หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๘๕)

ฟ้า พูลวรลักษณ์

บทความพิเศษ | ฟ้า พูลวรลักษณ์

 

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๘๕)

 

คําถามหนึ่งที่น่าสนใจคือ ชาติจีนนี้จะสิ้นชาติได้ไหมนะ การพยายามจินตนาการถึงภาพที่ชาติที่มีประชากร ๑.๔ พันล้านคนสิ้นชาติ มันเป็นภาพที่คิดไม่ออกเลย

หากเราดูห้าพันปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าชาวจีนเป็นชนชาติที่เหนียวมาก จึงสิ้นชาติได้ยาก แต่หากตรวจสอบดู พวกเขาก็เกือบสิ้นชาติมาแล้วหลายครั้ง ครั้งล่าสุดคือช่วงสองร้อยกว่าปีที่ตกเป็นทาสชาวแมนจู

ถามตัวเองว่า สองร้อยกว่าปีที่ตกเป็นทาสชาวแมนจู เกิดอะไรขึ้นนะ ทำไมมันแย่ได้ขนาดนี้

ความแปลกคือ มันหาคำตอบไม่ได้ เหมือนมันเป็นจุดอ่อนเฉพาะชนชาติ มีจุดอ่อนบางอย่างที่คนจีนมี และบังเอิญโดนชาวแมนจูจับได้

และชาวแมนจูเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจับจุดอ่อนนั้นมาใช้เป็นประโยชน์ และบังคับคนจีน จนคนจีน ๓๐๐ กว่าล้านคน ต้องยอมจำนนอย่างว่าง่าย เหมือนสัตว์ที่ถูกจับจุดอ่อน แล้วทำให้เชื่อง และโดนเจ้านายใช้ประโยชน์ จนกว่าจะหนำใจ

ชนชาตินี้ยิ่งใหญ่ และมีจำนวนมหาศาล เฉพาะจำนวนประชากรของมัน ก็ดับสูญได้ยาก วันที่คนจีนสูญพันธุ์ น่าจะเป็นวันเดียวกับวันที่ชาวโลกสูญพันธุ์ นี้คือความเก่งของคนจีน ที่สามารถขยายพันธุ์ได้กว้างไกล มากหลาย

อันนี้ไม่ใช่เรื่องฟลุก มีบางอย่างทำงานในนี้ บางอย่างที่ยิ่งใหญ่ ลี้ลับ เราจะเรียกมันว่าอะไรก็ช่าง ทำให้ชาวจีนเป็นดั่งหุบเขาที่ลึกล้ำ เป็นทิพย์

แต่เพราะเหตุนี้เอง บทที่มันเกือบตาย ยิ่งน่าพิศวง อะไรคือจุดอ่อนของคนจีน เรารู้แต่ว่าชาตินี้มีจุดอ่อน และยามโดนจับจุดอ่อน ก็อ่อนปวกเปียก โดนชาติที่เล็กกว่าหลายสิบเท่า หรือเล็กกว่าเป็นร้อยเท่า ขยำ ขยี้ จนไม่เหลือความเป็นผู้เป็นคน

 

โลกในวันข้างหน้า อะไรจะเกิดขึ้นไม่รู้เลย อนิจจา คิดไปอีกหนึ่งร้อยปี มองผิวเผิน ชาติจีนจะยิ่งใหญ่ ไม่มีวันดับ แต่จริงหรือ ใครกล้าวางเดิมพันบ้าง การที่ฉันคิดเช่นนี้ เพื่อทำให้ฉันเห็นถึงความไม่แน่แท้ของชีวิต สิ่งที่แน่ที่สุด ก็ยังไม่แน่

หลับตาคิดว่า อีกยี่สิบปีข้างหน้า โลกนี้จะเป็นยังไงนะ

นั่นคือปี 2043 ในวันนั้นอเมริกาจะยังเป็นมหาอำนาจอับดับหนึ่งอยู่หรือ ในวันนั้นแต่ละชนชาติจะเป็นอย่างไร เมืองไทยจะเป็นยังไง หรือเมืองจีนจะเป็นอย่างไร

นี้เป็นความน่าพิศวงยิ่งนัก เหนือกว่านิยาย

คุณเคยได้ยินคำว่า วันที่สี่-ห้าไหม

มันคือ การปฏิวัติของวันที่สี่เดือนพฤษภาคม เป็นวันสำคัญอย่างยิ่งยวด ที่แม้ในวันนี้ เวลาฉันคิดถึงมัน เลือดในกายของฉันก็ร้อนระอุ พลุ่งพล่าน ด้วยความโกรธแค้น

