ความฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ | เรื่องสั้น : กิตติศักดิ์ คงคา

สําหรับบางคน ทะเลเป็นมากกว่าทะเล ผมเป็นชาวอูแลตั้งแต่กำเนิด หมู่บ้านขนาดเล็กในหมู่เกาะท่ามกลางอ้อมกอดของอันดามัน สิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตเรียบง่าย ประกอบด้วยปัจจัย 2 อย่าง ปากท้องกับทะเล และอย่างแรกพึ่งพาอย่างหลังอย่างแยกขาดจากกันไปไม่ได้ ผมจำความเหนียวหนะของลมทะเลได้ก่อนรู้ชื่อตัวเองด้วยซ้ำ ลมเหนียวหนืดที่มีกลิ่นเค็มชวนให้ความอบอุ่นและคุ้นเคยอย่างประหลาด ทั้งจากบนฝั่งและในเรือลอย ทั้งในวันที่แสงทอประกายแดดและท่ามกลางลมฝนพายุพรำ

บ้านของผมเป็นเรือนขนาดเล็กยกพื้นสูงจากผืนทรายริมหาด เหมือนกับอีกทุกบ้านในหมู่บ้านนี้ พ่อกับแม่หายไปนานแล้ว ล่องเรือออกไปไม่กลับมา วันหนึ่งชาวบ้านลากเรือมาเทียบข้างเรือนให้ในวันน้ำขึ้น ไม่อธิบายอะไรมากมาย เมื่อผมถามถึงเจ้าของเรือก็ได้คำตอบเพียงว่าไปแล้ว ตาโหนดตบบ่าผมเบาๆ และไม่พูดอะไรไปมากกว่า คนในหมู่บ้านบอกว่าแกเป็นคนกู้เรือมาได้ อาจจะจากมรสุม ความเจ็บป่วย หรือการมะงุมมะงาหราหาทางกลับไม่เจอ ผมไม่เคยได้คำตอบ แต่อูแลก็เล็กเกินกว่าจะปล่อยใครทิ้งไว้ข้างหลัง ผมได้แบ่งสันปันส่วนอาหารจากชาวบ้านทุกวัน ไม่เคยต้องอดอยากแม้สักครั้งเดียว

ตั้งแต่วันที่ตาโหนดหิ้วปลามาในวันรุ่งขึ้นที่พ่อแม่ผมจากไป แกก็ไม่เคยจากชีวิตผมไปอีก ตาโหนดกลายเป็นคนสำคัญนับแต่นั้นเป็นต้นมา ผมในวัยนั้นเด็กเกินกว่าจะเรียนรู้จากธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ด้วยตัวเองได้ เมื่อปราศจากพ่อแม่ ผมก็ไม่ต่างจากคนตาบอดที่มีกลุ่มคนขนาดใหญ่สลับกันช่วยคอยจูงมือ แต่ผมไม่ได้อยากเดินตามใครไปตลอดชีวิต ผมไม่ได้อยากแบมือขอข้าวขอปลาคนอื่นในหมู่บ้านตลอดไป

ในวันหนึ่ง ผมขอให้ตาโหนดสอนผมออกทะเล ขณะนั่งอยู่ริมหาด ปากกำลังกินปลาหมึกสดที่ตาโหนดเพิ่งตกมา อีกฝ่ายหัวเราะดังลั่น ความมืดของผืนทรายและท้องทะเลเหมือนจะกลืนทุกสิ่งหายไป เหลือเพียงผม แก และเจ้าหล่อนเพียงเท่านั้น ตาโหนดยิ้ม แกเป็นคนไม่มีครอบครัว บ้านอยู่ห่างออกไปแต่ก็ไม่มีใครรอคอยการกลับมา เช่นเดียวกับผม แกไม่ถามหาเหตุผลอะไรจากผมสักคำเดียว บอกแค่ว่าเตรียมตัวให้พร้อม

พรุ่งนี้แกจะพาผมออกทะเล

 

