Oppenheimer | วัชระ แวววุฒินันท์

วัชระ แวววุฒินันท์

เป็นภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของผู้กำกับฯ Christopher Nolan ที่ลงโรงฉายอยู่ในขณะนี้ ที่มีความยาวถึง 3 ชั่วโมงด้วยเนื้อหาหนักหน่วงอัดแน่น แต่ถึงกระนั้นก็มีผู้ชมให้ความสนใจชมไม่น้อย นับว่าเป็นเรื่องดีที่หนังแนวซีเรียสด้วยสาระจากเรื่องจริงทำนองนี้ ยังเรียกผู้ชมให้เข้าโรงได้ แม้จะต้องชนกับหนังแมสอย่าง Barbie ก็ตาม

Oppenheimer เป็นชื่อของบุคคลจริง มีชื่อเต็มๆ ว่า จูเลียส โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ มีชีวิตและสร้างผลงานอันเอกอุในช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2

เขาเกิดในปี ค.ศ.1904 และจบชีวิตลงในปี 1967 ด้วยวัย 63 ปี เป็น 63 ปีของคนที่เกิดมาแล้วได้สร้างสิ่งที่เป็นทั้ง “เทพและอสูร” ขึ้นมาให้กับโลกใบนี้ ซึ่งความรู้สึกในช่วง 20 ปีหลังของเขานั้นต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดที่ไม่มีวันลบเลือนไปจากใจได้จนถึงวันสิ้นลม

ทำไมออปเพนไฮเมอร์ถึงได้รู้สึกอย่างนั้น ในหนังได้บอกเล่าเอาไว้อย่างชัดเจน และได้กระแทกเข้าไปในความรู้สึกของผู้ชมผ่านการแสดงที่เยี่ยมยอดของ “คิลเลียน เมอร์ฟี่” ที่รับบทเป็นออปเพนไฮเมอร์ จนน่าจะมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลทางการแสดงในเวทีต่างๆ แน่นอน

ออปเพนไฮเมอร์เป็นคนยิวเชื้อสายเยอรมัน ด้วยความเป็นคนตัวเล็ก ผอมบาง และเป็นยิว จึงถูกเพื่อนๆ รังแกและกลั่นแกล้งบ่อยๆ เขาจึงหันมามุ่งที่การเรียนและสนใจหนังสือวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก และด้วยความเป็นอัจฉริยะทำให้เขาปราดเปรื่องกับวิชาที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ จนได้เลื่อนชั้นการเรียนอย่างรวดเร็ว

ภายหลังครอบครัวได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เขาเรียนจบฮาร์วาร์ดในภาควิชาเคมี และต่อปริญญาโทที่เคมบริดจ์ จนถึงปริญญาเอกเป็นด๊อกเตอร์ด้านฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยในเยอรมนี ด้วยวัยเพียง 23 ปีเท่านั้น

เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับเรื่องของอนุภาคและทฤษฎีควอนตัม รวมทั้งปรากฏการณ์ในจักรวาล ด้วยความที่อยู่ร่วมรุ่นกับอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เขาจึงได้นำทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษที่ไอน์สไตน์ค้นพบมาพัฒนาต่อร่วมกับนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ

จนค้นพบ “อาวุธใหม่” ของโลก

เหตุผลที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์อย่างเขาต้องเร่งให้ไปถึงซึ่งการพัฒนาองค์ความรู้ให้เป็นอาวุธ ก็เพราะเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กำลังคุกรุ่น ด้วยมีกระแสข่าวทางการทหารว่ากองทัพนาซีกำลังเร่งค้นคว้าและสร้างอาวุธทำลายล้างเพื่อนำไปสู่ชัยชนะในสงครามให้ได้ มีหรือที่อเมริกาจะยอม

นายพลเลสลี โกรฟส์ ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการพัฒนาอาวุธใหม่เพื่อเอาชนะนาซีให้ได้ ได้มาพบกับออปเพนไฮเมอร์ และเชิญชวนแกมบังคับให้เขารับงานอันท้าทายนี้ภายใต้ชื่อว่า “แมนฮัตตัน โปรเจ็กต์”

นักวิทยาศาสตร์อย่างเขาเห็นหนทางที่จะพิสูจน์ทฤษฎีที่เขาดำเนินการอยู่ให้เป็นรูปธรรม ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดไปถึงขนาดที่ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่ หรือมันจะกลายเป็นอาวุธที่ทำลายโลกในเวลาต่อมา