ก่อนอื่น เราต้องย้อนมาดู

1911 วันที่ราชวงศ์แมนจูถูกโค่นล้ม

1916 วันที่หยวนซื่อไค่ เสียชีวิต

1917 เกิดปฏิวัติในรัสเซีย

1918 สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

1919 ปีนี้เอง ที่เกิดการปฏิวัติวันที่สี่เดือนพฤษภาคมในจีน

มันเกิดขึ้น เพราะสนธิสัญญาแวร์ซายส์ พันธมิตรยอมให้ญี่ปุ่นเข้ายึดครองซานตง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนจีนยอมรับไม่ได้ ทันใดนั้นเอง ความอยุติธรรมครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น การข่มเหงรังแกอย่างผิดมนุษย์ก็เกิดขึ้น ทั้งที่จีนและญี่ปุ่นต่างก็เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และอยู่ฝ่ายพันธมิตร หากแต่ทว่ามหาอำนาจตะวันตกยุคนั้น ไม่มีใครให้ราคาคนจีน แต่เกรงใจคนญี่ปุ่น พวกเขาทำสนธิสัญญาที่เลวทรามฉบับนี้ขึ้นมา มันแสดงออกถึงอะไร หากมิใช่บอกว่า ในโลกนี้ ที่จริงเป็นโลกของคนที่มองประโยชน์เฉพาะหน้า

มันเริ่มต้นอย่างช้าๆ โดยนักศึกษาเดินขบวนประท้วงที่โน่นและที่นี่ ท้ายสุดก็ลามไปทั่วประเทศ และยิ่งลุกลามใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นการลุกขึ้นสู้ของกรรมกร และนักธุรกิจพ่อค้าทั้งประเทศ คนจีนทุกคนรักชาติเกินกว่าจะทนได้ ปัญญาชนจำนวนมากในจีน แต่แรกมีแนวคิดโน้มไปทางระบบเสรีประชาธิปไตยของชาวตะวันตก ต้องเปลี่ยนใจ หันหาหนทางอื่น

และในปีนี้เอง ที่เกิดพรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้น มันเกิดขึ้นและเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีทางเลือกอื่น

 

ความชั่วร้าย หยิ่งยโสของผู้นำในโลกเสรียุคนั้น เหลือจะทนได้ พวกเขาทำอย่างนี้ทำไม มันทำให้ญี่ปุ่นยิ่งได้ใจ และท้ายสุด ก็นำไปสู่สงครามระหว่างจีน-ญี่ปุ่น ซึ่งนำหายนะมาสู่นับสิบล้านชีวิต คนจีนถูกหักหลัง ดูถูก และถูกทอดทิ้งในเวทีโลก พวกเขาจะไปไหน

ผู้นำโลกตะวันตกยุคนั้นนั่นเองที่สร้างคอมมิวนิสต์จีนขึ้น และวันนี้พวกเขาได้แต่ทำตาปริบๆ

๑๐

ในยุคนั้น ชาติจีนมีรัฐบาลที่อ่อนแอ ไม่มีเอกภาพ จะเอาตัวรอดได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย และชาวจีนก็ยังเป็นชนล้าหลัง เหมือนชาวเขา

ในขณะที่ญี่ปุ่นนั้น เป็นชาติมหาอำนาจแห่งบูรพา พวกผู้นำโลกตะวันตก ซึ่งแท้จริงแล้ว ล้วนแล้วแต่สายตาสั้น พวกเขาเซ็นสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่งเป็นสนธิสัญญาของอำนาจ ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใด ไม่รู้ว่าในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า ชาวโลกต้องจ่ายราคาอะไรบ้าง มีความอยุติธรรมใดได้เกิดขึ้น

ดินแดนอย่างซานตง ที่เป็นของจีนมาช้านานหลายพันปี กลับยกให้ญี่ปุ่นที่หิวกระหายในดินแดน นี้เป็นความอยุติธรรมอย่างสูงสุด

 