และตาโหนดก็ทำตามสัญญา ผมตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้รู้ว่าวันนี้จะได้รู้จักทะเลในอีกแบบ ผมนั่งมองบ้านมุงแฝกของผมที่ค่อยเล็กลงเรื่อยๆ จนหายไปจากสายตาในที่สุด เกาะที่อาศัยอยู่มาทั้งชีวิตก็หายไปกับลับเหลื่อมทะเลด้วย รอบด้านกลายเป็นความเวิ้งว้างว่างเปล่า ยิ่งห่างจากฝั่งเท่าไหร่ ทะเลก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น เรือของแกใหญ่กว่าของผมและมีหลังคา แกเล่าให้ฟังว่าหลายครั้งแกก็อาศัยกินนอนอยู่บนเรือ โดยเฉพาะช่วงที่ไม่ใช่หน้ามรสุม

จวบจนกระทั่งเหลือเพียงเรือลำเดียวที่ลอยโท้งเท้งอยู่บนผิวน้ำเรียบสนิท ผมกลัวจับใจ ผมได้ยินกิตติศัพท์มานานว่าตาโหนดเป็นคนห่ามห้าวเกินกว่าใครในหมู่บ้าน อาจจะเป็นเพราะแกเองเป็นคนไม่มีครอบครัวให้เป็นห่วงเป็นใยอะไรนัก มักจะหายหน้าหายตาไปเป็นสัปดาห์ บางทีก็เป็นเดือน ล่องหายไปกับทะเลเสียเฉยๆ กินกลางทะเล นอนกลางทะเล ผมนั่งนิ่ง ฟังเสียงตาโหนดคำราม แกว่าทะเลเป็นบ้าน ไม่ใช่แค่ห้องครัว

แล้วตาโหนดก็เริ่มสอนผมใช้ชีวิตโดยมีหล่อนอยู่เคียงข้าง ทะเลอันกว้างขวางอย่างหาที่สุดไม่ได้และไม่ถูกครอบครองโดยใคร ผมในวัยเด็กไม่เคยเข้าใจความลึกลับที่อยู่ในห้วงสมองของตาโหนดสักครั้ง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่แกสอนก็ทำให้ผมเลิกสนใจจะหาคำตอบ ตาโหนดจับมือผมตกปลาและหัดใช้ฉมวกตรงแถวเกาะร้างและโขดหินหนึ่ง นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าผมโตขึ้นไปอีกขั้น แกขำแทบบ้าตอนที่ผมลุกขึ้นเต้นดีใจจนเรือโคลงกับปลาที่ติดเบ็ดขึ้นมาตัวแรกในชีวิต

สีหน้าแกยังประจำอยู่ในความทรงจำ แกบอกให้จำความรู้สึกนี้ไว้ให้ดี ผมไม่ได้ถามว่าทำไม เพียงแต่ตอบรับไปอย่างเชื่อมั่นในตัวแกเต็มเปี่ยม ตาโหนดพูดพร้อมตบบ่าผมหนักแน่น หลังจากนั้นก็จัดการใช้มีดคมกริบบนเรือแล่เนื้อปลาสดๆ แบ่งกันกับผมกิน อาหารมื้อนั้นอร่อยที่สุด ผมรู้สึกเหมือนผมได้รู้จักทะเลในอีกด้าน ด้านไหนผมเองก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน แต่ที่แน่ใจได้อย่างหนึ่ง ผมรู้สึกสนิทสนมขึ้นกับเจ้าหล่อนมากขึ้นจนน่าใจหาย คลับคล้ายคลับคลาว่าจะได้เป็นส่วนหนึ่งซึ่งกันและกัน

ผมยกก้างขึ้นและใช้มือรูดเอาเนื้อปลาเข้าปาก รับรสชาติความหวานที่ทะเลมอบให้ ก่อนจะหันไปมองคนที่เป็นดั่งครู ผมบอกแกว่าให้แกพาผมมาออกทะเลบ่อยๆ มาช่วยเป็นลูกมือหาปลาก็ได้ ตาโหนดรับปากและไม่เคยคืนคำ

หลังจากนั้นชีวิตของผมก็เสมือนก้อนดินเหนียวที่มีแกคอยขึ้นรูป ตาโหนดสอนทุกอย่างที่ผมควรจะรู้ มากมายเกินกว่าจะนับได้ ถึงแม้ว่าหลายอย่างจะไม่ใช่สิ่งที่อูแลเห็นด้วยนักก็ตาม

 

