ท่วงท่า ประท้วง ในแบบ ทองปน บางระจัน ลึกลับ ซับซ้อน

บทความพิเศษ

 

ท่วงท่า ประท้วง

ในแบบ ทองปน บางระจัน

ลึกลับ ซับซ้อน

 

ความจริงใจแล้ว กู (ทองปน บางระจัน) ไม่อยากที่จะก่อเกิดปฏิกิริยาใดใดทั้งสิ้น อยากอยู่เฉยเฉยอ่านหนังสือคนเดียวเงียบเงียบ

ได้นั่งนึก นั่งคิด ได้อ่านหนังสือพิมพ์ทั้งเช้าทั้งบ่าย

ได้ดูโทรทัศน์ ได้ฟังวิทยุ ไปตามสมควร ชอบกันก็คุยกัน ไม่ชอบกันก็ไม่ต้องเจรจากันเท่านั้น หลายครั้งหลายหนที่เพื่อนในห้องเรียนเดียวกันนั้นชอบมองกูด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจ

แต่ในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้อารมณ์ขันของกูไป

กระนั้น หากถือเอา “อารมณ์ขัน” เป็นดั่งเครื่องมือ เป็นดั่งอาวุธ สิ่งที่ชำแรกแทรกเข้ามาด้วยกลับระคนด้วยความขื่น

กลายเป็นอารมณ์ “ขื่น” เจือผสมกับอารมณ์ “ขัน”

 

เครื่องดนตรี โปรด

ทำไม เป็น “ซอ”

วันหนึ่งกู (ทองปน บางระจัน) นั่งผิวปากเพลง “ลาวดำเนินทราย” เพราะเป็นชั่วโมงว่าง ทรงศิริตรงเข้ามาถามว่า “ชอบดนตรีไทยหรือ”

กูตอบว่า “ไม่ชอบ”

เธอจึงถามต่อว่า “ไม่ชอบแล้วทำไมจึงผิวปากเพลงไทยเดิมได้เล่า” กูพูดด้วยเสียงดังว่า “อ้าว ไม่เห็นกรมศิลปากรตราเป็นกฎหมายนี่หว่าว่ามีคนสัมปทานเพลงไทยเดิมแล้ว”

เธอร้อง “ว้า ตอบฉันดีๆ ซี่” กูก็หัวเราะ

เธอถามอีกว่า “เธอเล่นดนตรีไทยเป็นไหม” กูตอบว่า “เป็นนิดหน่อย” หล่อนรีบถามว่า “เล่นอะไรเป็น”

กูตอบว่า “สีซอ”

วินาที แรกมา

ประวัติศาสตร์

อาจารย์วิชา “ประวัติศาสตร์” เดินเข้ามา แล้วตรงไปที่โต๊ะอาจารย์ นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่พักใหญ่ เปิดดูรายชื่อในกระดาษโต๊ะโรเนียว แล้วก็เริ่มการทำงาน

“ทรงศิริ” เสียงตอบว่า “มาค่ะ” ต่อด้วย “สุชาดา” เสียงว่า “มาค่ะ” แล้วถึง “สุเรษฎ์” เสียงแว่วว่า “มาครับ”

เสียเวลาในการทำดังนี้ไปประมาณ 15 นาที

จากนั้น อาจารย์เริ่มอารัมภบทว่า ชั่วโมงนี้เป็นชั่วโมงประวัติศาสตร์ไทยเราจะเริ่มเรียนกันตั้งแต่สมัยแรกของชนชาติไทย

ก่อนอื่นต้องรู้เสียก่อนว่า “ประวัติศาสตร์” คืออะไร

ประวัติศาสตร์หรือที่ภาษาอังกฤษว่า “ฮิสทรี้” นี้หมายถึงวิชาว่าด้วยเรื่องราวในอดีต เรื่องราวในอดีตของชนชาติไทยเริ่มตั้งแต่สมัยที่อาศัยอยู่ในดินแดนจีน

ไทยเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่มาแต่สมัยโบราณ

แรกทีเดียวอาศัยอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไตในดินแดนที่เป็นประเทศจีนปัจจุบัน ไทยกับจีนคงเป็นชาติพี่น้องกันมาตั้งแต่สมัยนั้น ต่อมา เมื่อถูกคนจีนรุกรานคนไทยซึ่งเป็นชาติที่รักสงบไม่เบียดเบียนใคร

ก็อพยพถอยร่นจากดินแดนเดิมลงสู่ทางตอนใต้

(ได้ฟังดังนั้น) กู (ทองปน บางระจัน) ก็เลยพาลนอนหลับเอาดื้อดื้อ คิดว่าเป็นเพียงการเกริ่น

จึงรอฟังชั่วโมงที่ 2 ในอาทิตย์ต่อมา

 

