ชั่วโมง วิกฤต ภาษา อังกฤษ ร้อนแรง ถึงขั้น ประท้วง

บทความพิเศษ

 

ชั่วโมง วิกฤต

ภาษา อังกฤษ ร้อนแรง

ถึงขั้น ประท้วง

 

อาจารย์ภาษาอังกฤษนี้สวยสะวี้ดสะว้าดมาก กู (ทองปน บางระจัน) เองชอบที่จะลอบมองกิริยาอาการที่เคลื่อนไหวไปมา

เพราะเหมือนแหม่มไม่มีผิดเพี้ยนแม้กระผีกเดียว

จากการสอบถามเพื่อนฝูงทั่วทั่วไปได้ความว่า อาจารย์นี้ไปอยู่อเมริกามาหลายปีดีดัก ได้ใบปริญญาประกาศนียบัตรมามากมายก่ายกองจนตัวอาจารย์เองก็รู้สึกว่าจะจำอักษรย่อได้ไม่หมด

วันนี้อาจารย์สวมเสื้อสีชมพู กระเป๋าถือสีชมพู เข็มขัดสีชมพู รองเท้าสีชมพู

โว้ย กูจะบ้า อยากตาย

ไอ้กู้ศักดิ์ที่นั่งข้างข้างเอียงหน้ามากระซิบข้างหูกูว่า มึงว่าถ้าส่งเข้าประกวดนางสาวไทยนี่จะติดอันดับไหม

กูจึงตอบว่ารอบสุดท้ายนั้นถึงแน่

เธอจบ มอแปด

โรงเรียนไหน

อาจารย์หันมาแล้วชี้ถามไอ้พรหมศักดิ์ว่า เธอลองอธิบายซิว่า “ไฟไนต์” กับ “นอน ไฟไนต์” ต่างกันอย่างไร

ไอ้พรหมศักดิ์ย้อนถามว่า อะไรคือไฟไนต์ล่ะครับ

พวกเพื่อนเพื่อนหัวร่อเอะอะเฮฮาขึ้นพร้อมพร้อมกันเพราะไอ้พรหมศักดิ์ไม่รู้จัก “ไฟไนต์ เวิร์บ”

อาจารย์ย้อนถามว่า เธอจบมอแปดจากโรงเรียนไหน

ไอ้พรหมศักดิ์ตอบว่า โรงเรียนที่จังหวัดชลบุรี แล้วอาจารย์ก็แถลงว่า ครูบาอาจารย์เธอไม่สั่งสอนหรือ

พวกเราอึ้งไปตามตามกัน

นึกไม่ถึงว่าอาจารย์สาวสาวจะปากคอจัดจ้านอย่างนี้ ไม่แต่เท่านั้นพวกเราที่นั่งอยู่แถวเดียวกันแลแถวข้างเคียงถูกอาจารย์เรียกถามเรียงตัว ตลอดถึงตัวกูด้วย

แต่ก็ไม่มีใครสามารถตอบคำถามของอาจารย์ได้

บรรยากาศจึงอยู่ในสภาพที่อาจารย์ก็หงุดหงิด บรรดาศิษย์ก็หงุดหงิด เป็นความหงุดหงิดที่ในที่สุด ทองปน บางจะรัน อดรนทนฟังไม่ไหว จึงต้องถามบ้างว่า บ้านเมืองจะเจริญนี่จะต้องรู้ภาษาอังกฤษหรือครับ

อาจารย์แผดเสียงว่า เยสสสสสสสสสสสสสส

 

ทองปน บางระจัน

โต้กลับ เม็ดต่อเม็ด

อันที่อาจารย์ว่ามาก็ถูกต้องอยู่ แต่ถูกต้องไม่หมด เราทุกคนรู้ดีว่าภาษาอังกฤษเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโลกสมัยใหม่ที่นานาชาติใช้ภาษานี้เป็นภาษาระหว่างชาติ

แต่มิใช่ว่าบ้านเมืองจะเจริญได้ก็ด้วยคนในชาติทุกคนจะต้องรู้ภาษาอังกฤษทั้งสิ้น

และการที่อาจารย์จะมาคาดคั้นให้พวกผมต้องเก่งภาษาอังกฤษนั้นมันเป็นไปไม่ได้หมด

คนเรามีลักษณะคนละอย่าง มีชีวิตคนละแบบ

อาจารย์อาจจะเก่งภาษาอังกฤษ แต่ผมเชื่อว่าอาจารย์ทำคำนวณไม่ได้ หรืออาจารย์ก็ไม่รู้กฎหมาย

ในขณะเดียวกันคนเก่งคำนวณก็ไม่เก่งภาษาเท่าอาจารย์

นักวิทยาศาสตร์สร้างจวรดได้ไปถึงโลกพระจันทร์ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถสร้างนักวรรณคดีได้เท่ากวีหรือนักประพันธ์

