เมื่อ ‘วูดดี อัลเลน’ ให้สัมภาษณ์ เรื่องขบวนการ ‘มีทู’ และ ‘แคนเซิลคัลเจอร์’

คนมองหนัง

“วูดดี อัลเลน” ผู้กำกับภาพยนตร์อาวุโสชาวอเมริกัน เพิ่งนำหนังเรื่องล่าสุดของเขา คือ “Coup de Chance” ไปเปิดตัวในเทศกาลภาพยนตร์เวนิส ประเทศอิตาลี

หนังแนว “โรแมนติก-ระทึกขวัญ” ที่มีบทสนทนาเป็นภาษาฝรั่งเศสเรื่องนี้ คือภาพยนตร์ลำดับที่ 50 และอาจจะเป็นผลงานลำดับสุดท้ายของคนทำหนังวัย 87 ปี

หลายปีที่ผ่านมา แม้อัลเลนจะยังมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับวงการ-เทศกาลหนังยุโรป แต่เขากลับประสบความยากลำบากอย่างยิ่งในการทำหนังที่สหรัฐอเมริกา-ฮอลลีวู้ด หลังจากนักทำหนังอาวุโสถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศบุตรสาวบุญธรรม “ดีแลน ฟาร์โรว์” ท่ามกลางกระแสสูงของขบวนการเคลื่อนไหว “มีทู” และวัฒนธรรม “แคนเซิลคัลเจอร์” ในสังคมอเมริกัน

แม้กระทั่งเมื่อเดินทางมาร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิสครั้งนี้ ก็ยังมีกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีที่มารวมตัวชุมนุมประท้วงต่อต้านอัลเลน บริเวณสถานที่จัดงาน

ที่อิตาลีเช่นกัน อัลเลนได้ให้สัมภาษณ์กับ “เอลซา เคสลาสซี” จากเว็บไซต์ variety.com ในหลากหลายประเด็น ตั้งแต่เรื่องผลงานหนังใหม่ จนถึงกรณีข้อกล่าวหาร้ายแรงที่มีต่อเขา

 

เมื่อเคสลาสซีชวนอัลเลนสนทนาถึงขบวนการ “มีทู” ผู้กำกับฯ วัย 80 กว่า ได้วิจารณ์ว่าทุกๆ ขบวนการเคลื่อนไหว นั้นมีทั้งแง่มุมที่ดี และด้านที่โง่เขลาเบาปัญญา

“ผมคิดว่าขบวนการเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตาม ที่นำไปสู่ผลประโยชน์อย่างแท้จริง นำไปสู่ผลลัพธ์ด้านบวกบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ผลประโยชน์ด้านบวกที่มีต่อบรรดาสุภาพสตรี นั่นถือเป็นขบวนการที่ดี

“แต่ถ้าขบวนการดังกล่าวเริ่มจะทำอะไรโง่เขลา มันก็ย่อมกลายเป็นการเคลื่อนไหวที่เบาปัญญา

“ผมได้อ่านหลายๆ กรณีศึกษาที่เป็นประโยชน์มากๆ กรณีศึกษาที่ก่อให้เกิดผลดีแก่ผู้หญิง นั่นคือสิ่งที่ดี แต่เมื่อผมได้อ่านบางกรณีศึกษาตามหน้าหนังสือพิมพ์แล้วพบว่ามันไร้สาระ นั่นก็คือเรื่องโง่เขลา”

เมื่อถูกขอให้ขยายความเพิ่มเติมถึงกรณีศึกษาที่เขามองว่าเป็นเรื่องโง่เขลา อัลเลนก็อธิบายว่า

“คุณก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องโง่เขลาเบาปัญญา เมื่อเรื่องนั้นๆ ไม่ใช่ประเด็นเกี่ยวข้องกับแนวคิดสตรีนิยม หรือประเด็นว่าด้วยการปฏิบัติกับผู้หญิงอย่างไม่เป็นธรรม โดยแท้จริง

“แต่มันกลับเป็นวิธีคิดแบบสุดโต่ง ที่พยายามจะทำให้เกิดเรื่องราวเป็นประเด็นขึ้นมา ทั้งที่ในความเป็นจริง ผู้คนส่วนใหญ่ไมได้มองว่าเหตุการณ์นั้นๆ คือพฤติกรรมล่วงละเมิดผู้อื่นแต่อย่างใด”

ภาพโดย GABRIEL BOUYS / AFP

นอกจากนั้น อัลเลนยังบอกว่าตลอดชีวิตการทำหนังของตนเอง ผลงานของเขาล้วนไม่เคยถูกกล่าวโทษว่ามีเนื้อหาหรือมีกระบวนการทำงานที่ล่วงละเมิดสตรีเพศ

“ผมเคยพูดเมื่อหลายปีก่อน ว่าตัวเองน่าจะได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ของขบวนการ ‘มีทู’ ด้วยซ้ำ ซึ่งคนที่ได้ยินผมพูดแบบนั้นต่างก็รู้สึกตกอกตกใจ

“แต่ความจริงก็คือความจริง ผมทำหนังมาแล้ว 50 เรื่อง หนังแทบทุกเรื่องมักมีเนื้อหาส่วนที่ดีมากๆ สำหรับตัวละครผู้หญิงเสมอ ผมเลือกใช้บริการทีมงานกองถ่ายที่เป็นผู้หญิงมาตลอด แล้วก็จ่ายค่าจ้างให้พวกเธอในอัตราที่เท่าเทียมกับทีมงานผู้ชาย