คนไทยมาจากไหน

อุบัติแห่ง น่านเจ้า

ซึ่งเริ่มต้นว่า เมื่อคราวที่แล้วเราได้รู้เรื่องเกี่ยวกับคนไทยมาจนถึงการก่อตั้งอาณาจักรน่านเจ้า วันนี้จะได้เริ่มต่อไป

เกี่ยวกับเรื่องอาณาจักรน่านเจ้าซึ่งเป็นอาณาจักรแรกของคนไทย

ที่ก่อตั้งโดยคนไทย นับเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น จนกระทั่งสามารถขยายอาณาเขตออกไปจนถึงธิเบตโน้น มีกษัตริย์ที่ทรงไว้ซึ่งความปรีชาสามารถหลายพระองค์

ขอให้นักเรียนสนใจให้ดี

ต่อไปนี้จะกล่าวถึงเหตุการณ์ของกษัตริย์ต่างต่าง เป็นต้นว่า สินุโล โก๊ะล่อฝง พีล่อโก๊ะ

“โว้ย กระบวนคนหลงตัวเองในโลกนี้คงไม่มีใครเกินคนไทย”

กูคิดของกูหย่งนี้ หมดหวังในการเรียนประวัติศาสตร์ไทย ตั้งแต่ชั้นประถมปีที่หนึ่งถึงสี่

เอ้าสี่ปี

มัธยมที่หนึ่งถึงหก เอ้าหกปี รวมเป็นสิบปี มอศอห้าอีกสองปี ไม่คิดที่ตกซ้ำชั้น สิริรวมทั้งสิ้นสิบสองปีที่เรียนประวัติศาสตร์ไทยเรื่องเดียวกันนี้เอง ไม่ได้เคลื่อนไหวไปไหนเลย

โง่ลง

 

รสชาติ การเรียน

ประวัติศาสตร์

ในความรู้สึกของ ทองปน บางระจัน ครั้นฟังไปเรียนไปจึงรู้ว่าล้วนเป็นเรื่องเก่าเก่าทั้งสิ้น

ก็เลยรู้สึกแปลก

แรกเข้ามหาวิทยาลัยยังมีความรู้สึกว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยจะได้รับรสชาติที่เข้มข้นน่าดูน่าชมทีเดียว

ครั้นเริ่มเรียนอย่างจริงจริงเข้าก็ชักไม่แน่ใจว่าที่กู (ทองปน บางระจัน) กำลังเรียนอยู่นั้นเป็นมหาวิทยาลัย

หรือว่าโรงเรียนมัธยมศึกษาชั้นสูง

ความคิดอันสับสนของกูวนเวียนอยู่ เสียงที่อาจารย์กำลังร่ายยาวอยู่หน้าห้องเรียนเสมือนนักบวชในนิกายใดนิกายหนึ่งกำลังร่ายธรรมะอันประเสริฐ

เพื่อให้บรรดาผู้นั่งฟังอยู่นั้นเลื่อมใส

 

เงาสะท้อน การเรียน

ผลึก แห่งบทวิพากษ์

ทั้งหมดนี้คือรูปธรรมแห่งการปะทะในทางความคิด อาจเป็นความรู้สึกด้านเดียวและพุ่งเป้าไปยังวิชา “ประวัติศาสตร์”

แต่ในที่สุดแล้วย่อมเป็นผลึกแห่ง “การวิพากษ์”

เป็น “ปฏิกิริยา” อันดำรงอยู่ในลักษณะที่ด้านหนึ่งมีการปะทะ ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่งก็มีการสังสรรค์

เพียงแต่เป็นการสังสรรค์อย่างด้านเดียว

นั่นก็คือ อาจารย์ก็บรรยายไป นั่นก็คือ ทองปน บางระจัน ก็นั่งฟังพลางครุ่นคิดในเชิงเปรียบเทียบไปพลาง

เชื่อได้เลยว่า ทองปน บางระจัน คือ สินค้า “ตัวอย่าง” ในทาง “ความคิด”

 

ในที่สุด การเรียน

ทองปน บางระจัน

ผลที่ปรากฏออกมาก็คือ ตัวกูเองไม่มีกะจิตกะใจที่จะรับฟังใดๆ ทั้งสิ้น มีอยู่วิธีเดียวเท่านั้นที่จะกระทำแก้ขัดไปได้

ก็คือ นอนหลับเสีย

หลับมันทั้งทั้งนั่งอยู่นั่นแหละ ใครจะทำอะไรก็ทำไป ใครจะว่าอะไรก็ว่าไปเถิด กูไม่เอาเรื่องแล้ว

นับเป็นการหลับในห้องเรียนที่มีความหมายมาก

เพราะกูถึงกับนอนฝัน ฝันไปเป็นตุเป็นตะว่าบรรพบุรุษของไทยท่านหนึ่งเดินสะพายย่ามคล้องทาบมาบนบ่า

ทองปน บางระจัน จึงปรี่เข้าไปถาม