Hallyu Wave ทำเงินสะพัดมหาศาล ในไตรมาสที่ 2 ของปี

บทความพิเศษ | ศรัณยู ตรีสุคนธ์

 

Hallyu Wave

ทำเงินสะพัดมหาศาล

ในไตรมาสที่ 2 ของปี

 

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเติบโตที่เริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงเริ่มต้นของอุตสาหกรรมเคป๊อปที่เกิดในปี ค.ศ.1997 ด้วยสองวงเกิร์ลกรุ๊ปรุ่นแรกอย่าง S.E.S. และ Baby Vox

ก่อนที่เกิร์ลกรุ๊ปในรุ่นที่สองอย่าง Girls’ Generation และ Wonder Girls จะกลายมาเป็นกลุ่มศิลปินที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เคป๊อปเติบโตแบบก้าวกระโดดโดยใช้ระยะเวลาราวๆ 26 ปีเท่านั้นในการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำอุตสาหกรรมดนตรีที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงเป็นอันดับต้นๆ ของวงการดนตรีโลกไปแล้วในเวลานี้

ปรากฏการณ์ Hallyu Wave หรือกระแสความนิยมในวัฒนธรรมป๊อปเกาหลีร่วมสมัยเกิดขึ้นผ่านการวางแผนอย่างเป็นระบบทั้งจากภาครัฐและเอกชน

กล่าวคือ รัฐบาลเกาหลีใต้โดยการนำของกระทรวงวัฒนธรรม, การท่องเที่ยวและการกีฬาได้ให้การสนับสนุนทั้งบริษัทและค่ายเพลงในการสร้างศิลปินไอดอลที่นำเม็ดเงินเข้าประเทศอย่างเต็มที่

ไม่ต้องไปดูที่ไหนไกล ทุกวันนี้มีทั้งกลุ่มศิลปินไอดอลเกาหลีทั้งชายและหญิงมาแสดงคอนเสิร์ตและจัดงานแฟนมีตในไทยเป็นประจำทุกสัปดาห์ ซึ่งก่อให้เกิดเม็ดเงินที่สะพัดเข้าประเทศจนทำให้เศรษฐกิจเกาหลีใต้เติบโตขึ้นอย่างมาก

ยังไม่นับรวมถึงรายรับจากการทำงานของศิลปินไอดอลเกาหลีหลายวงและหลายคนที่ไปทำงานในต่างแดนซึ่งการใช้จ่ายด้วยเม็ดเงินจำนวนมากของเหล่าแฟนคลับช่วยกระตุ้น GDP ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในอีกหลายประเทศ

ซึ่งแน่นอนว่าทำเงินเป็นจำนวนมหาศาล

วง BLACKPINK ภาพโปรโมทเวิลด์ทัวร์

มีการวัดสถิติอย่างเป็นทางการว่าในระหว่างปี 2014 ถึง 2023 ว่ามูลค่าทางการตลาดของวง BTS ได้สร้างเม็ดเงินเข้ากระทรวงการคลังของเกาหลีใต้ได้ถึง 21.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ส่งผลให้ BTS เป็นกลุ่มศิลปินไอดอลเกาหลีที่ใช้งานเพลงและภาพลักษณ์ของวงในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศเกาหลีใต้ได้สูงที่สุดเข้าขั้นตลอดกาล

ในส่วนของวง BLACKPINK มีรายงานจากทางเว็บไซต์ WealthyPresene.com ว่ารายได้ที่ทางวงได้รับอยู่ที่ 24 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 842 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นรายรับจากการทัวร์คอนเสิร์ตเป็นหลัก

เว็บไซต์ Billboard เพิ่งจะรายงานผ่านทางสื่อออนไลน์ในช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี่เองว่าศิลปินจากค่ายเพลงชั้นนำของวงการเพลงเคป๊อปอย่าง HYBE, SM Entertainment, YG Entertainment และ JYP Entertainment มีรายได้จากการพาศิลปินไปแสดงคอนเสิร์ต, การจัดงานแฟนมีต, ยอดขายผลงานเพลงและสินค้าที่ระลึกรวมๆ กันแล้วเฉพาะในไตรมาสที่สองของปีนี้สูงกว่าปีที่แล้วถึง 71 เปอร์เซ็นต์

มีการวิเคราะห์ว่าในระหว่างสถานการณ์โควิด-19 ทั้งรัฐบาลเกาหลีใต้ที่นำโดยกระทรวงวัฒนธรรมการท่องเที่ยวและการกีฬา ได้ประชุมหารือกับบริษัทในวงการบันเทิงไม่ว่าจะเป็นค่ายเพลง, เอเยนซี่ดูแลงานให้กับทั้งนักแสดงนักร้องในวงการ ไปจนถึงบริษัทผลิตซีรีส์และภาพยนตร์ในการวางแผนระยะยาวเพื่อสร้างกลยุทธ์ในการโปรโมตผลงานของศิลปินเกาหลีให้ได้รับความสนใจในตลาดต่างประเทศให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยการทุ่มงบประมาณแบบไม่อั้น

และเมื่อสถานการณ์โควิด-19 สิ้นสุดลงและมีการเปิดประเทศแล้วกลยุทธ์ที่วางไว้ก็เดินหน้าทันที

หากนับเฉพาะ HYBE, SM Entertainment, YG Entertainment และ JYP Entertainment แล้วทางเว็บไซต์ Billboard ได้เปิดเผยว่าในวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมาว่ารายรับของทั้งสี่ค่ายตั้งแต่ต้นปี 2023 มาจนถึงตอนนี้ มีรายรับรวมๆ กันแล้วถึง 4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากกว่า 1.6 แสนล้านบาท