“ตาโหนดมันบ้า” เสียงดังลั่นที่เต็มไปทั้งอารมณ์เหยียดและขบขันดังลั่นเข้ามาถึงในเรือน ผมนอนพลิกไปพลิกมาอย่างกระสับกระส่าย วันนี้ที่หมู่บ้านมีพิธีลอยเรือบวงสรวงผีและบรรพบุรุษ ชาวอูแลจะเอาไม้มาทำเรือจำลองขนาดเล็ก ใหญ่กว่าฝ่ามือเพียงไม่มาก จุดเทียนหนึ่งเล่มเล็กใต้กระโจมมุงแฝกที่ทำเป็นเหมือนเรือนเรือ ก่อนจะปล่อยให้ลอยละล่องออกไปกลางทะเล สะเดาะเคราะห์ให้กับอันตรายทั้งปวงที่รออยู่เบื้องหน้า ขอให้แคล้วคลาด หากจะมีภยันตรายก็ขอให้เป็นเพียงเทียนเล่มน้อยที่ดับมืดลง

ผมได้แต่นอนฟังเสียงหัวเราะลั่นอยู่เงียบๆ แต่ในบ้าน หลังจากลอยเรือเสร็จชาวบ้านก็พากันกินเหล้าที่ต้มกันเองต่อ พร้อมจุดไฟขึ้นสังสรรค์ ส่วนมากก็เล่าเรื่องประสบการณ์การเอาชีวิตรอดจากทะเล ผมไม่ได้ออกไปนั่งกับคนอื่นในหมู่บ้านด้วยเพราะไข้ที่กำลังขึ้นสูง ตาโหนดเอาเปลือกต้นหยีทะเลมาฝนกับน้ำไว้ให้ผมชโลมตัว และบอกว่าไม่นานก็หาย ผมจึงไม่ได้ออกไป ความจริงผมเผลอหลับไปแล้วด้วยซ้ำ หากไม่ใช่ว่าเสียงทะเลาะโวยวายมันดังมากขึ้นทุกที

“กูไม่ได้บ้า” ตอบได้ยากว่าเจ้าของเสียงกำลังตกอยู่ในฤทธิ์เหล้าหรือเปล่า แต่เชื่อได้เลยว่านั่นคือตาโหนดแน่นอน เสียงโผงผางของแกเป็นเอกลักษณ์ไม่มีใครเหมือน ผมเปลี่ยนผ้าชุบบนหน้าผากลงขยี้กับน้ำยาที่แกฝนผสมไว้ในอีกครั้ง รอยชุ่มชื้นแผ่กระจายจรดทั่วกระหม่อม ไข้ยังไม่สร่าง แต่หูของผมได้ยินเสียงทุกอย่างภายนอกราวอยู่ใกล้แค่เอื้อม เสียงกร้าวแข็งของแกสลับกับเสียงหัวเราะขรมทำเอาผมเป็นห่วงขึ้นมาจับใจ เหมือนเรือน้อยท่ามกลางความกราดเกรี้ยวของเจ้าหล่อนในวันมรสุม

“นางเงือกมีจริง” เสียงตาโหนดดังขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะเฮลั่นจนกลบเสียงของแกเสียมิด ผมอยากขยับลุกขึ้นใจจะขาด แต่พอจะขยับตัวสักหน่อย พิษไข้ก็ผลักผมให้ล้มตัวลงกลับไปบนเตียงอีกครั้ง อากาศทะเลหนาวกว่าทุกคืน ผมได้ยินเสียงเจ้าหล่อนร้องไห้ ส่วนผมกำลังเริ่มสวดภาวนา

“ท่าทางจะพี้ยาจนหลอน” เสียงลั่นจากรอบด้านดังสลับไปสลับมาเหมือนจะวิ่งวนไปเวียนมาไม่รู้จบ คำปรามาสผสมเสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากใครต่อใครกลบเสียงตาโหนดที่ผมเริ่มจะไม่ได้ยิน ทะเลกำลังร้องไห้ หล่อนกระซิบบอกผ่านลมที่มาแตะผิวผมอย่างแผ่วเบา ผมฝืนตัวลุกขึ้นในที่สุด ประคองร่างอันถูกรุมด้วยพิษโหมกระเสาะกระแสะแทบจะคลานจากบ้านไป ผมต้องไปหาแก

