เก็บตก ‘เฉลียง Rare Item’

วัชระ แวววุฒินันท์

เมื่อปลายเดือนที่แล้ว ผมได้มีโอกาสไปชมคอนเสิร์ต “เฉลียง Rare Item” ที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้พบเพื่อนเก่า

ที่ว่าเป็น “เพื่อนเก่า” เพราะผมได้ชมลีลาร้องเพลงและพูดคุยของพวกเฉลียงทุกครั้งที่จัดแสดง เมื่อครั้งก่อนก็ห่างจากครั้งนี้ร่วม 8 ปี การได้กลับมาเห็นพวกเขายืนบนเวทีอีกครั้งจึงเหมือนได้พบกับเพื่อนเก่าที่ผูกพันและยังคิดถึง

อีกประการหนึ่งก็ด้วยความเป็นเพื่อนเก่ากันจริงๆ เพราะได้มีโอกาสใกล้ชิดคลุกคลีตีโมงกับสมาชิกเหล่านี้มาร่วม 40 ปีแล้ว ถ้าไม่เก่าก็ให้มันรู้ไป

ถามว่าชมคอนเสิร์ตครั้งนี้แล้วรู้สึกอย่างไร?

 

ก็ขอตอบว่ารู้สึกมีความสุขตามสภาพ “สภาพ” ที่ว่านี้ก็คือสภาพของสมาชิกเฉลียงทั้ง 6 ซึ่งมีอายุอานามเลย 60 มา 3 หน่อ ส่วนอีก 3 หน่อก็ไล่ตามมาติดๆ ฉะนั้น อย่าคาดหวังอะไรมากกับความเฉิดฉาย ฉับไว ตื่นตาตื่นใจ เพราะนั่นก็ไม่ใช่ท่าทีของเฉลียงแต่เดิมอยู่แล้ว

ถามว่าแล้วท่าทีเฉลียงแต่เดิมคืออย่างไร ก็เป็นการแสดงการร้องเพลงและเล่นดนตรีตามแต่ที่ใครจะสามารถ คือ ไม่ได้เป็นนักดนตรีที่เก่งกาจอะไร ถ้าซ้อมมากหน่อยก็ขึ้นเวทีอวดชาวบ้านได้พอไม่อายใคร ส่วนการร้องเพลงก็ร้องได้น่าฟังตามบุคลิกของแต่ละคน ซึ่งบทเพลงที่พวกเขาร้องนั้นก็เหมาะสมกับบุคลิกของพวกเขาจริงๆ อันนี้ไม่นับเพลงหมู่นะครับ

อย่าง “เกี๊ยง-เกียรติศักดิ์ เวทีวุฒาจารย์” นี่เสียงหล่อ โทนอบอุ่น ขวัญใจสาวๆ เด็กเรียน ครั้งนี้มาขยี้ความอบอุ่นด้วยการโชว์เพลงกับลูกสาวคนเดียว “น้องแก้ม” ที่โตเป็นสาวอายุ 22 ปีแล้ว ทั้งคู่ขับขานกันในบทเพลง “ยังมี”

ภาพบนจอขนาดใหญ่ทำให้เราเห็นได้ถึงสายตาของพ่อเกี๊ยงที่มองดูน้องแก้มอย่างภูมิใจ และรักใคร่อย่างมาก แถมลุ้นไปด้วยห่างๆ ยามลูกเปล่งคำร้อง และในตอนท้ายเพลงก็เห็นน้ำตาแห่งความปีติปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา

เป็นซีนอบอุ่นที่สุดในคอนเสิร์ตก็ว่าได้

ส่วน “จุ้ย-ศุ บุญเลี้ยง” คนนี้เป็นหัวหน้าเด็กแนวผจญภัย จุ้ยไม่ใช่คนเสียงเพราะ ไม่ได้ร้องเพลงเก่ง แต่เป็นคนร้องเพลงมีอารมณ์และความรู้สึกอย่างมาก โดยเฉพาะเพลงที่เขารับผิดชอบจะเป็นแนวถ่อมตัว ง่ายๆ ลุยไหนลุยกัน อย่างเพลง “แค่มี” หรือ “เที่ยวละไม”

