เปิดนาทีค้นบ้าน “บิ๊กโจ๊ก” หมายจับรูด-8 ลูกน้อง เอี่ยวเว็บพนัน-บัญชีม้า เจ้าตัวโต้ถูกดิสเครดิต

หมายเหตุ : บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรก 29/09/2023

 

เป็นปฏิบัติการตรวจค้นที่เรียกว่าสะท้านฟ้าดินสะเทือนกันเลยทีเดียว สำหรับการสนธิกำลังคอมมานโด และชุดของ บช.สอท. ที่ขนอาวุธครบมือเข้าตรวจค้นบ้านพักทาวน์โฮมกลางกรุง

ซึ่งเป็นที่พักของบิ๊กตำรวจอย่าง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่ปรากฏกายออกมาด้วยชุดนอน เผชิญหน้ากับชุดตรวจค้น

พร้อมปฏิเสธไม่ให้เข้าปฏิบัติหน้าที่ จนกระทั่งนายตำรวจระดับผู้บัญชาการ ต้องรุดเข้ามาชี้แจงด้วยตนเอง ทำให้สามารถเข้าตรวจค้นได้สำเร็จ

โดยสาเหตุจากการตรวจค้นดังกล่าว ถูกระบุว่าเป็นการเข้าตรวจค้นจุดต้องสงสัยที่ผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีเกี่ยวข้องกับเว็บพนัน และบัญชีม้า เข้ามาพัวพัน

และเมื่อเปิดชื่อออกมาก็ต้องตะลึง เมื่อพบว่ามีตำรวจถึง 8 นายที่ถูกหมายจับ แถมทั้งหมดเป็นลูกน้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทั้งสิ้น

แถมยังพบเส้นทางการเงินโยงใยบัญชีม้า ให้โอนให้กับนายตำรวจหลายนาย รวมทั้งค่าใช้จ่ายส่วนตัวของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์

ขณะที่เจ้าตัวเองยืนยันไม่เกี่ยวข้องเงินเว็บพนัน ที่โอนให้ลูกน้องไปใช้จ่ายเป็นเงินส่วนตัว รวมกับงบราชการลับ

พร้อมจุดประเด็นมีข้อมูลลับ ที่เปิดขึ้นมาตายกันหมดแน่!!!

เป็นเรื่องที่ต้องรอดูว่าผลสรุปการสอบสวนจะเป็นอย่างไร

ใครจะอยู่ ใครจะไป เดี๋ยวคงได้รู้กัน!!!

จู่โจมบุกค้นบ้านบิ๊กโจ๊ก

กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวที่เกี่ยวพันกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. หลังจากที่เพิ่งถูกโอนคดี “กำนันนก” นครปฐม ที่อยู่ในความรับผิดชอบ ให้กับกองปราบปรามไปเมื่อไม่กี่วัน ก็เกิดเรื่องขึ้นอีกเมื่อวันที่ 25 กันยายน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) สนธิกำลัง กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) นำเจ้าหน้าที่อาวุธครบมือขอเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 9/147 และ 9/148 ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งหลังสโมสรตำรวจ ซอยวิภาวดีรังสิต 60 แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม.

ซึ่งเป็นบ้านพักของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เป็นบ้านทาวน์โฮม 3 ชั้น เชื่อมติดต่อกัน 2 คูหา หน้าบ้านมีรถโตโยต้า รุ่นอัลพาร์ด ทะเบียน งค 51 สงขลา รถยนต์แลนด์โรเวอร์ ทะเบียน ทม 51 กทม. และรถยนต์เลกซัส ทะเบียน ขพ 51 สงขลา

โดยเบื้องต้นระบุว่าเป็นความผิดเกี่ยวข้องกับเว็บพนัน และบัญชีม้า

ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ออกมาหน้าบ้านพัก ด้วยชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงบ๊อกเซอร์สีฟ้าขาว ถุงเท้ายาวสีขาว ออกมาหน้าบ้าน พร้อมปฏิเสธไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าค้น

ต่อมา พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. เดินทางตามมาถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงเปิดประตูนำเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจค้นในบ้าน

นอกจากนี้ ยังมีการปูพรมตรวจค้นพื้นที่อีก 6 จังหวัด เพื่อติดตามจับกุมบุคคลตามหมายจับ ประกอบด้วยพลเรือน 13 คน และนายตำรวจ 8 นาย ประกอบด้วย พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผบก.ศูนย์ฝึกอบรม บช.น., พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รอง ผบก.สส.ภาค 4 พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย ผกก.ตม.จันทบุรี, พ.ต.อ.อาริศ คูประสิทธิ์รัตน์ ผกก.ตม.ฉะเชิงเทรา, พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ รอง ผกก.สส.สภ.สำโรงเหนือ จ.สมุทรปราการ, พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร นายตำรวจติดตามรอง ผบ.ตร., ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว ผบ.หมู่งานสายตรวจ 1 กก.1 บก.จร. และ ส.ต.อ.อภิสิทธิ์ คนยงค์ ผบ.หมู่ป้องกันและปราบปราม สภ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา

