‘เศรษฐา’ สไตล์ ปลุกให้ ‘ประชา’ นิยม โชว์ตะลุยงานแบบ Non Stop ย้ำ ‘นิดมีแต่ให้’-ไม่รับเงินเดือนนายกฯ

นับตั้งแต่ “เศรษฐา ทวีสิน” ยอมทิ้งเก้าอี้ผู้บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ เบนเข็มเส้นทางชีวิตก้าวกระโดดเข้าสู่สนามการเมืองแบบเต็มตัวในฐานะ “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย” จนกระทั่งได้รับเสียงโหวตสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากสมาชิกรัฐสภา ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศ

โดยภารกิจหลังรับตำแหน่ง เห็นได้ประจักษ์ชัดแจ้งว่า “นายกฯ ป้ายแดง” ลุยทำงานอย่างเต็มที่ แบบ Non Stop ไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ลงพื้นที่ตรวจราชการ พบปะภาคเอกชน พี่น้องประชาชน ตามจังหวัดต่างๆ ทั้งเหนือ อีสาน ใต้ เร่งแก้ไขสารพัดปัญหา สานต่อนโยบายรัฐบาลให้สำเร็จโดยเร็ว ตามที่ให้คำมั่นสัญญากับประชาชน แบบไม่มีเหน็ดเหนื่อย หรือออกอาการบ่นตัดพ้อแต่อย่างใด

นอกจากสไตล์การทำงานที่มีลูกขยันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว เทรนด์การแต่งตัวของ “เศรษฐา” ที่เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า ยังทำให้ดูโดดเด่น สะดุดตา โดยเฉพาะการเลือก “ถุงเท้าสีสันสดใส” มาใส่ให้เข้ากับชุดสูท

ทำให้บุคลิกมีมาดความเป็นผู้นำ ดูมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น

 

นายกฯ ชื่อ “เศรษฐา” สร้างความฮือฮาอีกครั้ง เมื่อออกมาประกาศส่งต่อเงินเดือน และเบี้ยประชุมของทุกเดือนที่ได้รับจากการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตลอดการดำรงตำแหน่ง ให้กับมูลนิธิต่างๆ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้เปราะบางที่อยู่ในประเทศ โดยประเดิมมูลนิธิแรก คือ มูลนิธิเด็ก (FOUNDATION FOR CHILDREN)

โดยนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกฯ มีดำริว่า “การให้” เป็นเรื่องที่ดี ตามแต่กำลังศรัทธาของแต่ละคน จึงตั้งใจเริ่มที่ตัวเองก่อน ขณะที่รัฐบาลเองมีหลายนโยบายที่พยายามอย่างมากในการมุ่งสร้างประโยชน์สุข และความเป็นอยู่ที่ดีให้กับคนไทย โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทำให้เด็กที่มีความเสี่ยงหลุดออกจากระบบ ทั้งยังสามารถได้รับการศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่ทดแทนไม่ได้ คือหน้าที่ของรัฐที่ต้องดำเนินการสนับสนุนมูลนิธิต่างๆ เป็นการช่วยเหลืออีกทางหนึ่งซึ่งทำได้เร็วกว่าการพึ่งระบบของรัฐที่ต้องใช้เวลา เพราะต้องอาศัยการทำผ่าน พ.ร.บ.ต่างๆ ตามกลไกของรัฐสภาในการดำเนินการเพียงอย่างเดียว

ทั้งนี้ การส่งต่อเงินเดือนเป็นเพียงแค่ส่วนแรก ซึ่งนายกฯ พยายามที่จะหาโอกาสไปพบปะพูดคุยกับองค์กรกลุ่มต่างๆ เพื่อรับฟังเสียง รับทราบถึงปัญหา และความเดือดร้อนของมูลนิธิที่กำลังเผชิญอยู่ เพื่อที่จะได้หาแนวทางแก้ไขต่อไป

 

สําหรับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งทั้งหมดของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทั้งหมด หลังจากได้รับมาแล้ว รวมเป็นเงิน 125,590 บาทต่อเดือน แบ่งเป็นเงินเดือนตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 75,590 บาท และเงินประจำตำแหน่ง 50,000 บาท

ส่วนอัตราเงินเดือนตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง, รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเงิน 73,240 บาทต่อเดือน อัตราเงินประจำตำแหน่ง 42,500 บาทต่อเดือน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 241,330 บาทต่อเดือน

ขณะที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุเหตุผลที่จะส่งต่อเงินเดือนและเบี้ยประชุมของทุกเดือน ว่า รับเงินเดือนมา แล้วจ่ายภาษี และก็บริจาค ซึ่งเป็นความประสงค์ของตนเอง ยืนยันว่าเป็นความประสงค์ส่วนตัว อย่าไปกดดันรัฐมนตรีท่านอื่นเลย เพราะความจำเป็นส่วนตัวเขามีทุกคน

