเช้าวันนั้น
เพราะต่อมา ในเวลา 05.50 น. แอ็กเคาต์โซเชียลมีเดีย เทเลแกรม ที่เป็นของกลุ่มฮามาส ก็เริ่มโพสต์ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวของการโจมตีภาคพื้นดินของนักรบของตน จุดแรกที่เคเร็มชาลอม ด่านข้ามแดนด้านใต้สุดระหว่างกาซา ดินแดนของปาเลสไตน์กับอิสราเอล
ฮามาสเข้ายึดด่านควบคุมความมั่นคงที่เคเร็มชาลอมได้อย่างรวดเร็ว ภาพในเทเลแกรม แสดงให้เห็นว่าทหารยิว 2 นายที่ประจำอยู่ในจุดนั้นต้องสังเวยด้วยชีวิต
แนวป้องกันชายแดนที่อิสราเอลสร้างขึ้นเพื่อป้องกันกลุ่มฮามาส มีทั้งที่เป็นกำแพงคอนกรีต เสริมด้านบนสุดด้วยลวดหนาม สลับกับแนวรั้วลวดหนามที่ติดตั้งเครือข่ายกล้องวงจรปิดเพื่อการตรวจตราตลอด 24 ชั่วโมง หลายจุดมีด่านความมั่นคง มีทหารประจำการอยู่ตลอดเวลา
ปรากฏว่า แนวป้องกันเหล่านี้ถูกทำลายลงอย่างราบคาบในหลายจุดตลอดแนวชายแดนด้านตะวันออกของฉนวนกาซาในเวลาเพียงไม่ช้าไม่นาน ที่เป็นเสาคอนกรีตขึงลวดหนาม ถูกตัด หรือไม่ก็โค่นล้ม ที่เป็นคอนกรีตถูกรถตักพุ่งชน รื้อทำลายลงเป็นช่องกว้าง
ฮามาสใช้แม้กระทั่งส่งนักรบติดอาวุธของตนข้ามแนวป้องกันเข้ามาโดยอาศัยเครื่องร่อนพาราไกลเดอร์ ชนิดปฏิบัติการจากพื้นดิน หรือโดยเรือเล็กลอบข้ามมายังดินแดนอิสราเอลโดยทางน้ำบริเวณแนวริมฝั่งด้านตะวันตกที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
สิ่งที่ตามมาก็คือ กลุ่มนักรบฮามาสติดอาวุธครบมือ ใช้ตั้งแต่จักรยานยนต์ รถปิกอัพ บึ่งดาหน้าเข้าหาชุมชนอิสราเอลตามแนวชายแดนลึกเข้ามาในดินแดนอิสราเอลเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร
เมืองที่ไกลที่สุดที่นักรบเหล่านี้เดินทางมาถึงในเช้าวันที่ 7 ตุลาคม ก็คือ เมืองโอฟาคิม ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกาซามากถึง 22.5 กิโลเมตร
ทางการอิสราเอลระบุว่า แนวป้องกันชายแดนของตนเองถูกโจมตีไม่น้อยกว่า 27 จุด โดยฝ่ายตรงกันข้าม ซึ่งดูเหมือนว่า ภารกิจเดียวของนักรบฮามาสเหล่านี้ก็คือเข่นฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ที่น่าสนใจก็คือ ตลอดแนวชายแดนตั้งแต่เหนือสุดลงมาจนถึงใต้สุด มีที่ตั้งทางทหารคือฐานทัพเพียง 2 แห่งที่ซีคิมและเรอิมของอิสราเอลเท่านั้นที่ถูกโจมตี
จุดที่อิสราเอลสูญเสียสูงสุดก็คือ งานเทศกาลดนตรีกลางแจ้งแบบพักแรมขนาดใหญ่ “ซูเปอร์โนวา เฟสติวัล” ที่จัดขึ้นเพื่อฉลองเทศกาลโนวาในพื้นที่ทะเลทรายของเมืองเรอิม
กลุ่มติดอาวุธฮามาสไม่น้อยกว่า 50 คน ใช้รถยนต์เป็นพาหนะ วิ่งวนรอบพื้นที่จัดงาน ไล่ยิงคนหนุ่มสาวที่เข้าร่วมอยู่ในคอนเสิร์ตแบบไม่เลือกหน้าอย่างเมามัน ราวกับพรานป่ากำลังไล่ล่าเพื่อเลือกยิงเก้งกวางในป่ากว้าง
คนอิสราเอลและชาวต่างชาติจากหลายประเทศ เสียชีวิตที่นี่มากถึง 260 คน
ฮามาสล่าถอยกลับเข้ากาซาไปในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา กวาดต้อนทั้งพลเรือนและทหารเข้าไปเป็น “ตัวประกัน” ไม่น้อยกว่า 100 คน และอาจจะมากถึง 150 คน
นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศ “สงคราม” กับฮามาสในเช้าวันเดียวกัน ไม่นานต่อมาฉนวนกาซาก็ถูกปิดล้อม ตัดน้ำ ตัดเสบียง ในขณะที่เครื่องบินรบอิสราเอลบินถล่มเป้าหมายในกาซาอย่างต่อเนื่องระลอกแล้วระลอกเล่า
ถล่มแม้กระทั่งโรงผลิตน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคในกาซา ปูทางให้กองกำลังภาคพื้นดินบุกเข้าไปสังหารไล่หลังในอีกไม่ช้าไม่นาน
เป้าหมายนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง ถ้าไม่สามารถขุดรากถอนโคนฮามาส ให้หมดกำลังที่จะโจมตีอิสราเอลได้อีกในอนาคตไม่ได้-ไม่เลิกสงคราม
ในขณะที่ในอิสราเอลระงมไปด้วยคำถามสำคัญที่ว่า ทำไมปฏิบัติการใหญ่ ซับซ้อน ที่ผ่านการวางแผนมานานเป็นแรมเดือนเช่นนี้ เกิดขึ้นจริงได้อย่างไร โดยที่หน่วยข่าวกรองที่ขึ้นชื่อของอิสราเอล ไม่ว่าจะเป็น “ชินเบธ” (สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ) หรือ “มอสสาด” (หน่วยข่าวกรองระหว่างประเทศ) ไม่รู้ระแคะระคายเลยแม้แต่น้อย
เป็นความล้มเหลวราคาแพงระยับที่อิสราเอลต้องหาคำตอบให้ได้ เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำรอยอีกในอนาคต
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022