การดำเนินการนี้เป็นความลับขั้นสุดยอด นอกจากจะแข่งขันกับนาซีที่ล้ำหน้าไปก่อนแล้ว ยังต้องแข่งกับมหาอำนาจใหญ่อย่างรัสเซียอีกด้วย ที่มักจะส่งสายลับมาล้วงข้อมูลทางฝั่งอเมริกาอยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน จึงมีการตั้งฐานบัญชาการที่อยู่ห่างไกลจากการรับรู้ของผู้คน ซึ่งก็คือ “ลอส อลามอส” ที่อยู่ทางตอนเหนือของรัฐนิวเม็กซิโก ช่างก่อสร้างต่างๆ ถูกระดมมาสร้างเมืองใหม่แห่งนี้ ที่มีทั้งสำนักงาน บ้านพัก โรงเรียน และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ

โดยช่างเหล่านั้นไม่ล่วงรู้เลยว่าพวกเขากำลังสร้างอะไรอยู่

นักวิทยาศาสตร์ด้านต่างๆ ที่ออปเพนไฮเมอร์ไว้ใจและเชื่อมือถูกเชิญให้มาร่วมงานครั้งนี้อย่างลับๆ หากใครมาร่วมเท่ากับว่าต้องหายตัวไปจากโลกภายนอกเป็นเวลาสองปี จึงได้อนุญาตให้นำครอบครัวมาอยู่ด้วยได้ แต่ทุกอย่างต้องเป็นความลับสุดยอด

หนังได้เล่าเรื่องของออปเพนไฮเมอร์ ว่ามีส่วนสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์ โดยความสนใจด้านสังคมนิยมของเขาเอง รวมทั้งน้องชายที่ได้ร่วมเป็นสมาชิกพรรค และหญิงคนรักที่เป็นคอมมิวนิสต์เต็มตัว

ซึ่งในเวลาต่อมาได้กลายมาเป็น “จุดอ่อน” ของเขาที่คนที่ต้องการทำลายเขาใช้มาเป็นเครื่องมือ

แมนฮัตตัน โปรเจ็กต์ ได้ก้าวหน้าเป็นระยะอย่างแข่งกับเวลา การต่อสู้ในสงครามโลกก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้ต่อมากองทัพเยอรมันจะถูกโจมตีอย่างหนักจนสุดท้ายต้องประกาศยอมแพ้ แต่พันธมิตรคือกองทัพเลือดบูชิโดอย่างญี่ปุ่นยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ การโจมตีที่เพิร์ลฮาเบอร์สร้างความกดดันให้กับประธานาธิบดีทรูแมนของสหรัฐอย่างมาก และการเดิมพันกับอาวุธชิ้นใหม่ในมือของออปเพนไฮเมอร์ก็ยิ่งมีมูลค่าสูงขึ้น

หากทุกอย่างล้มเหลวนั่นหมายถึงงบประมาณกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ในสมัยนั้นต้องหายวับไปกับตา

และก็มาถึงวันแห่งประวัติศาสตร์ คือ วันที่ 16 กรกฎาคม 1945 ซึ่งเป็นวันที่ออปเพนไฮเมอร์และทีมงานจะทำการทดสอบอาวุธใหม่ที่ถูกประกอบร่างไว้เรียบร้อยแล้ว ในหนังได้สร้างบรรยากาศให้กับผู้ชมเหมือนผู้ชมเป็นหนึ่งในทีมงานสำคัญนี้ ที่ต้องลุ้นอย่างใจจรดใจจ่อว่าผลจะออกมาอย่างไร ทั้งๆ ก็รู้อยู่แล้วว่ามันสำเร็จ แต่ด้วยองค์ประกอบของภาพยนตร์ทั้งหลายในฝีมือการกับของโนแลน ก็สามารถทำให้เราลุ้นระทึกไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ต้องยกนิ้วให้งานดนตรีและเสียงประกอบที่ช่วยเสริมสร้างอารมณ์ในช่วงนี้อย่างได้ผลชะงัด

ดนตรีที่โหมกระหน่ำไปกับวินาทีที่นับถอยหลังสู่การกดระเบิดปรมาณูนี้ได้หยุดฉับพลันเมื่อถึงวินาทีที่ศูนย์ และภาพในจอก็ทำหน้าที่แทนในความเงียบงัน เป็นภาพของลูกไฟขนาดมหึมาที่พุ่งขึ้นบนท้องฟ้า ม้วนตัวขึ้นเป็นหลายชั้น พร้อมแสงที่สว่างวาบดุจอาบด้วยแสงขาวตามมา ก่อนจะมีเสียงของระเบิดดังขึ้นพร้อมดนตรีประกอบที่ตามมาอีกครั้ง

