สิ้นยุคพรรคทหาร? ปลายทางที่ไร้อำนาจ | สุรชาติ บำรุงสุข

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

“ความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนรัฐบาลหรือผู้นำ โดยไม่จำเป็นต้องมีวิกฤตความชอบธรรมคือความเหนือกว่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของระบอบประชาธิปไตย ที่มีต่อการปกครองของเผด็จการ”

Alfred Stepan
Arguing Comparative Politics (2001)

 

หนึ่งในประเด็นสำคัญของการเมืองไทยปัจจุบันที่เป็นผลสืบเนื่องจากการรัฐประหาร 2557 ก็คือ “พรรคทหาร” หรือที่เรียกในทางทฤษฎีว่า “พรรคของระบอบทหาร” ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับต่อการเลือกตั้งในปี 2562 คือ “พรรคพลังประชารัฐ” และสร้างเพิ่มสำหรับการเลือกตั้งในปี 2566 คือ “พรรครวมไทยสร้างชาติ”

ถ้าเช่นนั้นแล้ว สองพรรคนี้จะมีอนาคตอย่างไร เมื่อพรรคดังกล่าวไม่สามารถเป็นผู้กำชัยชนะในการแข่งขันทางการเมืองครั้งนี้…

พรรคทั้งสองนี้ไม่ติดอันดับ 1 ใน 3 เลย จึงไม่ง่ายนักที่จะมีบทบาทในการเป็น “แกนนำ” ในการจัดตั้งรัฐบาลเช่นในปี 2562

ในสภาวะเช่นนี้ จึงน่าสนใจอย่างมากในบริบทของ “ความเป็นพรรคการเมือง” นั้น พรรคที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อการสืบทอดอำนาจของผู้นำรัฐประหารใน “การเมืองระบบเปิด” จะดำรงอยู่ต่อไปอย่างไรในการเมือง

โดยเฉพาะหากพรรคไม่สามารถนำพาอดีตผู้นำรัฐประหารให้สามารถกลับเข้าสู่เส้นทางแห่งอำนาจได้แล้ว สถานะของพรรคทหารจะเป็นเช่นไร และการดำรงอยู่จะมีประโยชน์อันใด

 

จุดเริ่มต้น และภารกิจ!

ว่าที่จริงแล้วพรรคทหารในการเมืองไทยล้วนมีจุดกำเนิดที่ไม่แตกต่างกัน และบางทีก็มีจุดจบที่ไม่แตกต่างกันด้วย จนบางครั้งอดคิดไม่ได้ว่า ชะตากรรมของพรรคทหารนั้น มักจะเป็น “ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเสมอ”!

หากเราย้อนกลับไปสู่ประวัติศาสตร์ของพรรคทหารจากอดีตของการเมืองไทยแล้ว คงจะต้องยอมรับว่า พรรคทหารคือผลสืบเนื่องหลังจากความสำเร็จของการยึดอำนาจของผู้นำทหาร และหลังจากอยู่ในอำนาจด้วยการรัฐประหารมาระยะหนึ่งแล้ว ก็แทบจะกลายเป็น “สูตรสำเร็จ” ที่คาดเดาได้ไม่ยากเลยว่า คณะรัฐประหารจะต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ พร้อมกับเปิดการเลือกตั้ง

เนื่องจากจากระบอบรัฐประหารไม่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างยาวนาน เพราะการต้องเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน

การดำเนินการเช่นนี้ทำให้คณะทหารต้องจัดตั้งพรรคของตนเองขึ้น เพื่อใช้เป็นเครื่องมือต่อสู้แข่งขันในทางการเมือง เพื่อวัตถุประสงค์หลักแต่เพียงประการเดียวคือ การดำรงอยู่อำนาจต่อไป พร้อมกับเปลี่ยนรูปแบบของ “ระบอบทหาร” ที่เกิดจากการรัฐประหาร ให้มีสถานะเป็น “ระบอบกึ่งทหาร” (หรืออาจเรียกในทางทฤษฎีว่า “ระบอบกึ่งอำนาจนิยม” หรือ “ระบอบไฮบริด”)

