ประยุทธ์รีฟอร์ม! ความท้าทายที่รอรัฐบาลใหม่ | สุรชาติ บำรุงสุข

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

หมายเหตุ : บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกวันที่ 30/06/2023

“การปรับตัวต่อเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงคือ เงื่อนไขของความอยู่รอด และสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาพื้นฐานที่เป็นของทัศนคติ”

Liddell Hart
นักยุทธศาสตร์ทหารชาวอังกฤษ

 

หลังจากการเลือกตั้งได้สิ้นสุดลง พร้อมกับการประกาศคะแนนจากหน่วยลงเสียงต่างๆ แล้ว เห็นได้ชัดว่าพรรคของผู้นำรัฐประหารเดิม ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ไม่ประสบความสำเร็จในสนามเลือกตั้งแต่อย่างใด

หากดูจากตัวคะแนนเสียงแล้ว โอกาสที่ผู้นำรัฐประหารจะหวนกลับมาจัดตั้งรัฐบาล และขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น น่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว

ในสถานการณ์ที่รัฐบาลเก่าอาจจะไม่ได้กลับเข้ามาบริหารประเทศ จึงทำให้เกิดคำถามว่า แล้วผู้นำรัฐบาลดังกล่าวจะดำเนินการอะไรหรือไม่ในช่วงเวลาเช่นนี้

 

คำแถลงจากกลาโหม

ในที่สุดเรื่องที่อยู่เหนือการคาดการณ์อย่างนึกไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น เมื่อกระทรวงกลาโหมภายใต้การบริหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ออกมาแถลงถึงผลงานในการดำเนินการปฏิรูปกองทัพที่ได้ดำเนินการไปแล้ว (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในมติชนออนไลน์, 31 พฤษภาคม 2566)

ซึ่งการแถลงเช่นนี้ได้สร้างความประหลาดใจในทางการเมืองอย่างมาก เพราะสังคมไม่เคยรับรู้มาก่อนถึงการปฏิรูปกองทัพที่เกิดขึ้นในรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์

การออกมาแถลงผลในช่วงหลังจากการเลือกตั้งได้เสร็จสิ้นลง พร้อมกับการเตรียมการที่จะจัดตั้งรัฐบาลนั้น ย่อมทำให้การแถลงของกระทรวงกลาโหมในครั้งนี้ถูกต้องข้อสงสัยอย่างมาก เพราะเป็นเวลาที่รัฐบาลอยู่ในฐานะของการเป็น “รักษาการ” แล้ว

ว่าที่จริง หากกระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการมาก่อน ก็น่าที่จะแถลงให้สังคมได้รับรู้ไว้บ้าง มิใช่เพิ่งจะแถลงในภาวะปัจจุบัน อันทำให้ “ปัจจัยเวลา” ของการแถลงกลายเป็นปัญหาในตัวเอง เพราะทำให้เกิดข้อสงสัยว่าทำไมต้องมาแถลงในเวลานี้ การกล่าวถึงผลการปฏิรูปนี้มี “นัยทางการเมือง” แอบแฝงหรือไม่…

ต้องยอมรับความจริงประการสำคัญว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและความสงสัย การแถลงผลงานครั้งนี้จึงอยู่ภายใต้ข้อสงสัยอย่างหนีไม่พ้น หรือบางทีก็ถูกนำไปประกอบสร้าง “ทฤษฎีสมคบคิด” อันเป็นผลจากความหวาดระแวงที่ดำรงอยู่

ปัจจัยเวลาของการแถลงยังอาจนำไปสู่การตีความว่า กระทรวงกลาโหมกำลัง “ชิงทำก่อน” เพื่อที่จะบอกแก่สังคมว่า กระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการปฏิรูปกองทัพในเรื่องที่สังคมและพรรคการเมืองต้องการจะเห็นแล้ว หรือเป็นเสมือนกับการ “ชิงเวลา” ระหว่างรัฐบาลเก่าและรัฐบาลใหม่ที่จะทำการปฏิรูปกองทัพ แต่อย่างน้อยก็เป็นการบอกถึงผลงานของรัฐมนตรีกลาโหมในเรื่องนี้

 

ในอีกด้านหนึ่ง การแถลงดังกล่าวอาจเป็นความพยายามที่จะแสดงให้เห็นผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะของ “ผู้นำการปฏิรูปกองทัพ” เพื่อแสดงว่าการปฏิรูปกองทัพได้เริ่มขึ้นในสมัยของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่เริ่มต้นด้วยการดำเนินการของรัฐบาลเลือกตั้งที่กำลังจะเข้ามารับตำแหน่ง โดยเฉพาะกับข่าวลือต่างๆ ในเชิงตัวบุคคลของผู้ที่จะมารับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่