“ไปแล้ว” / “ไปไหน” / “เห็นบอกว่าจะออกทะเลไปพิสูจน์ว่านางเงือกมีจริง” ผมเป็นคนตั้งคำถาม แต่ก็จำไม่ได้เสียแล้วว่าใครเป็นคนตอบ รู้เพียงแค่ว่าวงเหล้าและบทสนทนานั่นไม่มีตาโหนดอยู่แล้ว เสียงใดเสียงหนึ่งเล่าว่าแกพูดโวยวาย ก่อนจะหุนหันลากเรือออกทะเลไป ปากตะโกนยึดมั่นในศรัทธาแน่แท้

“ตาโหนดมันบ้า” เสียงนั่นสำทับ คล้ายว่าทะเลหันมายิ้มเศร้าให้กับผม ในมือมีเรือลำน้อยของตาโหนดที่ขอแรงอำนวยอวยพรให้อยู่รอดปลอดภัย เจ้าหล่อนเทิดไว้แนบอก แกไปแล้ว กลางหน้ามรสุม เสียงสะอื้นลอยมาจากลมทะเลบางเบา ผมทรุดตัวลงนั่ง อนุสติลอยลับดับหายไป

 

ตาโหนดกลับมายังอูแลอีกครั้งในอีกเกือบเดือนให้หลัง ใครต่อใครต่างก็คิดว่าแกตายไปหมดแล้ว ออกทะเลกลางหน้ามรสุม บ้างก็ว่าว่าแกอับอายเกินกว่าจะอยู่ร่วมวงเหล้าก็เท่านั้น พอรุ่งเช้าก็คงกลับมา แต่แท้จริงแล้วเปล่า ตาโหนดหายไปยาวนาน ขนาดชายฉกรรจ์ที่บึกบึนที่สุดในหมู่บ้านยังไม่ออกทะเลกลางพายุร้าย แต่แกไป ไปพิสูจน์คำพูดบ้าๆ บอๆ ของแก

“นางเงือกโว้ย นางเงือก” แกตะโกนลั่นขณะที่ถ่อเรือเข้ามาใกล้ฝั่งทุกขณะ เสียงร้องเรียกซ้ำๆ ทำเอาคนในหมู่บ้านที่กำลังนอนพักจากการหาปลาตอนย่ำรุ่งโผล่หน้ากันออกมาสลอน ตาโหนดตะโกนย้ำซ้ำไปมา นางเงือกมีจริง นางเงือกมีจริง แทบจะกลายเป็นเสียงประกาศตะโกนลั่นอะไรเสียแล้ว ผมรีบวิ่งออกไปจากเรือนตั้งแต่ได้ยินเสียงแกลอยมาตามลม แม้เพียงเล็กน้อยก็จำได้ ในสำเนียงนั่นมีความรู้สึกบางอย่างซ่อนอยู่ มันเต็มตื่นไปด้วยชีวิต จิตวิญญาณ

“ตากลับมาแล้ว” ชาวบ้านมายืนออรอดูแกอยู่ที่ริมหาดอยู่หลายสิบ ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ร้องตะโกนเรียกหาและชูไม้ชูมือโบกให้แกจนตัวลอย ผมไม่เคยสนใจว่านางเงือกมีจริงหรือเปล่า ผมสนใจแค่ตาโหนดคนที่มีพระคุณต่อชีวิตผมก็เท่านั้น นางทะเลคืนแกให้ผมแล้ว ร่างกายเกรียมแดดยิ้มร่าโบกมือทักทาย ชาวบ้านพากันออกมายืนออกัน น่าจะหมดอูแล รอเรือลำเล็กมาเทียบท่า ชายสองสามคนช่วยกันไปลากเรือคร่ำคร่าให้มาเกยหาดทราย

