คอฟฟี่เบรก ประภาส อิ่มอารมณ์ / …ฌอน บูรณะหิรัญ…

คอฟฟี่เบรก/ประภาส อิ่มอารมณ์

…ฌอน บูรณะหิรัญ…

นักพูดชีวิตคิดบวก…สร้างแรงบันดาลใจให้คนนับล้าน

ผมมีอาการเจ็บป่วย ข้อเท้าบวม ปวดและเคลื่อนไหวเดินสองเท้าเหมือนปกติไม่ได้…คลานเหมือนหมาก็ไม่ได้ ต้องใช้วิธีนั่งถัดเอา… โคตรทรมานเลย

ไปหาหมอเช็กยูริกในสายเลือดก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่สามารถชี้ชัดว่ากำลังจะได้ยศเป็น “ท่านเกาต์” เต็มตัว ก็ลองให้ยารักษาโรคนั้นกินไปพลางๆ ก่อน

แต่ในความโชคร้ายนั้น มันก็ยังมีความโชคดีเข้ามาทดแทน เพราะผมต้องนอนจมบนโซฟาดูทีวีและหาคลิปในยูทูบให้มันเพลินๆ จนพลอยลืมความเจ็บป่วยไป…

และก็พบทีเด็ดถูกใจเข้าจนได้

เมื่อได้ดูรายการเจาะใจย้อนหลัง เรื่องของเด็กหนุ่มหน้าตาซื่อใสสะอาด ชื่อ ฌอน บูรณะหิรัญ ที่มาจากครอบครัวที่ยากจนในย่านสลัมแถววังบูรพา และได้คุณลุงที่ไปบุกเบิกสู้ชีวิตในสหรัฐอเมริกา จนเป็นคนไทยคนแรกที่เป็นตำรวจของที่นั่น จึงได้นำรายได้ส่งเสียให้น้องๆ ได้ตามมาใช้ชีวิตที่อเมริกาเหมือนเขา

และเมื่อแม่ได้พบพ่อที่ใช้ชีวิตคล้ายๆ กัน จึงให้กำเนิดฌอนที่อเมริกาโน้น

เขาเติบโตที่แคลิฟอร์เนียอยู่ในย่านที่มีแต่ชาวเม็กซิกัน แอฟริกัน เมื่อไปโรงเรียนจึงเป็นเด็กเอเชียคนเดียว จึงถูกล้อเลียนและรังแกจากเด็กที่มีเชื้อชาติเหล่านั้น ทำให้ฌอนไม่อยากไปโรงเรียน เพราะต้องมีการทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำ เลยผลักดันให้เขาไปเรียนมวยไทย และปราบพวกนั้นจนไม่กล้ามาข่มเหงได้อีกต่อไป

ทำให้เขาคิดว่าการใช้ความรุนแรงเป็นการแก้ปัญหาได้ และมีเรื่องมีราวจนถึงถูกตำรวจจับส่งไปเข้าคุก ต้องใส่ชุดนักโทษสีส้ม สวมกุญแจมือและตีตรวน

สุดท้ายถูกส่งเข้าสถานคุมประพฤติ และทำโทษด้วยการให้ทำงานบำเพ็ญประโยชน์ให้สังคมเป็นเวลา 200 ชั่วโมง กักบริเวณไม่ให้ออกจากบ้านด้วยการสวมเครื่องจับสัญญาณไว้ที่ข้อเท้า

ทุกคนในครอบครัวลงความเห็นว่าฌอนเป็นเด็กมีปัญหา นอกจากมารดาเขาคนเดียวที่บอกว่า เขาเป็นคนฉลาดแต่ขาดความมุ่งมั่นและตั้งใจ

ทำให้ฌอนเริ่มรู้สึกในความเป็นตัวของเขาและเริ่มคิดได้ ไม่อยากกลับไปสถานกักกันอีก เพราะรู้ว่าที่ตรงนั้นมันไม่คู่ควรกับเขาอีกต่อไป