หากย้อนกลับไปช่วงก่อนการเลือกตั้ง ปี 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และเข้ามาทำหน้าที่เป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ก็แสดงจุดยืนด้วยความตั้งใจจริง ออกจดหมายเปิดผนึกถึงเพื่อนพนักงานเครือแสนสิริ

“ผมได้ลางานชั่วคราวโดยไม่รับค่าตอบแทน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยได้เต็มที่”

 

ส่วนบทบาทของผู้นำประเทศ การประกาศยกเงินเดือนก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยมีผู้นำระดับโลกคนอื่นๆ เคยปฏิบัติเช่นนี้กันมาบ้างแล้ว โดยบางส่วนต้องการให้เพื่อช่วยเหลือประชาชนในประเทศให้มีชีวิตกินดีอยู่ดี บางส่วนประกาศยกเงินเดือนเหตุเพราะสภาพเศรษฐกิจฝืดเคือง สินค้าข้าวของมีราคาแพง

แม้กระทั่งประเทศไทย ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศไม่รับเงินเดือนนายกรัฐมนตรี เป็นเวลา 3 เดือน เพื่อให้นำเงินไปช่วยเหลือประชาชนแก้วิกฤตโควิด-19

ทว่า เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ การประกาศยกเงินเดือนทุกบาททุกสตางค์ตลอดการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ฝ่ายเห็นด้วยต่างชื่นชม ยกย่องสปิริต ความกล้าหาญ เด็ดขาด

ส่วนฝ่ายที่เห็นต่างกลับมองว่าทำได้เฉพาะนายกฯ ที่มีฐานะร่ำรวย ไม่ควรถือเป็นบรรทัดฐานให้บุคคลอื่นทำตาม ยิ่งไปกว่านั่น เกณฑ์การคัดเลือกมูลนิธิที่จะบริจาคจะเป็นอย่างไร จะเกิดการเลือกปฏิบัติหรือไม่ หากเลือกองค์กรนี้แต่อีกองค์กรกลับไม่ได้รับคัดเลือก โอกาสที่จะเกิดเสียงข้อครหาติฉินนินทา ย่อมเกิดขึ้นได้เช่นกัน เพราะเป็นไปได้ยากที่จะส่งต่อเงินเดือนและเบี้ยประชุมให้กับมูลนิธิทุกแห่งทั่วประเทศได้ครบ

ยิ่งไปกว่านั้น บางฝ่ายออกมาตั้งข้อสังเกตมองทะลุไปถึงขั้นว่ากรณีที่นายกฯ ประกาศบริจาคเงินเกิน 3,000 บาทจะสุ่มเสี่ยงทำผิดกฎหมายอะไรหรือไม่

ส่งผลให้กุนซือฝ่ายกฎหมาย นายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ออกมาการันตีว่า หลักการแล้วการทำงานในตำแหน่งต่างๆ ของนายเศรษฐา ต้องได้รับเงินเดือน เมื่อได้รับมาแล้วถือเป็นทรัพย์สินของนายกฯ สามารถส่งต่อให้มูลนิธิต่างๆ เพื่อการกุศล ทั้งเด็กด้อยโอกาส ผู้พิการซ้ำซ้อน จะเฉลี่ยกันไปได้ โดยไม่เกี่ยวกับองค์กรที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการเมือง สามารถทำได้ เพราะไม่ได้อยู่ในช่วงเลือกตั้งที่กฎหมายห้ามไว้

ต่างจากการรับทรัพย์สินต่างๆ ที่กฎหมายเขียนห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐรับ

“การบริจาคให้กับมูลนิธิเป็นการแสดงออกถึงความทุ่มเททำงานให้กับประเทศชาติอย่างเต็มที่ โดยไม่หวังผลประโยชน์ เพราะทุกคนทราบดีว่าก่อนที่นายเศรษฐาจะเข้ามาสู่การเมืองมีความพร้อมในเรื่องนี้ ถือเป็นการส่งมอบโอกาสให้กับประชาชนและเป็นตัวอย่างให้นักการเมืองได้ทุ่มเทเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง” นายพิชิตระบุ

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา เพจมูลนิธิเด็ก (FOUNDATION FOR CHILDREN) ซึ่งเป็นองค์กรแรกที่ได้รับเงินบริจาค ได้โพสต์ข้อความขอบคุณว่าได้รับเงินบริจาคจำนวน 45,000 บาท เพื่อใช้สำหรับจัดหาสิ่งของที่เป็นประโยชน์กับเด็กๆ ในมูลนิธิ จำนวน 90 คน เรียบร้อยแล้ว

จากภาพที่ปรากฏเงินเดือนของ “นายกฯ เศรษฐา” ถูกเนรมิตให้เป็นมื้อเย็นแสนอร่อย สร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับเด็กๆ และคณาจารย์เป็นอย่างมาก

นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการส่งต่อความสุขและสร้างพลังให้กับคนไทย ภายใต้ผู้นำประเทศคนใหม่ ซึ่งจะทำให้ “ประชา” นิยม ได้ขนาดไหน ต้องติดตาม