ด้วยรายรับที่สูงขนาดนี้ทำให้ราคาหุ้นของแต่ละบริษัทมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นภายในระยะเวลาไม่นาน

วง Together x Tomorrow

ค่ายเพลงที่ถือเป็นผู้นำในการพาศิลปินไอดอลในสังกัดไปโกยเงินจากแฟนๆ ในตลาดต่างประเทศที่เต็มใจเปย์ให้กับเหล่าไอดอลที่พวกเขารักมากอยู่แล้วก็คือ JYP Entertainment ซึ่งเป็นต้นสังกัดของศิลปินไอดอลกลุ่มระดับแถวหน้าของวงการอย่างวง Stray Kids และ Twice

โดยรายรับของค่าย JYP โตขึ้นกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วถึง 124 เปอร์เซ็นต์

ส่งผลให้มีเงินสะพัดในค่าย JYP ในไตรมาสที่สองของปีราวๆ 115.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 4 พันล้านบาท

โดยเม็ดเงินที่ทางค่ายได้รับหลักๆ มาจากยอดขายงานเพลงชุดใหม่ของวง Stray Kids, Twice และ NMixx

โดยวง NMixx ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา

เนื่องจาก NMixx เป็นวงที่ผสมผสานดนตรีอาร์แอนด์บี, ฮิปฮอป, ป๊อป ร็อก และอิเล็กทรอนิกส์ แดนซ์ ได้อย่างลงตัว ซึ่งดนตรีสไตล์นี้เป็นที่ชื่นชอบสำหรับวัยรุ่นอเมริกันเป็นอย่างมาก

ยอดขายอัลบั้มใหม่ในรูปแบบซีดีของทั้งสามวงทำเงินรวมๆ กันแล้วได้สูงถึง 56.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 2 พันล้านบาท

ในขณะที่เม็ดเงินที่ค่าย JYP ได้รับจากการนำศิลปินไปแสดงคอนเสิร์ตทั้งในและต่างประเทศสูงกว่าปีที่แล้ว 44 เปอร์เซ็นต์ และทำเงินไปได้ 10.9 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 383 ล้านบาท

ในขณะที่ยอดขายสินค้าที่ระลึกสูงกว่าปีที่แล้วถึง 151 เปอร์เซ็นต์ทำเงินไป 16.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 578 ล้านบาท

YG Entertainment มีรายรับในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2023 ที่ 120.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากกว่า 4 พันสองร้อยล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้วถึง 108 เปอร์เซ็นต์

จริงอยู่ที่ศิลปินและนักแสดงที่ทาง YG ดูแลมีอยู่ไม่น้อย แต่ก็ต้องยกคุณงามความดีให้กับวง BLACKPINK ที่รายรับจากการทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก Born Pink แค่ทัวร์เดียวก็พุ่งทะลุหลัก 200 ล้านเหรียญสหรัฐได้

และในตอนนี้กลายเป็นเวิลด์ทัวร์ของกลุ่มศิลปินหญิงที่สูงที่สุดตลอดกาลในโลกแซงหน้า Spice World Tour ของวง Spice Girls แชมป์เก่าที่ทำเงินไปทั้งสิ้น 78.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 2 พันเจ็ดร้อยล้านบาทไปแล้ว

 

ด้าน HYBE Corporation ค่ายเพลงยักษ์แห่งวงการเพลงเคป๊อปที่เป็นค่ายแม่ของต้นสังกัดย่อยให้กับวงอย่าง NewJeans, ENHYPEN, LE SSERAFIM, SEVENTEEN, Tomorrow x Together และอีกหลายวงที่ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มศิลปินไอดอลระดับแถวหน้าของวงการเพลงเคป๊อปรุ่นที่สี่ทั้งสิ้น

ถึงแม้ว่าจะไม่มีการเปิดเผยรายรับในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2023 อย่างชัดเจน แต่ก็มีรายงานว่ายอดขายอัลบั้มของศิลปินในสังกัดโตกว่าปีที่ผ่านมาราวๆ 25 เปอร์เซ็นต์ รายได้รวมสูงกว่าปีที่แล้ว 21 เปอร์เซ็นต์ แต่ด้วยการทุ่มเงินลงทุนไปกับการโปรโมทศิลปินในสังกัดที่ส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มศิลปินไอดอลดาวรุ่งรุ่นใหม่ของวงการก็เลยทำให้เมื่อหักลบเงินที่ทุ่มทุนลงไปแล้วกับเม็ดเงินที่ได้รับกลับมายังไม่ถือว่าสูงมากนัก

ในตอนนี้เวิลด์ทัวร์ของวง BLACKPINK ยังไม่จบ ศิลปินไอดอลกลุ่มอื่นๆ อย่าง NewJeans และ Together x Tomorrow ก็เพิ่งจะสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการขึ้นโชว์ในเทศกาลดนตรีระดับโลกอย่าง Lollapaloozaa ที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์, สหรัฐอเมริกา ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากแฟนๆ ในต่างประเทศเป็นอย่างดี

ส่วนศิลปินเกาหลีทั้งจากวงการเพลง, ซีรีส์และภาพยนตร์ก็ยังคงเดินสายร่วมงานเทศกาลหนัง, จัดงานแฟนมีตและแสดงคอนเสิร์ตอย่างต่อเนื่อง

เชื่อได้เลยว่าเมื่อจบปี 2023 แล้ว อุตสาหกรรมเคป๊อปจะสามารถสร้างสถิติทางด้านรายรับนำเงินเข้าประเทศได้สูงเป็นประวัติการณ์จนวงการดนตรีโลกทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปจะต้องมองเหลียวหลังอย่างอิจฉาตาร้อนอย่างแน่นอน