จากเด็กขี้อายที่ไม่ค่อยมีเพื่อน หนุ่มไทยนักคิดรุ่นใหม่ที่เติบโตในประเทศสหรัฐอเมริกา ผลักดันให้ตัวเองมองโลกของคนอื่นในความเป็นไปที่แท้จริงจากการเรียนในสายจิตวิทยา ปรัชญา และข้ามผ่านมาสู่ชีวิตจริง จนเขาได้กลับมาประเทศไทยเมื่อสามปีก่อน และศึกษาภาษาไทย จนสามารถนำมาเสนอเรื่องราวบนเพจสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนนับล้าน ให้เลือกมองบทเรียนที่ผิดพลาดและเดินต่อไปอย่างมีพลัง

มีคนวิจารณ์ว่า ฌอนจำเรื่องราวต่างๆ ที่เขาได้อ่าน หรือรับฟังมาและนำมาเล่าต่อ ซึ่งน่าจะเหมาะสมกับกลุ่มวัยรุ่น เพราะหน้าตาที่สะอาดซื่อ สายตาที่อบอุ่น น้ำเสียงที่จริงใจ ช่วยทำให้มีคนติดตามเป็นแฟนเพจเขามากมาย แม้แต่คนรุ่นปู่อย่างผมเริ่มเกิดความสนใจและติดตามงานที่ผ่านมาของเขา เมื่อพิจารณาสาระในเนื้อหา ก็พบว่าน่าติดตามมากกว่ารายการตลกซ้ำซาก การประกวดร้องเพลงที่ไม่มีการสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ

บางเพจของฌอนทำเป็นเรื่องเล่าง่ายๆ เช่น

ชาวนาจีนมีม้าหนึ่งตัวที่ต้องใช้มันทำงาน อยู่ๆ วันหนึ่งมันวิ่งหนีหายไป ชาวบ้านต่างมาหาชาวนาแล้วพูดว่า เขาโชคร้าย แต่ชาวนาพูดว่า ก็ยังไม่แน่นะ

ต่อมาไม่นานม้าตัวนั้นก็วิ่งกลับมาบ้านพร้อมนำม้าตัวอื่นๆ อีกแปดตัว ทำให้ชาวนามีม้าถึงเก้าตัว ชาวบ้านต่างมาหาชาวนาแล้วพูดว่า เขาโชคดีนะ แต่ชาวนาพูดว่า ก็ยังไม่แน่นะ

ลูกชายของชาวนาออกไปหัดขี่ม้าและตกมาทำให้ขาหัก ชาวบ้านต่างมาหาชาวนาแล้วพูดว่า เขาโชคร้าย แต่ชาวนาพูดว่า ก็ยังไม่แน่นะ

ต่อมามีกลุ่มทหารมาเกณฑ์ชายหนุ่มในหมู่บ้านไปเป็นทหาร พอเห็นลูกชาวนาขาหักเลยไม่เอาเขาไปเป็นทหาร

ชาวบ้านต่างมาหาชาวนาแล้วพูดว่า เขาโชคดี แต่ชาวนาพูดว่า ก็ยังไม่แน่นะ

เรื่องมันก็มีแค่นั้น แต่…ฌอน เอามาโยงเข้ากับการคิดบวกของเขาได้อย่างน่าฟัง…ผมคงให้ไปฟังจากปากของเขาเอง เปิดยูทูบแล้วพิมพ์ ฌอน บูรณะหิรัญ / ชาวนาจีน

อีกเรื่องยาวหน่อยแต่ก็ได้แง่คิดดีๆ เพจนี้ฌอนพูดเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆ แต่ก็มีซับภาษาไทยให้ด้วย ชื่อเรื่องว่า Buddha and the beggar…

คนไร้บ้าน หรือขอทานคนหนึ่ง พบว่าอาหารที่เขาเก็บซ่อนไว้หายไปบ่อย เขาจึงซุ่มดูและพบว่ามีหนูหนึ่งตัวมาขโมยของเขาไปนั่นเอง

เขาจึงจับมันไว้แล้วถามว่า ทำไมไม่ไปหาของกินในบ้านคนที่มีฐานะแทนที่จะมาเบียดเบียนคนที่ยากไร้อย่างเขา

หนูจึงตอบว่า ชะตามันเป็นผู้กำหนดไว้อย่างนั้นไม่ว่าคุณจะเก็บกักตุนไว้ขนาดไหนก็ตาม อยากรู้มากกว่านี้ให้ไปถามพระพุทธเจ้าดู ท่านจะเป็นผู้ให้คำตอบ