ระบอบนี้จะช่วยในการสร้างภาพลักษณ์ทางการเมืองใหม่ให้แก่ผู้นำ อันมีนัยถึงการเป็นผู้นำใหม่ที่มีความชอบธรรมภายใต้ระบอบเลือกตั้ง

สภาวะเช่นนี้จึงอธิบายในทางทฤษฎีรัฐศาสตร์ได้ว่า พรรคทหารเกิดขึ้นโดยมีภารกิจที่ชัดเจนเพื่อการสืบทอดอำนาจของผู้นำคณะรัฐประหารนั่นเอง และพร้อมกันนี้พรรคทหารทำหน้าที่ในการสร้าง “ระบอบไฮบริด” ซึ่งด้านหนึ่งทำให้คณะทหารมีความชอบธรรมมากขึ้นด้วยการใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือในการอยู่ในอำนาจต่อไป

และในอีกด้านหนึ่ง พรรคเช่นนี้สร้างภาพลักษณ์ใหม่ของการจัดตั้งรัฐบาลของผู้นำทหารในเวทีระหว่างประเทศ แม้จะรับรู้กันว่าการแข่งขันทางการเมืองที่เกิดขึ้นอยู่ภายใต้ “กฎกติกา” ที่คณะรัฐประหารเป็นผู้จัดทำ

ในเงื่อนไขเช่นนี้ โอกาสที่จะมีการเลือกตั้งที่ “เสรีและเป็นธรรม” ย่อมเป็นไปได้ยาก และการออกแบบเช่นนี้จะส่งผลโดยตรงให้พรรคทหารชนะการเลือกตั้งอย่างแน่นอน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า การออกแบบทางการเมือง เช่น รัฐธรรมนูญ และกติกาทางการเมืองเกิดขึ้นเพื่อให้กำเนิดระบอบไฮบริด ที่อาจจะมีความเป็นประชาธิปไตยบ้างในบางส่วน

ดังนั้น ในอีกด้านหนึ่งระบอบไฮบริดในความหมายของ “การเมืองแบบพันทาง” จึงเป็นภาพสะท้อนถึงภาวะ “ประชาธิปไตยชำรุด” (defective democracy)

กล่าวคือ เป็นการใช้ “รูปแบบ” ของความเป็นประชาธิปไตยบางส่วน มาช่วยในการสร้างภาพลักษณ์ของการอยู่ในอำนาจต่อไปของอดีตผู้นำรัฐประหาร

 

จากยุคที่ 1 ถึงยุคที่ 5

ว่าที่จริงแล้ว “พรรคทหาร” หรืออาจเรียกว่า “พรรคของระบอบเดิม” นั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ในการเมืองไทย ซึ่งเราอาจจะถือว่าจุดเริ่มต้นที่สำคัญของพรรคทหารเกิดขึ้นในยุคของจอมพล ป.พิบูลสงคราม คือ “พรรคเสรีมนังคศิลา” พรรคเกิดขึ้นเพื่อรองรับต่อความพยายามของรัฐบาลพิบูลสงครามที่จะสร้างภาพให้เห็นถึงกระบวนการประชาธิปไตยภายใต้การควบคุมของผู้นำทหารไทย

ขณะเดียวกันก็ต้องการให้เกิดภาพลักษณ์ใหม่ที่จอมพล ป. จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง และช่วยลบล้างภาพเดิมของอดีตผู้นำรัฐประหาร 2490 ได้เป็นอย่างดี

ด้วยผลของความแตกแยกของผู้นำทหารระหว่างจอมพล ป. กับจอมพลสฤษดิ์ ทำให้ผู้นำทหารอีกฝ่ายจัดตั้ง “พรรคสหภูมิ” ขึ้นเป็นคู่แข่ง โดยมีน้องชายต่างมารดาของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นเลขาธิการพรรค ส่วนพรรคทหารของรัฐบาลคือ “พรรคเสรีมนังคศิลา” มีจอมพล ป. เป็นหัวหน้าพรรค และ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เป็นเลขาธิการพรรค ซึ่งพรรคนี้มีบทบาทอย่างสำคัญในกรณี “การเลือกตั้งสกปรก” ในปี 2500

