เผยแพร่ |
---|
พลันที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะเลขาธิการ กปปส.ทำหนังสือเรียกร้องให้แก้ไขพรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง
ไม่เพียงแต่ “คสช.”มาถึง “จุดตัด” อย่างแหลมคม
ยิ่งเมื่อ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ในฐานะประธานเครือข่ายประ ชาชนเพื่อการปฏิรูป เคลื่อนไหวโดยมีเป้าหมายอย่างเดียวกัน
ยิ่งทำให้เห็น “ปัญหา” ที่ดำรงอยู่ใน “คสช.”
อย่างน้อยความฝันที่จะสามารถตั้ง “พรรคการเมือง”เพื่อสนองตอบต่อการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจาก”คนนอก”ก็มิได้ง่าย ดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
หากไม่มีการลากดึง พรรคใหญ่ พรรคเก่า ให้ลงมายืนหน้ากระดานเรียงหนึ่งคู่กับ พรรคเล็ก พรรคใหม่
ตรงนี้ได้กลายเป็น”จุดตัด”อย่างสำคัญต่อ”ประชาธิปัตย์”
การกระทำในลักษณะ “สมคบคิด” ระหว่างสิ่งที่เรียกว่า”กปปส.”กับ “ทหาร” อาจมิใช่เรื่องใหม่
หลายคนรู้สึกตั้งแต่ก่อนเดือนพฤษภาคม 2557 มาแล้ว
บทบาทของ “กปปส.” ในความเป็นจริง คือ การปูทางและสร้างเงื่อนไขให้กับ “รัฐประหาร”
เรื่องนี้”พรรคประชาธิปัตย์”รู้ดีอย่างที่สุด
บทบาทของ”พรรคประชาธิปัตย์”จึงมีความโน้มเอียงไปอย่าง ใกล้เคียงกับบทบาทของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อย่างที่รู้กันอยู่เป็นอย่างดี
โดยหวังว่าพรรคประชาธิปัตย์จะได้”อานิสงส์”จากการยึดอำนาจเหมือนกับที่เคยได้หลังเดือนกันยายน 2549
แต่การแสดงออกล่าสุดของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ใช่
ผลจากการแก้ไขพรป.ว่าด้วยพรรคการเมืองสะเทือนต่อสถา นะของพรรคประชาธิปัตย์โดยตรง
นับแต่เดือนธันวาคม 2560 เป็นต้นไป การเมืองได้เดินมาถึงจุดตัด จุดหักเลี้ยวอย่างสำคัญอีกครั้ง
ไม่เพียงแต่ต่อการดำรงอยู่ของ “คสช.”
หากที่สำคัญอย่างยิ่งยังมีความหมายต่อการดำรงอยู่ของพรรคการเมืองและโดยเฉพาะ”พรรคประชาธิปัตย์” อย่างสำคัญและแหลมคมยิ่ง
โดยไม่เพียงแต่ “คสช.”จะเป็นฝ่ายกำหนด หาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้เข้าไปมีบทบาทด้วยอย่างเอาการเอางาน
นี่ย่อมเป็นทางเลือกใหม่สำหรับพรรคประชาธิปัตย์