ซึ่งสามารถจับกุมได้ทั้งหมด พร้อมแจ้งข้อหาในความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ, พ.ร.บ.การพนันฯ ก่อนนำส่งฝากขังศาลอาญากรุงเทพใต้ ก่อนที่ทั้งหมดจะได้ประกัน

ต่อมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มีคำสั่งย้ายทั้ง 8 ตำรวจพ้นจากตำแหน่งเดิม ไปประจำ ศปก.ตร.

สู้คดีกันตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป

สนิทสนมมินนี่

ขยายผล ‘บอสตาล-มินนี่’

สําหรับคดีดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นจากเครือข่ายเว็บพนัน “มินนี่” ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT ขยายผลจับกุมได้ โดยต้องย้อนไปเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2566 เจ้าหน้าที่บุกจับกุมบอสตาล หรือ นายพงษ์ศิริ ฐานราชวงศ์ศึก ประธานทีมฟุตบอลลำพูนวอริเออร์ ที่บ้านพ่อตาใน อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา หลังตรวจสอบพบเป็นเจ้าของเว็บพนันออนไลน์และฟอกเงิน ซื้อทีมฟุตบอล พร้อมทำธุรกิจหลายอย่างบังหน้ารวมมูลค่ากว่าพันล้าน

ต่อมาจากการสืบสวนขยายผลเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์ที่เคยมีการจับกุมทางภาคเหนือของบอสตาล เจ้าหน้าที่ได้ปิดล้อมตรวจค้นเพิ่มในพื้นที่ จ.เลย และ กทม. รวม 4 จุด เมื่อ วันที่ 30 กรกฎาคม 2566 พร้อมจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย

โดย 1 ในนั้น คือ น.ส.สุชานันท์ หรือ ธนัยนันท์ หรือ มินนี่ ฉายาเจ้าแม่เว็บพนัน พร้อมตรวจยึดของกลางสมุดบัญชีธนาคารพาณิชย์ต่างๆ 100 รายการ บัตรอิเล็กทรอนิกส์กว่า 55 ใบ โทรศัพท์มือถือ 30 เครื่อง เงินสด 920,000 บาท คอมพิวเตอร์ ไอแพด และเครื่องรับส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ต หลายรายการพบเงินหมุนเวียนกว่าร้อยล้านบาท

และในช่วงที่บุกค้นบ้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในโลกออนไลน์ก็ปล่อยคลิปการร้องคาราโอเกะร่วมกันระหว่าง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และมินนี่ รวมทั้งภาพความใกล้ชิดสนิทสนม ระหว่าง พ.ต.อ.ภาคภูมิ และมินนี่ กลายเป็นประเด็นคำถามถึงความเหมาะสม

ไม่เพียงแค่นั้น แนวทางการสืบสวนพบว่า บ้านทั้ง 5 หลังที่ตำรวจเข้าค้น และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พักอาศัยนั้น เป็นของนักธุรกิจดัง จ.อุดรธานี ที่ชื่อว่า “เฮียแต๋ม” โดย 2 หลังมีชื่อของเฮียแต๋มเป็นเจ้าของ อีก 3 หลังเป็นชื่อของภรรยาเฮียแต๋ม และเป็นผู้จ่ายค่าส่วนกลางของหมู่บ้านด้วย

ขณะที่การตรวจสอบเส้นทางทางการเงินพบว่า มีการโอนเงินจากมินนี่ เข้าบัญชีม้า ที่ พ.ต.อ.ภาคภูมิเป็นคนถือ ผ่านตู้ฝากเงินสด 51 ครั้ง รวมเป็นเงิน 3,659,890 ล้านบาท

จากนั้น พ.ต.อ.ภาคภูมิเป็นคนกระจายเงินให้กับ 7 ตำรวจ

นอกจากนี้ ยังมีการโอนเงินจาก พ.ต.อ.ภาคภูมิ ไปยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งกว่า 2.8 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาคุณแม่ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และมีการจ่ายเป็นค่าโทรศัพท์ 7 ครั้ง เป็นเงิน 48,682.34 บาท

และยังพบว่า พ.ต.อ.ภาคภูมิ โอนเงินไปที่ธนาคารกรุงไทย ให้คุณแม่ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อีก 5 ครั้ง รวมเป็นเงิน 426,000 บาท และโอนให้กับน้องชาย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อีก 410,000 บาท

เป็นที่มาของการบุกจับกุมและตรวจค้นครั้งนี้!