แม้พรรคจะชนะการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2500 แต่ก็เป็นการชนะที่ก่อให้เกิดปัญหาอย่างมากมาย จนกลายเป็น “วิกฤตใหญ่” ของรัฐบาล อันนำไปสู่ความขัดแย้งขั้นแตกหักกับผู้นำทหารอีกฝ่ายหนึ่ง จนทำให้จอมพลสฤษดิ์ตัดสินใจก่อการรัฐประหารในเดือนกันยายน 2500

หลังจากการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์แล้ว พรรคเสรีมนังคศิลาซึ่งเป็น “พรรคทหารยุคที่ 1” จึงค่อยๆ อ่อนแรง และสิ้นสภาพไปกับการยุติของ “ระบอบพิบูลสงคราม” พร้อมกับการลี้ภัยของท่านผู้นำ

ต่อมาจอมพลสฤษดิ์ตัดสินใจพาการเมืองไทยกลับสู่การเลือกตั้งในเดือนธันวาคม 2500 โดยใช้สูตรเดิมด้วยการจัดตั้งพรรคทหารใหม่ คือ “พรรคชาติสังคม” อันเป็น “พรรคทหารยุคที่ 2” และไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดสถานะของพรรค เพราะพรรคนี้มีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นหัวหน้า พล.ท.ถนอม กิตติขจร เป็นรองหัวหน้า (ยศในขณะนั้น) และมี พล.ท.ประภาส จารุเสถียร เป็นเลขาธิการพรรค

พรรคชาติสังคมชนะการเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาล โดยมี พล.ท.ถนอมเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็น “นอมินี” ที่ชัดเจนของจอมพลสฤษดิ์ ซึ่งในเงื่อนไขเช่นนี้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พรรคของจอมพลสฤษดิ์จะไม่ชนะเลือกตั้ง

แต่หลังจากการรัฐประหารครั้งที่ 2 ของจอมพลสฤษดิ์ในเดือนตุลาคม 2501 แล้ว ผู้นำทหารไม่มีความจำเป็นต้องใช้พรรคทหารในแบบเดิม เพราะจอมพลสฤษดิ์จัดตั้งรัฐบาลเผด็จการทหารเต็มรูป และไม่ได้พึ่งพาระบบการเลือกตั้งเช่นในช่วงหลังรัฐประหาร 2500 พรรคชาติสังคมจึงหมดบทบาทไปโดยปริยาย จนจอมพลสฤษดิ์ถึงแก่อสัญกรรมในต้นเดือนธันวาคม 2506

 

พล.อ.ถนอมก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง พร้อมกับเลื่อนชั้นยศเป็น “จอมพล”

และในที่สุด ผู้นำทหารได้ตัดสินใจเปิดให้การเมืองไทยกลับสู่การเลือกตั้งในปี 2512 สูตรเดิมของผู้นำทหารถูกนำกลับมาใช้ด้วยการจัดตั้ง “พรรคสหประชาไทย” ในฐานะ “พรรคทหารยุคที่ 3”

และไม่ใช่เรื่องที่ผู้นำทหารจะต้องปิดบังทางการเมืองถึงสถานะของพรรค ดังจะเห็นได้ว่าพรรคนี้มีจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นหัวหน้า และ พล.อ.อ.ทวี จุลละทรัพย์ เป็นเลขาธิการพรรค ซึ่งเมื่อมีประกาศผลการเลือกตั้ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พรรคสหประชาไทยชนะการเลือกตั้ง แต่การจัดตั้งรัฐบาลก็จำเป็นต้องอาศัยเสียงจาก ส.ส.อิสระ ซึ่งมีจำนวนมาก

เป็นที่รับรู้กันดีว่าพรรคสหประชาไทยเป็นที่รวมของหลาย “มุ้ง” ที่มี ส.ส.อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้นำทหารแต่ละคน และพรรคมีปัญหาภายในอย่างมาก อีกทั้งการควบคุมการเมืองในสภาก็ประสบปัญหาด้วย อันทำให้รัฐบาลกึ่งทหารของจอมพลถนอมประสบปัญหาเสถียรภาพอย่างมาก

จนสุดท้ายแล้วจอมพลถนอมตัดสินใจในสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน คือการยึดอำนาจรัฐบาลตัวเองในเดือนพฤศจิกายน 2514