อย่างไรก็ตาม หากมองในทางที่ดีบ้างแล้ว อาจจะต้องยอมรับว่าการประกาศแผนการปฏิรูปกองทัพเช่นนี้ อาจนำมาใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปกองทัพในภาพรวม เนื่องจากที่ผ่านมานั้น แผนและแนวทางการปฏิรูปกองทัพที่ทำกันมาก่อนหน้านี้ไม่เคยถูกนำมากำหนดเป็นแนวทางปฏิบัติได้จริง และมักจะจบลงด้วย “ความเงียบ” กล่าวคือ ไม่เกิดอะไรขึ้นเลยในการนำมาปฏิบัติ

ฉะนั้น การแถลงถึงการปฏิรูปเช่นนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับรัฐมนตรีใหม่ที่จะเข้ามา เนื่องจากได้มีการดำเนินการบางส่วนไปแล้ว จนอาจต้องให้เครดิตเรียกเป็น “ประยุทธ์รีฟอร์ม”

แม้หลายคนอาจจะรู้สึกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เหล่าทัพเองได้ดำเนินการอยู่แล้ว อันเป็นผลจากปัญหาภายในของแต่ละเหล่า ซึ่งได้กลายเป็นแรงกดดันที่สำคัญให้ผู้นำในกองทัพจำต้องคิดถึงการปรับตัวมากขึ้น

 

ประยุทธ์รีฟอร์ม

จากสาระของการแถลงของกระทรวงกลาโหมในครั้งนี้ เราได้เห็นถึงความพยายามในหลายส่วนอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งว่าที่จริงแล้ว เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่กระทรวงน่าจะได้แถลงให้สังคมได้รับทราบบ้าง เพราะจะจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปกองทัพที่จะเกิดในอนาคต ประเด็นของการปฏิรูป ได้แก่

1) การยุติแผนการสร้างกองพลทหารราบที่ 7 และกองพลทหารม้าที่ 3 ซึ่งว่าที่จริงแล้ว การจัดตั้ง 2 กองพลใหม่นี้ มีข้อโต้แย้งในทางทหารพอสมควร (ผู้เขียนเองได้แสดงความเห็นแย้งในเรื่องนี้ในหลายวาระ เพราะไม่มีความจำเป็นที่ต้องสร้างกำลังพลเพิ่มในขนาดดังกล่าว)

การยอมยุติการสร้าง 2 กองพลดังกล่าว จึงถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับกองทัพบก และกองทัพไทย

2) การปรับลดนายทหารในระดับนายพล ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน แม้จะเคยมีการทำแผนในเรื่องนี้มาก่อน แต่ทั้งในระดับกลาโหมและเหล่าทัพไม่เคยตอบรับกับแผนลดกำลังพลในระดับบนเช่นนี้

ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีในครั้งนี้ และเท่ากับว่าในระยะเวลา 4 ปีงบประมาณ กองทัพไทยจะลดนายพลได้ถึงร้อยละ 50 ในปี 2570 ต้องยอมรับว่า การกำหนดเพดานตัวเลขเช่นนี้เป็นความท้าทายอย่างมากทั้งในระดับเหล่าทัพ และระดับกระทรวง

3) การลดจำนวนทหารเกณฑ์ ซึ่งมีการประกาศว่าจะมีการลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง และจะเปิดรับอาสาสมัครจำนวน 35,000 นายต่อปี แต่กำลังอาสาที่จะรับในจำนวนเพียงเท่านี้อาจจะไม่พอเพียงกับกระแสการเมืองที่เรียกร้องให้มีการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และเป็นการยกเลิกทั้งระบบ ซึ่งประเด็นนี้จะเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐมนตรีคนใหม่ต้องเผชิญ

4) การปรับลดจำนวนกำลังพลทหารพรานในภาคใต้ ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่มีการพูดกันในกองทัพบกมาก่อน แม้ว่าจะไม่ข้อยุติสุดท้าย การประกาศทิศทางเช่นนี้อาจจะช่วยลดงบประมาณความมั่นคงในภาคใต้ และเท่ากับเป็นสัญญาณว่ากำลังทหารหลักจะต้องเข้ามาแบกรับภารกิจแทนหรือไม่ หรือจะดำเนินการแบบ “สุดโต่ง” ตามข้อเสนอของบางพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งที่ต้องการให้มีการถอนทหารออกจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมด

ซึ่งจะเป็นโจทย์ความมั่นคงที่ท้าทายอย่างมากในอนาคต

5) การปรับลดกำลังพลเช่นนี้ จะสามารถประหยัดงบประมาณทหารและงบกำลังพลลงได้เป็นจำนวนมากจริง แต่ก็อาจจะต้องคิดในเรื่องของการจัดวางกำลังในพื้นที่กันใหม่

6) การเตรียมบรรจุกำลังพลพลเรือนในกระทรวงกลาโหม ซึ่งการทำแผนของการเปลี่ยนสถานะของกำลังพล โดยเฉพาะในส่วนของกระทรวงกลาโหม เป็นเรื่องที่มีการทำแผนมานานตั้งแต่ยุคหลังสงครามคอมมิวนิสต์แล้ว แต่ก็ไม่มีการตอบรับอย่างจริงจัง