คนคนหนึ่งอาจจะมีพรสวรรค์ในการเรียนทางภาษา สามารถเรียนรู้กระทั่งภาษาหมา แต่คนคนนั้นอาจจะไม่เอาถ่านทางการสังคมศาสตร์ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ก็อาจจะมีคนที่สามารถเก่งทั้งสองทางหรือหลายทาง

อาจารย์พิโรธว่าเธออย่ามาแดกดันฉันนะ

กู (ทองปน บางระจัน) จึงโค้งคำนับแล้วว่า ขอประทานอภัย ผมมิได้มีเจตนาจะว่าในความหมายอย่างนั้นเลย

อาจารย์ที่เคารพ

มันมิใช่ความผิดของพวกผมที่รู้ภาษาอังกฤษไม่ได้ดีเท่าที่ควร เพราะผมทั้งหลายเป็นคนไทย เรียนจบมอแปดมาจากโรงเรียนของรัฐบาลไทย มิได้เรียนจบจากโรงเรียนของรัฐบาลอังกฤษหรือรัฐบาลอเมริกัน

ผมเรียนมอแปดมาได้ สอบเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยได้โดยความรู้ทางภาษาอังกฤษไม่ดีนั้น เป็นความผิดของรัฐบาล ของกระทรวงศึกษาธิการ และของสภาการศึกษาแห่งชาติต่างหาก

และที่อาจารย์จะมาเกณฑ์ให้พวกผมรู้มากรู้มายโดยเอาความต้องการเป็นเกณฑ์นั้นผมรู้สึกว่าจะไม่ถูก

จริงอยู่ละว่า ชั้นมหาวิทยาลัยควรจะรู้มากเท่าที่อาจารย์คิด แต่ไม่ใช่มาเกณฑ์เอากันตอนนี้ ทำไมอาจารย์ไม่ย้อนไปมองดูรากฐานการศึกษาภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นประถมชั้นมัธยมบ้างเล่า

ก็เขาปล่อยกันมาอย่างนี้แล้วจะให้พวกผมทำอย่างไร

อาจารย์จะด่าว่าพวกผมพูดภาษาอังกฤษไม่ถูกสำเนียง ไม่เป็นสรรพรสนั้นน่ะ ถูกครับ

ก็อาจารย์ลองให้ฝรั่งมันพูดภาษาไทยดูบ้างปะไร มันเป็นภาษาไหม

ค่อยค่อยสอน ค่อยค่อยว่าพวกผมไปซี่ครับ เอะอะมะเทิ่งด่าเอาปาวปาว พวกผมก็แย่ ใช่ว่าพวกผมจะไม่อยากรู้เรื่อง

อยากรู้มันสักร้อยภาษาด้วยซ้ำ

ก็มันรู้ไม่ได้ ทำยังไงก็ไม่รู้ อาจารย์ก็รู้มามาก ลองหาวิธีที่ไพเราะให้พวกผมรู้มั่งซี่ โธ่

เงียบ

เป็นความเงียบที่สะท้อนออกอย่างรุนแรงและอึกทึก เนื่องจากอาจารย์เดินเอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา

ออกจากห้องไปเฉยเลย

กูจึงปราดไปกราบขออภัยอาจารย์ แต่อาจารย์ไม่หยุด เวรกรรมของกูอีกแล้ว เฮ้อ เหมือนเด็กเล็ก

มหาวิทยาลัยเอ๋ย

กูยืนอยู่หน้าห้องเรียนด้วยสลดในหัวใจ เพื่อนเพื่อนบางคนมองกูด้วยความเคียดแค้นชิงชัง สายตาที่มองประหนึ่งจะให้กูแหลกล่มจมธรณีลงไปในบัดเดี๋ยวนั้น

บางคนมองกูด้วยความเข้าใจ แลคล้ายกับจะปลอบประโลม

 

วิกฤต ในชั้นเรียน

เป็น โรคระบาด

ทั้งหมดนั้นย่อมเป็น “การปะทะ” เริ่มต้นในทาง “ความคิด” แล้วปะทุขึ้นเป็นการแสดงออกในลักษณะอันเป็นการปะทะ

เป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน หากมองจากบรรทัดฐาน “เดิม”

นี่ย่อมเป็นความรุนแรงอย่างแจ้งชัด นี่ย่อมเป็นปรากฏการณ์ใหม่ น่าเชื่อว่าจะเริ่มแสดงออกในวงแคบ

แต่เมื่อสะท้อนผ่าน “หนุ่มหน่ายคัมภีร์” ก็เป็นเรื่อง

ที่สำคัญปรากฏการณ์นี้มิได้มีแต่ในชั่วโมง “ภาษาอังกฤษ” หากได้แพร่ลามออกไปเหมือนกับเป็น “โรคระบาด”

สร้างความตื่นตะลึง ก่ออาการจังงัง