แต่ที่โดดเด่นอย่างมากบนเวทีของจุ้ย คือ จังหวะการเล่นกับคนดู เวลาเขาเล่าเรื่องราวหรือหยอดมุกอะไร จะได้ผลเสมอ เป็นการเรียกเสียงหัวเราะแบบค่อยเป็นค่อยไปและตบมุขทิ้งท้ายให้ได้ฮาแรงๆ ทุกครั้ง ซึ่งประสบการณ์ที่เขารับเป็นวิทยากรงานอบรม สัมนา หรือให้ความรู้กับเด็กจนผู้ใหญ่ในเวทีต่างๆ

ช่วยบ่มเพราะทักษะในด้านนี้ของจุ้ยได้อย่างดี

สําหรับคนที่รับผิดชอบเพลงมากที่สุดของเฉลียงคือ “เจี๊ยบ-วัชระ ปานเอี่ยม” ก็จะเป็นแนวสนุกสนาน ขี้เล่น และประชดประชันหน่อยๆ ตามสไตล์ของเขา เขาเปิดเวทีเป็นคนแรกและชวนคนดูร้องเพลง “รู้สึกสบายดี” ไปกับเขาได้อย่างสนุกด้วยมุขแพรวพราย เบื้องหลังคือการอยากเปิดตัวใหม่ๆ ให้ต่างจากคอนเสิร์ตทุกครั้งที่จะเป็นการปรากฏตัวของเฉลียงทั้งวง แต่ครั้งนี้คิดกันว่าให้เปิดคนเดียวก่อนแล้วค่อยเพิ่มเติมสมาชิกเข้ามา ซึ่งคนที่จะเอาเวทีคนเดียวอยู่ก็คือเจี๊ยบคน

นอกจาการร้องเพลงที่หลากหลายแล้ว สิ่งที่แฟนๆ เฉลียงติดใจและอยากฟังคือ การพูดคุยเล่นมุกของเจี๊ยบ ซึ่งช่างสรรหาเรื่องราวมาเล่า มาอำ มาจิกกัด โดยเฉพาะในช่วง “การเล่าประกอบนิทาน” ของเพลง “นิทานหิ่งห้อย” ที่จะต้องมีทุกครั้ง และผูกเอาเรื่องบ้านเมืองและการเมืองในช่วงนั้นๆ มาอำอย่างสนุก

พวกเฉลียงเคยคิดว่าไม่เอาได้ไหมกับการนำเสนออย่างนี้ คำตอบคือ “คงไม่ได้” เพราะมันเป็นความคาดหวังของคนดูไปเสียแล้ว ว่าต้องได้ฟังการเล่านิทาน (การเมือง) หากเขาหวังแล้วไม่สมหวัง อารมณ์ก็จะไม่เอ็นจอยเต็มที่แน่นอน

ยิ่งในครั้งนี้ที่เจี๊ยบเล่าเหตุการณ์การเมืองที่อิงไปกับเทพนิยายทั้ง หนูน้อยหมวกแดง (คงนึกออกนะครับว่าพรรคไหน) ทั้ง สโนไวต์ ที่เรียกย่อๆ ว่า “ส.ว.” รวมทั้ง เจ้าชายร่างสูงโย่ง ที่คงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากนายกฯ คนที่ 30 ของไทย ที่นำรองเท้าแก้วมาให้สวมเพื่อหาคนร่วมรัฐบาล เอ๊ย หาคนมาครองคู่ แต่นอกจากคนแล้วยังมีงูเห่าตั้ง 16 ตัวมาขอลองรองเท้าด้วย ฮะฮะฮ่า

และที่ถูกใจผู้ชมอย่างมากคือการโยงไปถึง “อดีตนายกฯ ที่เพิ่งเดินทางกลับบ้าน” ซึ่งเรื่องของบุคคลท่านนี้จะถูกเฉลียงนำมาอำแทบจะตลอดคอนเสิร์ตก็ว่าได้