๑๑

สมัยเด็ก ฉันก็เคยเรียนรู้เกี่ยวกับวันนี้ แต่ทว่าก็ไม่เข้าใจอะไร จวบจนเมื่อฉันเติบใหญ่ขึ้น วันหนึ่งฉันจึงรู้สึกตน และตื่นตะลึง มันเป็นวันที่มหัศจรรย์ วันที่ลัทธิขงจื้อถูกทำลาย หลังจากที่มันดำรงอยู่อย่างยิ่งใหญ่มานานเกือบสองพันปี วันนี้เอง ที่มันถูกโค่นล้มลง ที่ต้องล้ม เพราะมันเป็นลัทธิที่ทำให้ชาติจีนอ่อนแอ และใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ไม่ได้เลยจริงๆ มีค่าเป็นศูนย์

มันถูกโค่นล้มยังไม่พอ ชาวจีนยังเสียใจอีกว่า ทำไมมันถึงอยู่ได้มานานถึงเพียงนี้

วันนี้เป็นวันที่หนึ่งสถาบัน ถูกล้มลง

๑๒

ช่วงนั้น ประชาชนจีนต้องผ่านอะไรหลายอย่าง เช่น 1911 โค่นล้มราชวงศ์ชิงลงได้ สิ่งล้าหลังนี้เพิ่งจะยอมตาย หลังจากอยู่มาเกือบสามร้อยปี

และห้าปีต่อมา ตามมาด้วยความตายของตัวบัดซบอีกตัว คือหยวนซื่อไข่ ที่พยายามตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้นมาแทนที่

และสามปีต่อมา ตามมาด้วยความตายของลัทธิขงจื้อ ในวันที่สี่เดือนห้านี่เอง วันเดียวแผ่นดินสะเทือน เพราะมันอยู่มานานมาก ก่อนหน้านี้ ใครที่พยายามจะไปลบหลู่ท่านขงจื้อ ก็คือหาที่ตาย ยักษ์ใหญ่ตายทีละตัวๆ ล้มครืนลงเหมือนภูเขาล้ม เหมือนโลกนี้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศจีน

มันมีตัวแปรมากมาย จึงเกิดวันที่สี่เดือนห้านี้ และแผ่ผลพวงออกไปกว้างไกล เกิดเรื่องราวมากมายเป็นโดมิโน เกิดดับ เกิดดับ และเกิดเป็นชาติจีนในทุกวันนี้

 

๑๓

มองย้อนดู สองร้อยกว่าปีที่ชาวจีนตกเป็นทาสแมนจูนี้ เป็นช่วงเวลาที่เร้นลับอย่างที่สุด มันยุบกาลเวลาเข้าไปในนั้น ยุบเอาชีวิตคนจีนหลายชั่วอายุคน ค่อยๆ หลอมละลายพวกเขา เปลี่ยนพวกเขา จากสิ่งหนึ่งไปเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เรากำลังเห็นการกลายพันธุ์ จากชาติที่ยิ่งใหญ่ องอาจ ค่อยๆ กลายเป็นชาติที่เกิดมาเพื่อเป็นทาส

พวกเขาอาจจะเฉลียวฉลาด แต่เป็นความฉลาดที่ไม่รู้จะใช้กับอะไร นอกจากไปคอยรับใช้ กุลีกุจอทำงานเหมือนมดงาน ที่ต้องคอยรับคำสั่ง มีความสุขที่ได้ยังมีชีวิตอยู่

นี้คือการแปรเปลี่ยนที่เร้นลับยิ่งนัก เห็นได้ในช่วงเวลาสองร้อยกว่าปี และนี้คือหลุมดำในประวัติศาสตร์จีน

๑๔

คนจีนเริ่มแคระแกร็นลงในสมัยราชวงศ์ซ่ง และยิ่งแคระแกร็นลงไปอีกในสมัยราชวงศ์หมิง แต่กระนั้น อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีความองอาจบางอย่างอยู่ แต่มาฝ่อตัวลงอีกอย่างใหญ่หลวงในสมัยชิงนี่เอง ชาวจีนรอดได้ด้วยการงัดเอาทีเด็ดสุดประจำตัว ซึ่งมีสองสิ่งด้วยกัน

จำนวนประชากรมหาศาล

ความเฉลียวฉลาดเฉพาะตน

สองสิ่งนี้เปรียบเหมือน DNA ของชาวจีน ที่ยังกอบกู้พวกเขาไว้ได้

Black Hole ครั้งหน้า พวกเขาอาจไม่โชคดีอย่างนี้อีกแล้ว