ในสายตาของออปเพนไฮเมอร์ที่ปรากฏออกมาในจอ มันทับซ้อนระหว่างความตื่นเต้นดีใจที่งานที่ทุ่มเทมาประสบผลสำเร็จเกินคาด แรงระเบิดนั้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เยอะ แต่มันก็แฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิดว่าเขาได้สร้างปีศาจที่มีอำนาจทำลายล้างอย่างมหันต์ขึ้นมาในโลกใบนี้แล้ว

และเขาก็ตระหนักว่าปีศาจร้ายตนนี้ได้พ้นจากมือเขาไปแล้ว โดยที่เขาไม่มีอำนาจควบคุมใดๆ วันที่ระเบิดปรมาณูสองลูกชื่อ “ลิตเติลบอย” และ “แฟตแมน” ถูกลำเลียงออกจากฐานที่ลอส อลามอส เพื่อไปยังฐานทัพสหรัฐ เขาได้แต่ยืนมองอย่างเสียใจและสับสนว่าเขาได้สร้างอะไรขึ้นมากันแน่

เขาหวังว่ากองทัพจะใช้ในการขู่กองทัพญี่ปุ่นให้กลัวและยอมแพ้เท่านั้น แต่กลับไม่ใช่ ระเบิดทั้งสองได้ถูกนำไปใช้งานจริงโดยปล่อยจากท้องฟ้าสู่เมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ ในวันที่ 6 และ 9 สิงหาคม 1945 ตามลำดับ

ผลก็คือมีคนตายและบาดเจ็บร่วม 2 แสนคน และมีคนที่เจ็บป่วยและเสียชีวิตตามมาจากผลพวงของรังสีนั้นอีกจำนวนไม่น้อย

วันที่ระเบิดลูกแรกทำงาน ที่อาคารขนาดใหญ่ของลอส อลามอส ได้มีเจ้าหน้าที่ทุกส่วนมารวมตัวกันเพื่อแสดงความยินดีกับผลงานของออปเพนไฮเมอร์

เขาปรากฏตัวขึ้นบนเวทีอย่างจำใจ และจำต้องกล่าวอะไรในโอกาสนี้สักหน่อย ทั้งที่ความรู้สึกจริงๆ ของเขามันแล่นจุกขึ้นมาที่คอหอย และความร้าวรานทั้งหมดก็ถูกส่งผ่านมาทางดวงตาของเขา

เป็นฉากที่สมควรได้รับรางวัลทางการแสดงอย่างมาก

หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบลง ออปเพนไฮเมอร์ได้รับชื่อเสียงอย่างมาก เขาได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งระเบิดปรมาณู” ได้ลงหน้าปกนิตยสารไทม์ และได้รับตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณูแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา

ที่บอกไปก่อนหน้าว่าเขามี “จุดอ่อน” เรื่องคอมมิวนิสต์ และผู้ที่ใช้จุดอ่อนนี้เพื่อทำลายเขาก็คือ “เลวิส สเตราส์ส” ผู้อำนวยการสถาบันพลังงานปรมาณู ที่เป็นผู้ชักชวนให้เขาได้ก้าวสู่สถาบันการศึกษาที่รวมตัวนักวิทยาศาสตร์เก่งๆ ไว้ด้วยกัน เพราะเขาต้องการได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างและให้โอกาสคนเก่งๆ ขึ้นมาในประเทศนี้ และต้องการตำแหน่งสูงๆ ในทางการเมืองของสหรัฐ

ที่นี่เราจะได้เห็นไอน์สไตน์ปรากฏตัวขึ้นด้วยในวันแรกที่ออปเพนไฮเมอร์ก้าวเข้าสู่สถาบันนี้ ฉากที่เขาเดินไปหาไอน์สไตน์ที่ริมบึงน้ำ โดยมีสเตราส์สจับตาดูอยู่ผ่านหน้าต่างในตัวอาคาร บ่งบอกว่าทั้งคู่ได้พูดคุยอะไรบางอย่างกัน

เมื่อสเตราส์สเดินไปหา การสนทนาได้สิ้นสุดลงแล้ว และเขาก็สังเกตว่าไอน์สไตน์ได้เดินผ่านเขาไปโดยเมินใส่เขาอย่างเห็นได้ชัด