ขอทานจึงถามว่าจะไปตามหาพระพุทธเจ้าได้ที่ไหน ซึ่งไม่ได้รับคำตอบ…

เขาจึงออกเดินทางไปตามหาพระพุทธเจ้าแบบไม่มีจุดหมาย จนค่ำลงที่บ้านผู้มีฐานะคนหนึ่งจึงเข้าไปขออาศัยนอน ซึ่งเจ้าของบ้านเมื่อรู้จุดประสงค์ก็ให้ที่พัก และบอกว่า…เมื่อพบพระพุทธเจ้าช่วยฝากถามว่า เขามีลูกสาวอยู่หนึ่งคนอายุ 16 ปีแล้ว เธอไม่ยอมพูดกับใคร จะทำอย่างไร…

ขอทานก็รับปากและออกเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น จนไปพบข้างหน้าเป็นหุบเหวและภูเขาสูงชันซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางต่อไป

ในเวลาเดียวกันก็พบผู้วิเศษถือไม้เท้ากายสิทธิ์ ชายขอทานจึงไปเล่าให้ฟังว่าเขากำลังไปตามพระพุทธเจ้าเพื่อถามเรื่องชะตาชีวิตของตน

ผู้วิเศษเลยบอกว่าจะพาเขาเหาะข้ามไปกับไม้เท้ากายสิทธิ์ แต่ฝากถามพระพุทธเจ้าว่า เขาฝึกวิชาอิทธิฤทธิ์มาเป็นเวลาถึง 1,000 ปีแล้ว ยังไม่สามารถไปสวรรค์ได้เลย จะทำอย่างไร

ขอทานก็รับปากและเดินทางต่อไปจนพบแม่น้ำกว้างใหญ่ขวางหน้าอยู่จนไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ ก็มีเต่ายักษ์ตัวหนึ่งปรากฏขึ้น เต่าก็เลยให้ขี่หลังข้ามน้ำไป โดยขอให้ถามพระพุทธเจ้าให้ด้วยว่า เขาเพียรปฏิบัติศีลมานานถึง 500 ปี ยังไม่สามารถกลายเป็นมังกรได้ ขอทานก็รับปาก

และเดินทางไปจนพบพระพุทธเจ้า ท่านให้ผู้ที่ไปพบถามปัญหาได้คนละสามข้อ ซึ่งขณะนี้ขอทานมีปัญหาของลูกสาวที่พูดไม่ได้ของเศรษฐี 1 ข้อ

ปัญหาของผู้วิเศษที่อยากไปสวรรค์เป็นข้อที่ 2 และ…

อีกปัญหาของเต่ายักษ์ที่อยากเป็นมังกร ครบ 3 ข้อพอดี ซึ่งเกินกว่าที่จะถามปัญหาของตัวเองที่เขาตั้งใจมาตามหาพระพุทธเจ้าซึ่งกลายเป็นข้อที่ 4 ไป…

และสุดท้ายเขาก็เลือกจะเอาปัญหาของคนอื่นๆ มาถามแทน…

แล้วจึงเดินทางกลับ เขาพบกับเต่ายักษ์ที่มารอพาข้ามน้ำ เขาบอกว่า พระพุทธเจ้าให้เต่าสละกระดองที่แบกเป็นภาระหนักทิ้งเสีย เต่าก็ปฏิบัติตามและกลายเป็นมังกรทันที…

ก่อนบินไปได้แบบมังกร เต่าได้มอบกระดองให้ขอทาน ปรากฏว่าในนั้นมีไข่มุกล้ำค่ามากมาย ซึ่งทำให้ขอทานกลายเป็นผู้มีทรัพย์

ต่อมาเมื่อพบผู้วิเศษ เขาก็บอกว่าพระพุทธเจ้าให้เขาปล่อยวางไม้เท้าที่ถืออยู่ตลอดเสีย ผู้วิเศษก็ทำตามและสามารถขึ้นไปบนสวรรค์ได้ เลยมอบไม้เท้ากับขอทานไว้ ซึ่งทำให้ขอทานเป็นผู้มีอำนาจต่อจากทรัพย์สินของเต่า