เหมือนเป็นช่วงเวลาที่ใครต่อใครก็ตกอยู่ในความสงสัยใคร่รู้ถึงขีดสุด ชาวบ้านต่างส่งเสียงพึมพำกันในลำคอแต่ก็ไม่มากพอจะเปล่งออกมาเป็นประโยค จวบจนเรือของแกเกยหาดใกล้ในระยะเดินเข้าไปดูได้ไม่ลำบาก เหล่าชาวบ้านก็พากันกรูเข้าไปดูที่เรือลำน้อยของแก ตาโหนดตะโกนโหวกเหวกโวยวายว่าแกเจอแล้ว แกเจอนางเงือกแล้ว ครั้งนี้แกเอาหลักฐานของแกมาให้ดูด้วย แกบอกว่าเงือกนางหนึ่งนอนแน่นิ่งปราศจากชีวิตมาในเรือลำเล็กของแก

นางเงือกมีจริง! ผมพิสูจน์ด้วยตาของตัวเองแล้ว ร่างกายในเรือน้อยเป็นผู้หญิงโดยธรรมชาติด้านครึ่งบน ปทุมถันอวบอัดเบียดแน่นไม่มีอะไรปิดบัง ผิวขาวสว่างราวเปลือกหอยสีนวล ผมยาวแผ่สยายปูไปกับพื้นเรือ ครึ่งท่อนล่างเป็นหางปลายาวจรดความยาวสรรพางค์ เกล็ดเลื่อมใหญ่สีเขียวเหลือบฟ้าเรียงเป็นระเบียบ ครีบตรงปลายมีรอยหลุดลุ่ยบ้างเล็กน้อย แต่โดยภาพรวมก็ยังคงสวยงามหมดจด

ผมนิ่งตะลึงไปอย่างพูดอะไรไม่ออก แม้จะพอมีร่างเค้าโครงในใจอยู่บ้าง แต่ภาพตรงหน้ากลับสวยงามเกินกว่าจะหาภาษาไหนมาบรรยายได้ นี่คือสิ่งมีชีวิตที่สวยที่สุดในชีวิตที่ผมเคยเห็น งามยิ่งกว่าจะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบ ตำนานปรัมปรานั่นเป็นเรื่องจริง คำของตาโหนดเป็นจริง นางเงือกคือสมบัติรักของทะเล ผมรู้สึกอย่างนั้น วูบหนึ่งผมดีใจกับตาโหนดจนแทบจะกระโดดชูมือ แกพิสูจน์ตัวเองได้แล้ว

ตาโหนดไม่ได้บ้า นางเงือกมีอยู่จริง

 

“ตาโหนดมันบ้า” เสียงบ่นขรมปลุกผมให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ ผมหันไปมองรอบด้านอย่างไม่เข้าใจอะไรนัก ชาวบ้านรอบด้านทั้งชายหญิงต่างหัวเราะกันเป็นเสียงเดียวพร้อมกับชี้หน้าไปที่ชายชราเจ้าของเรือราวกับเป็นเรื่องตลก

“นี่มันพะยูนชัดๆ” ใครต่อใครที่เข้ามาเห็นจนชัดจากริมกราบเรือก็พูดออกมาเป็นเสียงเดียวกัน ผมขยี้ตาตัวเองอีกรอบก็บอกได้เลยว่าไม่ใช่ และแม้จะซ้ำอีกรอบก็ยังไม่ใช่ ภาพตรงหน้านี่มันเป็นนางเงือกชัดๆ ทำไมชาวอูแลจะไม่รู้จักพะยูน ตาโหนดเคยว่ายน้ำพาผมลงไปดูเลยด้วยซ้ำ

พะยูนที่ไหนมีหูมีตามีปากมีนมผมยาวหางเป็นเกล็ดเลื่อมงาม ผมหันไปมองคนรอบด้านอย่างไม่เข้าใจ เสียงหัวเราะดังร่วน ใครๆ ก็ปรักปรำว่าภาพอันเด่นชัดตรงหน้าเป็นแค่พะยูน

“ไร้สาระฉิบหาย” ชาวอูแลพากันส่ายหัวและทยอยกันเดินกลับไปยังตัวบ้านของตนอย่างหมดสิ้นความใส่ใจ สรรพเสียงอึงอลจากรอบด้าน แต่เหมือนหูผมจะดับไปหมด ใจผมสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว เจ้าหล่อนกำลังเศร้า ผมรู้สึกได้ ผมชะเง้อมองภาพงามในเรือนั่นอีกครั้ง มองอย่างไรก็เป็นหญิงสวยครึ่งคนครึ่งปลา เงือก นี่มันเงือกชัดๆ แต่ทำไมคนอื่นกลับมองไม่เห็น ผมไม่เข้าใจ ผมยังจำดวงตาร้าวรานของแกได้ นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมเห็นน้ำตาลูกผู้ชายของตาโหนด