สเตราส์สได้ถามออปเพนไฮเมอร์ ว่าคุยอะไรกัน แต่เขาก็ไม่ได้ตอบ

ซึ่งในตอนจบของหนังได้เฉลยออกมาว่าอะไรคือบทสนทนาระหว่างคนสองคน

โอกาสสำคัญของออปเพนไฮเมอร์ที่รัฐบาลสหรัฐหยิบยื่นให้ในแมนฮัตตัน โปรเจ็กต์นี้สร้างความอิจฉาและไม่พอใจให้กับสเตราส์สอย่างมาก เพราะเขาไม่ได้รับการขอบคุณใดๆ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้

กระบวนการสร้างแผลให้กับออปเพนไฮเมอร์จึงเกิดขึ้นจากความเจ้าเล่ห์เพทุบายของสเตราส์ส เขาถูกตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจสอบสวนถึงความสัมพันธ์ต่อพรรคคอมมิวนิสต์ โดยมีธงว่าเขาต้องถูกตัดสินว่ามีความผิดว่าเป็นสายลับให้กับประเทศรัสเซีย

ซึ่งสอดคล้องกับการแสดงออกและการต่อสู้ของออปเพนไฮเมอร์เพื่อป้องกันมหันตภัยร้ายที่จะตามมาบนโลกใบนี้หลังจบสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว โดยการเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ มีการควบคุมการใช้อาวุธและพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งขัดต่อการพยายามสะสมอาวุธทำลายล้างของกองทัพสหรัฐ โดยเฉพาะการต่อสู้กับมหาอำนาจอย่างรัสเซียที่ขยายแสนยานุภาพขึ้นทุกขณะ

เหตุการณ์นี้ทำลายชีวิตของออปเพนไฮเมอร์อย่างสิ้นเชิง จากวีรบุรุษกลายเป็นบุคคลต้องห้าม จากเสียงชื่นชมเป็นเสียงโห่ เขาปลีกวิเวกไปใช้ชีวิตเงียบๆ อยู่กับครอบครัว

และสุดท้ายก็จบชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งอันเป็นผลจากการสูบบุหรี่จัดมาทั้งชีวิต

กลับมาที่บทสนทนาของคนสองคน คือ ไอน์สไตน์และออปเพนไฮเมอร์ ที่ริมบึงครั้งนั้น

ไอน์สไตน์ได้กล่าวขอบคุณที่ครั้งหนึ่งออปเพนไฮเมอร์และสถาบันทางวิชาการของเขาได้เคยจัดงานให้เกียรติกับเขา

ไอน์สไตน์ได้บอกว่าจริงๆ แล้วนั่นเป็นการจัดงานเพื่อตัวเองมากกว่า และเตือนออปเพนไฮเมอร์ว่า วันหนึ่งจะมีคนยกยอให้คุณค่าคุณต่างๆ นานา ให้รู้ไว้เถิดว่าเขาทำเพื่อตัวเขาเอง เพราะคุณมีประโยชน์กับเขา และต่อมาคุณก็จะถูกลืมและไม่เห็นคุณค่าใดๆ เลย

เราทราบกันว่า สิ่งที่ไอน์สไตน์ได้ค้นพบนั้นคือความลับของจักรวาลอันไกลโพ้น รวมทั้งจากทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษซึ่งกลายมาเป็นต้นทางของการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ที่มีอำนาจทำลายล้างอันน่ากลัวในเวลาต่อมา

แต่สิ่งที่ไอน์สไตน์ได้ค้นพบอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความลึกลับซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ ที่ดำมืดและน่ากลัวกว่าปริศนาใดๆ ในจักรวาล ระเบิดปรมาณูอาจมีอำนาจทำลายล้างสูงส่งเพียงใด จิตใจที่โลภ ที่ไม่เคยพอต่อกิเลสอันเย้ายวนของมนุษย์ก็มีอำนาจทำลายล้างได้ไม่แพ้กัน

ออปเพนไฮเมอร์ได้บอกกับไอน์สไตน์ว่าเราได้สร้างอสูรร้ายขึ้นมาแล้ว

และออปเพนไฮเมอร์เองก็โดนการทำลายล้างนั้นกลับคืน ทั้งจากความรู้สึกผิดตลอดชีวิตของเขา และจากจิตใจมนุษย์ที่กระทำต่อเขาในเวลาต่อมา

เป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องที่สิบของโนแลน ที่สมควรแห่งการชื่นชมจริงๆ •

เครื่องเคียงข้างจอ