แถลงสู้คดี

รอง ผบ.ตร.จ่อเปิดข้อมูลลับ

ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ออกมาตอบโต้ชี้แจงทุกประเด็น โดยระบุว่าเป็นการเมืองภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นการดิสเครดิตทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ซึ่งเป็นเพราะการทำคดีมาเยอะ เกี่ยวกับตำรวจรู้เส้นทางการเงิน ออกหมายจับตำรวจหลายคน เป็นธรรมชาติที่ต้องรับแรงกดดัน

ส่วนคลิปร้องเพลงคู่มินนี่นั้น รู้มานานแล้วว่าจะนำคลิปมาดิสเครดิต ซึ่งไม่ได้รู้จักเลยว่าผู้หญิงที่มาร้องเพลงด้วยเป็นใคร วันนั้นเป็นงานเลี้ยงลูกน้อง ตนเป็นเจ้าภาพ แต่การที่ใครจะนำคนนอกเข้ามาในงานนั้นไม่ทราบ ไม่ได้รู้จักหรือติดต่อตัวมินนี่แต่อย่างใด ส่วนลูกน้องที่ไปโอบกอดมินนี่อย่างสนิทสนมนั้นลูกน้องก็ต้องตอบให้ได้ว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร หากเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดก็ต้องดำเนินคดี

“คนที่ถูกออกหมายจับคือลูกน้อง ไม่ใช่ผม จนถึงตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานการเงินเส้นไหนเชื่อมโยงมาถึงผม ยืนยันไม่เคยรับเงินเว็บพนัน หลังจากนี้จะไม่อยู่เฉย แต่ไม่ใช่การเช็กบิลย้อนหลัง จะดำเนินการตามกฎหมาย เรียกร้องความเป็นธรรม”

เรื่องบ้านมีทั้งหมด 5 หลัง เป็นของเฮียแต๋ม เศรษฐีนักธุรกิจชาวอุดรธานี เป็นญาติผู้ใหญ่ที่ตนให้ความเคารพนับถือ สนิทสนมกันมานาน ตั้งแต่สมัยตนเป็นสารวัตร เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เฮียแต๋มเคยไปให้การกับ ป.ป.ช.ว่าเป็นผู้ให้ตนอาศัยอยู่ที่บ้าน โดยการเช่ารายเดือน เดือนละ 50,000 บาท มีการทำสัญญากันชัดเจน โดยตนจ่ายค่าเช่าเพียง 2 หลังที่ทำสัญญาเช่าเท่านั้น ส่วนเฮียแต๋มก็รับผิดชอบจ่ายค่าส่วนกลาง เพราะมีชื่อเป็นเจ้าของบ้านจะต้องรับผิดชอบในส่วนนี้

ส่วนเงินที่ใช้จ่าย ทั้งหมดที่ใช้จ่ายเป็นเงินของตน หากไปคำนวณให้ดีๆ เงินของตนจะมากกว่าเงินของเว็บพนันเยอะ วันนี้ต้องพูดเรื่องจริงกันว่าตนไม่ได้ใช้เงินจากเว็บพนัน หากตนไม่เอาเงินส่วนตัวมาใช้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเอาเงินที่ไหนมาให้ใช้ ที่มาของเงินก็ตอบได้ทั้งหมด ซึ่งเฉพาะแม่ยายเป็นผู้จัดการมรดกก็เกือบพันล้านแล้ว

เงินที่ให้ลูกน้องใช้ต่อเดือน 1 ล้านบาท เป็นงบลับ 6 แสน ที่เหลือเป็นเงินส่วนตัว ที่โอนไปให้แม่ตนก็เงินส่วนตัว ส่วนใครจะไปพัวพันเว็บพนัน หรือติดพนัน หรือเอาเงินไปหมุนอะไร ก็เป็นเรื่องที่ต้องชี้แจง

“ผมไม่เอาคืน แต่ข้อมูลที่ผมมีมากละกัน ผมเปิดเมื่อไหร่ก็ตายกันหมด ผมเป็นตำรวจสืบสวนสอบสวน ผมมีข้อมูลทั้งหมด แบบที่ทำกันแบบนี้ผมก็ทำได้ แต่ผมอยากรักษาองค์กรอยู่ ส่วนสิ่งที่ทำกับผมแบบนี้ก็ต้องไปดูว่าถูกต้องหรือไม่ ตอนนี้เริ่มกินยาพารากันได้เลย เพราะผมไปยื่นศาลให้ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว”

เป็นการตอบโต้กลับจากบิ๊กโจ๊ก

ต้องรอดูกันเลยว่าจะมีบทสรุปอย่างไร!??