และเมื่อมาบ้านเศรษฐี ลูกสาวของเขาเห็นขอทาน ก็ร้องว่าชายขอทานกลับมาแล้ว ซึ่งตรงตามคำตอบที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่า เมื่อนางพบคู่ครองแล้วนางจะพูดได้เอง…เขาจึงได้นางมาเป็นภรรยา

ก็เป็นแฮปปี้เอนดิ้ง เพราะชายขอทานรักษาสัญญาและเสียสละทำสิ่งที่สามารถสร้างความสุขให้กับคนอื่นได้ก่อนตัวเอง…หลังจากนิทานเรื่องนี้จบลง ฌอนก็ได้โยงทั้งหมดเข้าสู่ความจริงที่แฝงอยู่ในนิทานนั้น…

ซึ่งต้องฟังจากปากของเขาเอง…

ฌอนมาอยู่เมืองไทยทำเพลงเกือบ 3 ปี หลังจากนั้นก็มีโอกาสได้ถ่ายละคร เล่นหนัง แต่ไม่ดัง…

จนพบจุดเปลี่ยนที่เป็นจุดเริ่มต้นให้เขาทำเพจ Sean Buranahiran ขึ้นมา เพราะใช้เวลาว่างระหว่างพักกองให้เป็นประโยชน์ แล้วก็มีการตอบรับที่ไม่ได้คาดหวัง

จากคลิปแรก “ฌอนสอนชายให้เป็นแมน” ที่ประสบความสำเร็จทำให้เกิดคลิปอื่นๆ ตามมา

เขารู้สึกว่า เพจนี้มันทำให้คนเห็นชัดเจนว่าฌอนเป็นคนยังไง และเขาก็ดึงดูดคนแบบนั้นเข้ามาในชีวิต เพื่อนๆ หรือคนรอบข้างที่มีทัศนคติที่ดี มีจิตใจดี หรือบางครั้งมีแฟนเพจเข้ามากอดแล้วร้องไห้ ว่าเขาช่วยทำให้ชีวิตดีขึ้น ทำให้รู้สึกว่าเป้าหมายที่อยากจะมีอิทธิพลกับชีวิตคนในทางที่ดีได้ประสบความสำเร็จแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้ คือต้องทำต่อไป ทำแล้วหาทางทำให้มันดีขึ้น ลึกขึ้น และมีจำนวนคนติดตามเยอะมากขึ้น

แต่ก็มี…พวกที่วิจารณ์เขาไปในทางลบ เช่น ต้องการสร้างภาพ เพื่อให้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ซึ่งผมก็ไม่เห็นด้วย เพราะผมได้รับเพจของฌอนโดยไม่ต้องเสียเงินให้แก่เขาสักแดงเดียว

ถ้าเปรียบเทียบว่า เรากำลังจะกินอาหาร (ฟรีเสียด้วย) ฌอนเป็นเชฟกำลังทำอาหารไทยเมนูหลากหลาย แม้จะไม่มีรสเผ็ดร้อน แซบจี๊ดจ๊าด ผิดแผกกว่าเท่าที่ควรเป็น แต่มันก็กลายเป็นอาหารไทยที่มีรสแปลกใหม่ ผสมกลิ่นนมเนยปนมาบ้างเล็กน้อย อันเป็นเสน่ห์…

ผมก็ไม่เห็นมันจะแปลกอะไร แถมอดปลื้มใจไม่น้อยที่เห็นเด็กลูกคนไทยที่เกิดเมืองนอก แล้วกลับมาบ้าน แถมไม่ได้นำวัฒนธรรมแปลกแหวกแนวที่เรารับไม่ได้มามอมเมาสังคมวัยรุ่นที่มีภูมิคุ้มกันด้านลบต่ำอยู่ในขณะนี้

…มีหนึ่งเพจของฌอนที่ผมอยากให้ทุกคนได้ดู และไม่อยากจำลองมาให้เสียรสชาติก่อนได้พบของจริง เป็นการสนทนาธรรมที่ฌอนเข้าไปกราบแม่ชีศันสนีย์ ที่เสถียรธรรมสถาน…เชื่อผมเถอะ…ดีจริงๆ ครับ