“ผมเคยร่วมงานกับนักแสดงหญิงมาหลายร้อยคน และไม่เคยถูกพวกเธอกล่าวหาในเรื่องใดๆ แม้เพียงประเด็นเดียว ไม่เคยมีหนึ่งในพวกเธอออกไปให้สัมภาษณ์ถึงผมว่า ‘ในการร่วมงานกับเขา เขาเป็นคนหยาบคายหรือเขามีพฤติกรรมข่มขู่คุกคามคนอื่น’ มันไม่เคยมีกรณีอะไรทำนองนั้นเลย

“คนตัดต่อหนังหลายรายของผมก็เป็นผู้หญิง ผมไม่เคยมีปัญหาในการร่วมงานกับพวกเธอ ผมไม่เคยคิดเรื่องเลวร้ายใดๆ เลย เพราะผมจะว่าจ้างเพื่อนร่วมงาน โดยประเมินว่าแต่ละคนสามารถทำหน้าที่ดังกล่าวได้ดีหรือไม่

“แล้วก็อย่างที่พูดไป ผมเคยร่วมงานกับนักแสดงหญิงมาหลายร้อยคน ตั้งแต่นักแสดงหญิงโนเนม นักแสดงหญิงที่เป็นซูเปอร์สตาร์ แล้วก็นักแสดงหญิงที่มีชื่อเสียงระดับกลางๆ ไม่เคยมีใครที่มากล่าวหาว่าผมล่วงละเมิดพวกเธอ และมันก็ไม่มีเรื่องราวอะไรให้พวกเธอมากล่าวหาผมได้”

 

แล้วเคสลาสซีก็ตั้งคำถามสำคัญ ว่าอัลเลนมีปฏิกิริยาอย่างไรภายหลังจากที่ “ดีแลน ฟาร์โรว์” เข้าไปมีส่วนร่วมกับซีรีส์สารคดีเรื่อง “Allen v. Farrow” (2021) ซึ่งมีเนื้อหากล่าวโทษผู้กำกับฯ อาวุโส ว่าเคยล่วงละเมิดทางเพศลูกสาวบุญธรรมของตนเอง

“ปฏิกิริยาของผมยังเป็นเหมือนเดิมอยู่เสมอ เหตุการณ์คราวนั้นถูกสอบสวนโดยหน่วยงานสองแห่ง และภายหลังการสืบสวนสอบสวนรายละเอียดอันยาวนาน ทั้งสององค์กรต่างก็สรุปผลสอบสวนออกมาว่า มันไม่มีความชอบธรรมใดๆ ที่จะแจ้งข้อกล่าวหากับผม

“มันก็เป็นอย่างที่ผมได้เขียนเล่าเอาไว้ในหนังสือ ‘Apropos of Nothing’ นั่นแหละ ว่าเรื่องนี้มันไม่มีอะไรเลย”

จากนั้น เคสลาสซีจึงเชื่อมโยงบทสนทนาไปถึงบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่กว้างขวางกว่านั้น ผ่านคำถามที่ว่า อัลเลนคิดว่าตัวเขาเองถูก “แคนเซิล” หรือไม่?

ดูเหมือนนักทำหนังอายุ 87 ปี ไม่ได้ให้ความสำคัญกับ “วัฒนธรรมแคนเซิล” มากนัก และความท้าทายในชีวิตการทำหนังช่วงปัจฉิมวัยของเขาคล้ายจะเคลื่อนไปที่ประเด็นอื่นมากกว่า

“ผมรู้สึกว่าถ้าคุณกำลังจะถูกแคนเซิล ไอ้วัฒนธรรมแบบนี้นี่แหละที่ควรจะโดนแคนเซิลไปซะเอง ผมมองว่าทั้งหมดนี่มันโง่เขลาเบาปัญญามาก ผมไม่เคยคิดถึงมัน ผมไม่รู้หรอกว่าการถูกแคนเซิลมันหมายความว่าอย่างไร ผมรู้แค่ว่า ปีแล้วปีเล่าที่ผ่านไป ทุกๆ อย่างยังคงเหมือนเดิมสำหรับผม

“ผมก็ทำหนังของตัวเองไป สิ่งที่เปลี่ยนแปลงก็คือกระบวนการจัดฉายภาพยนตร์ ผมยังคงทำงาน แล้วนั่นก็คือกิจวัตรที่คงเดิมของผม ผมเริ่มต้นด้วยการเขียนบทหนัง ก่อนไปหาเงินทุน จากนั้น ก็ลงมือสร้างภาพยนตร์ ด้วยการถ่ายทำมัน ตัดต่อมัน แล้วมันก็สำเร็จออกมาเป็นหนังหนึ่งเรื่อง

“สิ่งที่แตกต่างไปมันไม่ได้เกิดจากวัฒนธรรมแคนเซิลอะไรนั่น แต่เกิดขึ้นจากวิธีการจัดฉาย-เผยแพร่ภาพยนตร์ที่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว นั่นแหละคือความเปลี่ยนแปลงใหญ่” •

ข้อมูลจาก https://variety.com/2023/film/global/woody-allen-dylan-ronan-being-canceled-new-movie-1235712494/

https://www.hollywoodreporter.com/movies/movie-news/protestors-woody-allen-coup-de-chance-venice-premiere-1235581718/

 

| คนมองหนัง