การตัดสินใจริเริ่มในเรื่องนี้จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

7) การทำแผนพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ ประเด็นนี้คงเป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละเหล่าทัพ ซึ่งน่าสนใจในรายละเอียดว่า ทิศทางของการพัฒนานี้จะไปในทางใด และจะสอดคล้องกับรัฐบาลและ/หรือรัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่หรือไม่

8) การปรับลดขนาดของกองทัพให้มีขนาดกะทัดรัดและทันสมัย ซึ่งประเด็นนี้เป็นอีกเรื่องที่มีการคิดและการสัมมนามาหลายครั้งในยุคหลังสงครามเย็นในไทย

เช่นเดียวกับปัญหาในข้อ 7 เนื่องจากแผนพัฒนากองทัพและการกำหนดขนาดของกองทัพจะต้องไปในทิศทางเดียวกัน และในทางการเมือง ก็น่าสนใจอย่างมากว่า นโยบายของรัฐมนตรีคนใหม่ในเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร

 

ความท้าทายในอนาคต

การนำเสนอแผนปฏิรูปกองทัพของรัฐมนตรีกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่การปฏิรูปกองทัพจะเริ่มต้นจริงๆ แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว ยังมีประเด็นอื่นๆ คู่ขนานอีกหลายเรื่องที่จะต้องทำการปฏิรูป เช่น ปัญหางบประมาณ และการจัดซื้อจัดหายุทโธปกรณ์ เป็นต้น

แต่ไม่ว่าในบริบทเชิงนโยบาย เราจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม เราอาจต้องยอมรับว่าการ “ชิงการนำ” การปฏิรูปของ พล.อ.ประยุทธ์ คือจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปกองทัพไทยที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งมีความเป็นไปได้อย่างมากว่า เมื่อรัฐบาลเลือกตั้งเข้ามารับตำแหน่งแล้ว การขับเคลื่อนการปฏิรูปจะถูกผลักให้เคลื่อนไปข้างหน้ามากขึ้น แต่อย่างน้อย แนวทางปฏิรูปได้ถูกกำหนดขึ้นแล้ว

ดังนั้น นายทหารในระดับต่างๆ ของทุกเหล่าทัพอาจจะเตรียมตัวที่อยู่กับการปฏิรูปที่จะเกิดขึ้นในเงื่อนไขทางการเมืองใหม่ให้ได้

ซึ่งตัวอย่างของปัญหา เช่น ผลจากการลดนายทหารระดับนายพล เป็นต้น เนื่องจากในด้านหนึ่ง กองทัพไทยอยู่กับ “ความไม่เปลี่ยนแปลง” มาอย่างยาวนาน จากยุคสงครามเย็นสู่ยุคหลังสงครามเย็น ซึ่งสถานการณ์ความมั่นคงมีความเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน การดำรงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลงขององค์กรกองทัพย่อมเป็นปัญหาในตัวเอง

ทั้งการเข้าไปมีบทบาททางการเมืองที่มากขึ้นจากรัฐประหาร 2549 จนถึงรัฐประหาร 2557 ทำให้กองทัพกลายเป็น “คู่ขัดแย้ง” ทางการเมือง อันส่งผลให้เกิดข้อเรียกร้องของภาคสังคมในการปฏิรูปมีมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในบริบทของสงครามก็เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างมากเช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่าจากสงครามอ่าวเปอร์เซีย สงครามอัฟกานิสถาน สงครามอิรัก จนถึงสงครามยูเครน

การเปลี่ยนแปลงของสงครามทำให้หลายกองทัพทั่วโลกทำการปฏิรูปตัวเอง ปัจจัยเช่นนี้ได้กลายเป็นแรงกดดันอีกส่วนที่ทำให้นายทหารจำนวนมากในกองทัพไทยต้องการเห็นการปฏิรูป ไม่ต่างจากกองทัพในเวทีโลก

ดังนั้น เมื่อการปฏิรูปกองทัพเริ่มต้นจากแรงผลักของ พล.อ.ประยุทธ์แล้ว คงต้องรอดูแรงผลักอีกส่วนจากรัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ เพื่อที่ทำให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปกองทัพไทยเดินไปข้างหน้าได้จริงในอนาคต

แต่ก็ต้องยอมรับว่า ปัญหาและอุปสรรคของการปฏิรูปกองทัพรออยู่ข้างหน้าอย่างท้าทาย

ฉะนั้น การปฏิรูปจึงต้องการ “ความรู้และความเข้าใจ” ในเรื่องทางทหารอย่างมากด้วย เพราะการปฏิรูปกองทัพอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด อีกทั้งกองทัพมีโครงสร้างที่ซับซ้อน มีกำลังพลจำนวนมาก และยังมียุทโธปกรณ์เป็นส่วนสำคัญ การปฏิรูปกองทัพจึงมีประเด็นที่ต้องคิดในหลายเรื่อง!