พูดถึงสมาชิกไปแล้ว 3 คน ยังมีอีก 3 หน่อ เป็น “ดี้-นิติพงษ์ ห่อนาค” ก่อนละกัน ในอัลบั้มของเฉลียง ดี้ไม่ได้รับผิดชอบเพลงเยอะ แต่เพลงไหนที่เขาร้องจะเหมาะเจาะกับเขาอย่างยิ่ง และสร้างอารมณ์ร่วมของผู้ฟังได้อย่างดี

ดี้เปิดตัวด้วยเพลง “นายไข่เจียว” ที่เป็นเพลงประจำตัวเขาในสไตล์บลู และผู้ชมก็ร้องไปกับเขาทั้งฮอลล์ สำหรับเรื่องการพูดคุยนั้นดี้เป็นตัวชง ตัวปูมุก และตัวเสริม ที่สร้างความกลมกล่อมให้กับการสนทนา และมุขที่ได้ผลเสมอคือมุขสังขารของเขาเอง

ส่วน “นก-ฉัตรชัย ดุริยะประณีต” นั้น เพลงที่เขาร้องจะเป็นแนวคันทรี่หน่อยๆ และเนื้อหาก็เป็นแบบชิลด์ๆ สบายๆ มองโลกในแง่ดี อย่างเพลง “ง่ายๆ” หรือเพลง “ไม่คิดถาม” ที่เล่นกีตาร์แบบอะคูสติกได้อย่างลงตัว

สำหรับ “แต๋ง-ภูษิต ไล้ทอง” ที่เป็นนักดนตรีจริงๆ คนเดียวของวง เขาสามารถเล่นเครื่องเป่าได้หลากหลายชนิด ซึ่งเพลงของเฉลียงก็มีพื้นที่ให้เขาได้แสดงความสามารถไม่น้อยเลย

แต๋งจะคอยหยอดมุขผสมไปกับเจี๊ยบและดี้อย่างคนวัยเดียวกัน

ซีนที่เขาสามคนพูดถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง Chat GPT และทดลองถามปัญหาโดยถามว่า เฉลียงเป็นใคร, นิติพงษ์เป็นใคร และ วัชระเป็นใคร นั้น ได้คำตอบจากปัญญาประดิษฐ์ที่เรียกเสียงหัวเราะได้อย่างมาก เป็นการนำเรื่องความสมัยใหม่มาเล่นได้ดี แต่คิดว่าปัญญาประดิษฐ์อาจจะเมาน้ำกระท่อมไปหน่อย จึงให้ข้อมูลมาว่า

“…วงเฉลียงเป็นวงประกอบด้วยเครื่องดนตรีไทย อาทิ…” และมีชื่อสมาชิกที่เป็นหลวงอะไรจำไม่ได้ และคนอื่นๆ ที่ไม่มีชื่อหกคนตัวจริงเลย

หรือ ข้อมูลของวัชระ ปานเอี่ยม ก็จะบอกว่า “…ได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยโรคมะเร็งปอดเมื่อตอนอายุ 43 ปี…” ฮะฮะฮ่า ว่าเข้านั่น

แต่โชว์ของแต๋งที่โดยส่วนตัวแล้วชอบเป็นพิเศษ คือเพลง “กุ๊กไก่” โดยแต๋งหยอดมุขกับคนดูว่า “ปกติผมไม่เคยร้องเพลง แต่วันนี้จะร้องให้ฟัง” คนดูปรบมือกราว “แต่ต้องมีนักร้องลูกคู่ออกมาช่วยด้วย ขอเชิญสองลุง” แล้วดี้กับเจี๊ยบก็ออกมา เดินท่าทางเหมือนลุงคนหนึ่งจนคนดูอดขำไม่ไหว

พอเข้าร้อง แต๋งก็ร้องนำจริงๆ แต่เป็นการร้องแบบเสียงไก่ล้วนๆ ซึ่งใครที่เคยฟังเพลงนี้คงนึกออกว่าจะเป็นเสียงไก่ประมาณนี้