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการหวนกลับสู่การจัดตั้งรัฐบาลทหาร คือหนึ่งในจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การประท้วงใหญ่ของนิสิตนักศึกษาประชาชนในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 อันไปสู่การสิ้นสุดของรัฐบาลทหาร และตามมาด้วยการลี้ภัยของผู้นำทหาร

ผลสืบเนื่องอย่างชัดเจนคือ การสิ้นสุดของพรรคสหประชาไทย… พรรคทหารจบลงอีกครั้ง

 

หลังรัฐประหารตุลาคม 2520 และตามมาด้วยการเลือกตั้งในเดือนเมษายน 2522 นั้น ผู้นำทหาร เช่น พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ได้ใช้สูตรเก่าของการตั้งพรรคทหาร แต่พยายามเล่นการเมืองด้วยการเป็นผู้ควบคุมสภา และใช้พรรคการเมืองที่มีอยู่แต่เดิมเป็นฐาน

หลังรัฐประหารกุมภาพันธ์ 2534 และมีการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2535 สูตรเก่าถูกนำมาใช้อีกครั้งด้วยการจัดตั้ง “พรรคสามัคคีธรรม” โดยมีนักการเมืองที่สนิทกับผู้นำรัฐประหารเข้ามารับบทบาทเป็นผู้ก่อตั้งพรรค แต่เมื่อเกิดการประท้วงใหญ่ต่อต้านรัฐบาลจากนิสิตนักศึกษาประชาชน จนกลายเป็นการนองเลือดอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม 2535 อันนำไปสู่การสิ้นสุดของรัฐบาลของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร แล้วพรรคสามัคคีธรรมก็จบชีวิตลงด้วย

อันเป็นการจบของ “พรรคทหารยุคที่ 4” ซึ่งในขณะนั้น พรรคทหารถูกเปรียบว่าเป็น “พรรคมาร”

หลังรัฐประหารพฤษภาคม 2557 และตามมาด้วยการออกแบบรัฐธรรมนูญเพื่อเตรียมการสืบทอดอำนาจด้วยการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2562 ซึ่งไม่ผิดคาดที่สูตรของการจัดตั้งพรรคทหารหวนกลับมาอีกครั้ง ได้แก่ การจัดตั้ง “พรรคพลังประชารัฐ” อันเป็นการมาของ “พรรคทหารยุคที่ 5” ซึ่งก็เผชิญกับความท้าทายอย่างมากไม่ต่างจากอดีต

เช่น การควบคุม ส.ส.ในพรรค และการควบคุมการเมืองในสภา ตลอดรวมถึงการแข่งขันเชิงอำนาจของผู้นำทหารที่มีฐานะเป็น “กลุ่มก๊วน” ต่างๆ ในพรรครัฐบาล

 

ความท้าทาย

หากย้อนจากอดีตของพรรคทหารยุคที่ 1 จนถึงยุคที่ 5 จะเห็นได้ว่าพรรคทหารเป็น “องค์กรเฉพาะกิจ” ที่ผูกโยงอยู่กับตัวของผู้นำทหาร ไม่ใช่ผูกกับสถาบันกองทัพในแบบของพรรคทหารในอินโดนีเซีย หรือพรรคทหารในเมียนมา แต่พรรคทหารของไทยเป็นแบบยึดโยงกับตัวบุคคล และเกิดขึ้นเพื่อการสืบทอดอำนาจของผู้นำรัฐประหาร จึงมักไม่ได้มีอายุยืนนาน และไม่ได้ถูกเพื่อการแข่งขันทางการเมืองในระยะยาว

ดังนั้น การสิ้นสุดของพรรคทหารจึงผูกติดอยู่กับการสิ้นอำนาจของผู้นำทหารโดยตรง…

เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้นำทหารที่ตั้งพรรคหมดอำนาจทางการเมืองลง พรรคทหารก็มักจะสลายตัวตามไปด้วย การดำรงอยู่ของพรรคทหารในยุคที่ 5 จึงเป็นประเด็นที่น่าติดตาม และมีคำถามอย่างมีนัยสำคัญว่า พรรคทหารจะสามารถปรับตัวให้อยู่รอดต่อไปได้หรือไม่!