“กูไม่ได้บ้า” ชายชราใช้ไม้ค้ำถ่อยันเรือที่เกยอยู่บนผืนทรายให้เป็นอิสระจากผืนดินอีกครั้ง ผมตะโกนเรียกแกกลับขึ้นฝั่ง แต่เหมือนแกจะไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว ผมตัดสินใจเงียบเสีย แกอาจจะกำลังโกรธ ให้แกได้อยู่คนเดียวสักพัก เดี๋ยวแกก็คงจะอารมณ์เย็นลง ผมคนเดียวที่ยืนมองแกอยู่บนชายหาดที่ว่างเปล่า ชายคนที่ฟูมฟักผมมาทั้งชีวิตกำลังจะไปจากอูแลอีกครั้ง

ห้วงวูบหนึ่งผมเข้าใจการตัดสินใจของชายชรา แกถ่อเอานางเงือกออกทะเล ผมคิดว่าไม่เกินวันแกก็จะหวนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ

แต่ตรงกันข้าม ตั้งแต่วันนั้นจนเวลาผ่านไปนานหลายปี ผมได้อยู่กินกับหญิงคนหนึ่งในหมู่บ้าน เรามีลูกด้วยกัน จนลูกของผมเติบโตเป็นผู้ใหญ่และมีหลานสาวตัวน้อยๆ ให้ผมฟูกฟัก ตาโหนดก็ยังไม่กลับมา

 

ผมยังจำแสงสะโหลสะเหลและอาการพร่าเลือนของเจ้าหล่อนได้เป็นอย่างดี ในยามอาทิตย์สิ้นแสงของวันหนึ่ง คลื่นลมค่อยพัดคว้างเอารอยน้ำทะเลมาซัดสาดผืนทรายละเอียดเป็นจังหวะเชื่องช้า หลานสาวตัวเล็กของผมวิ่งมาตะโกนเรียกถึงบนบ้าน ปากร้องเจื้อยแจ้วบอกว่ามีเรือประหลาดลอยเท้งอยู่ไม่ไกล ผมแบกสังขารออกไปด้วยความสงสัย ชายหาดว่างเปล่าเหมือนเคย อาจจะเป็นเพราะทุกคนต่างเข้าบ้านเข้าเรือนกันหมด ผมคว้าไม้เท้าคู่ใจ ค้ำยันทรงตัวออกไปจากบ้านอย่างเชื่องช้า

ผมเห็นเพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็จำได้ ทำไมจะจำไม่ได้ นั่นคือเรือของตาโหนด เรือที่ผมกินนอนเรียนรู้โลกมาเป็นเวลาค่อนชีวิต ทะเลคืนตาโหนดให้ผมแล้ว หรือไม่อีกแง่หนึ่ง ตาเฒ่าเองก็เป็นคนเลือกที่จะจากบ้านมาด้วยตนเอง เรือโกโรโกโสสิ้นสภาพนั่นถูกพัดลอยเข้ามาหาด้วยแรงลมเวลาย่ำเย็น ผมอดรนทนรอได้ไม่นานก็ทนความหงุดหงิดไว้ไม่ได้ กระโจนตัวลงไป จ้วงแขนอย่างเหนื่อยหอบ ออกแรงลากเรือลำน้อยขึ้นมาเกยหาด ยื้อยุดอยู่นาน แต่ก็ไม่มากกว่าชายแก่ลูกทะเลคนหนึ่งพอจะทำ

ความทรงจำทั้งหมดทั้งมวลไหลกลับมาอีกครั้ง เหตุการณ์ไม่ต่างจากวันนั้นที่ผมไม่เคยลืม เรือลำหนึ่งมาพร้อมกับเสียงสรรเสริญเชิดชูและปรามาสตัดสิน ไม่รู้ไม่เห็นว่ามาจากใครบ้าง ผม แก เจ้าหล่อน หรือชาวอูแลทั้งหมดทั้งสิ้น ร่างกายผมนิ่งสงบ ปล่อยให้สมองทบทวนห้วงเวลาประหลาดนั่นอย่างแช่มช้า ผมออกปากเรียกตาโหนด ไม่มีแล้ว ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ผมสูดลมหายใจนิ่ง ก่อนจะชะโงกตัวเข้าไปดูในเรือ และนั่นกลายเป็นความตะลึงงันอันทำให้ผมส่งเสียงไม่ออก