“…กวา…กว้า…กวา…กวา…กว่า..กวา..กว้า…กว่า…” ส่วนท่อนที่เป็นคำร้องก็โยนให้เจี๊ยบร้อง แต๋งสนุกกับมุขนี้มาก ร้องเสียงไก่ไป ยิ้มแก้มตุ่ยไปจนจบเพลง เป็นที่ชอบใจของคนดูยิ่งนัก

นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของคอนเสิร์ตที่ยาวสามชั่วโมงครึ่งในวันนั้น ที่จริงๆ ยังมีความสนุกเฮฮาตามประสาเฉลียงอีกมาก ซึ่งเชื่อว่าแฟนเฉลียงตัวจริงคงจะเต็มอิ่มเต็มอารมณ์

สิ่งที่เห็นได้จากเฉลียงครั้งนี้คือ “ความเป็นธรรมชาติ” ที่พวกเขาเป็น ไม่มีใครต้องพยายามทำตัวให้ดี หากปล่อยตามอายุขัย และทำการแสดงแบบ “สมวัย” สนุกก็สนุกแบบไม่ยัดเยียด แก่ก็บอกแก่ ป่วยก็บอกป่วย เพราะต้องกรำศึกมาเยอะตั้งแต่ซ้อม และแสดงจริงในรอบก่อนๆ รอบที่ผมดูเป็นรอบสุดท้ายที่หลายคนต้องไปฉีดยามา และเสียงก็แหบแห้งไปบ้าง เมื่อบอกสถานการณ์ให้ผู้ชมทราบ ทุกคนก็เข้าใจและปรบมือให้กำลังใจ แถมยังช่วยร้องตามเพื่อผ่อนแรงอีกด้วย

แม้แต่การไปฉีดยาของพวกเฉลียงนี่ก็เอามาเป็นมุขได้ เพราะไปฉีดที่ไหนไม่ฉีด แต่ไปฉีดที่โรงพยาบาลตำรวจ คงเพราะอยู่ใกล้ที่สุด นึกออกใช่ไหมครับว่าพวกเฉลียงจะเล่นแซวใครที่ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจในช่วงนั้นเหมือนกัน

ตอนท้ายๆ คอนเสิร์ตมีการถามว่าจะมีการจัดคอนเสิร์ตอีกไหม เมื่อไหร่ ซึ่งถ้านับระยะ ห่างจากคราวที่แล้วก็ร่วม 8 ปี ฉะนั้น หากเป็นเวลา 8 ปีเหมือนเดิมก็ต้องมาดูกันว่าจะยังไหวกันอยู่ไหม ทั้งคนดูคนเล่น

จุ้ยแนะนำว่าอาจจะไม่ต้องทอดระยะเวลายาวถึง 8 ปีก็ได้ เพราะถ้าขอนิรโทษกรรมได้ ก็อาจลดลงครึ่งหนึ่ง งั้นอีก 4 ปีก็ลุกขึ้นมาจัดได้แล้ว ฮะฮะฮ่า

ไม่วายที่จะแขวะจริงๆ

เอาเป็นว่า มาดูแล้วกันว่าระหว่างเฉลียงจัดคอนเสิร์ตครั้งต่อไป กับการพ้นโทษของอดีตนายกฯ ทักษิณ อะไรจะเกิดขึ้นก่อนกัน ส่วนสาเหตุอะไรที่จะได้รับการลดโทษนั้นมันมีมากมายครับ เหมือนกับเพลงเฉลียงที่ชื่อ “อื่นๆ อีกมากมาย” …อาจจะจริงเราเห็นอยู่ เผื่อใจไว้ ที่ยังไม่เห็น…

ส่วนสาเหตุที่เฉลียงจะลุกขึ้นมาทำการแสดงครั้งต่อไปนั้นมีเหตุผลเดียวครับ

คือ “ร้อนเงิน” เท่านั้นแหละ จบข่าว •

 

เครื่องเคียงข้างจอ | วัชระ แวววุฒินันท์