มันคือพะยูน! ในเรือนั่นไม่ใช่นางเงือกผมยาวสลวยและหางแต้มปลายครีบยาวอีกแล้ว แต่กลับเป็นพะยูนตามที่ใครหลายคนบอก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวอวบอูมสวยนอนแผ่พริ้มสงบอยู่บนพื้นเรือ ปูพื้นรองด้วยหญ้าทะเลแห้งกรัง ผมมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ขยี้ตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพนั้นทับซ้อนกับสิ่งที่ผมเคยเห็นในวัยเด็ก ผิวขาวนวลสะอาด ทิศทางการหันชูของปลายครีบ ผมเผ้ายาวสลวยกรอบกรัง ผมดูและดูอีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นข้อเท็จจริงใดอื่นนอกจากว่ามันคือพะยูนตามที่ใครต่อใครพูดในครั้งนั้น

“นางเงือกมีจริง” กลับเป็นเสียงหวานใสของหลานสาวของผมที่ร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น ทันทีที่เจ้าตัวน้อยพยุงตัวขึ้นชะโงกดูสิ่งในเรือได้สำเร็จ ตาทั้งสองลุกวาวอย่างมหัศจรรย์ใจ มือน้อยชี้ชวนผมดูไม่หยุด บอกเล่าอรรถาธิบายองค์ประกอบอันแสนงดงาม หญิงสาวครึ่งคนครึ่งปลา สวยดั่งภาพวาด สมบัติล้ำค่าแห่งท้องทะเล เสียงนั่นเต็มไปด้วยประกายหวัง เสียงของเด็กน้อยเปล่งปลั่งทวนซ้ำ นางเงือกมีจริง นางเงือกมีจริง ดวงหน้าระยิบระยับสดใสย้ำรอยประทับบางอย่างลงไปในใจผม

“มันคือพะยูน” ผมเผลอตวาดออกไปโดยไม่รู้ตัว เด็กหญิงตัวน้อยสะดุ้ง และนั่นก็ทำเอาผมรู้สึกผิดไปทั้งใจ แต่ความจริงก็คือความจริง พะยูนไม่อาจแปลงกายเป็นนางเงือกได้ หลานสาวที่กำลังตื่นเต้นมองหน้าผมอย่างหวาดกลัว ก่อนจะเบะปากร้องไห้ ไถลตัว และวิ่งหนีกลับไปที่บ้านพร้อมเสียงสะอึกสะอื้นไปตลอดทาง ผมตั้งท่าจะตะโกนเรียก แต่ก็ได้แต่ปล่อยให้ความว่างเปล่าครอบงำอยู่อย่างนั้น ผมส่ายหัวอย่างหงุดหงิด แต่ความจริงก็คือความจริง

ผมหันไปถีบเรือโสโครกให้ลอยหลุดออกไปสู่ท้องทะเลอีกครั้ง ก่อนจะออกแรงวิ่งตามหลานสาวไปหมายมั่นจะปลอบประโลม หากแต่เด็กสาวก็อยู่ไกลตัวผมไปเรื่อยๆ วิ่งเท่าไหร่ก็ไปไม่ถึง ราวกับระยะห่างจากแผ่นหลังกระเพื่อมตรงหน้ายาวยืดไปไกลจนอนันต์ ผมไม่ได้หันไปดูภาพเบื้องหลังนั่นอีกตลอดชีวิต ทิ้งเรื่องราวทุกอย่างไว้ข้างหลัง ขออุทิศให้ตาโหนดกลับไปบ้านอีกครั้งอย่างไม่ต้องกลับมา ถ้าผมเลือกได้ ผมคงเลือกที่จะไม่พบเจ้าหล่อนในวันนี้…

“ตาโหนดมันบ้า แกเป็นบ้าจริงๆ” •