วอลโว่ ‘C40-XC40’ Recharge คู่แฝดพลังอีวี-วิ่งไกลเกือบ 600 ก.ม.

 

ขณะที่ค่ายรถจากแดนปลาดิบ ยังก้ำๆ กึ่งๆ ว่าจะกระโดดเข้าสู่ศึกรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรืออีวี เมื่อไหร่ดี และจะเอาจริงเอาจังขนาดไหน

แต่ฝั่งยุโรปจัดหนักมาพักใหญ่แล้ว เพราะเกือบทุกประเทศกำหนดข้อจำกัดต่างๆ ที่แต่ละประเทศออกมาเพื่อคุมกำเนิดรถใช้น้ำมัน หรือเครื่องยนต์สันดาปภายใน

ล่าสุดเมื่อต้นปี 2023 ที่ผ่านมา รัฐสภาสหภาพยุโรปลงมติห้ามขายรถยนต์สันดาปตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป

ทำให้อีกเพียงแค่ 12 ปี ยุโรปจะไม่มีรถยนต์สันดาปขายอีกต่อไป

ค่าย “วอลโว่” จากสวีเดน เป็นอีกหนึ่งรถรุ่นดังจากยุโรปในบ้านเรา ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนสายพานการผลิต ชิมลางออกรถเครื่องยนต์ไฮบริด ลูกผสมน้ำมัน+ไฟฟ้า มาเป็นตัวเลือกมากขึ้น

ล่าสุดบุกตลาดอีวีเต็มตัวด้วย 2 รุ่นเด่น

“Volvo C40 Recharge Pure Electric” และ “Volvo XC40 Recharge Pure Electric”

รถยนต์ครอสโอเวอร์ และเอสยูวีไซซ์เล็ก

ถือเป็นการประเดิมศักราชใหม่ของวอลโว่ ประเทศไทย เพราะผู้บริหารประกาศชัดเจนว่าภายในปี 2025 หรืออีก 2 ปีจากนี้ วอลโว่ ประเทศไทย จะจำหน่ายเพียงรถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี เท่านั้น

โดย C40 Recharge Pure Electric และ XC40 Recharge Pure Electric รูปร่างหน้าตาภายนอก การตกแต่งภายใน เรียกเป็นคู่แฝดได้เลย

แตกต่างกันบ้างเป็นมิติตัวถังเล็กน้อย และการตกแต่งภายนอก ที่ C40 จะดูหวือหวากว่าหน่อย

หน้าตาของรถทั้ง 2 รุ่น หากมองหน้าตรงแยกไม่ออกว่ารุ่นไหนเป็นรุ่นไหน

กระจังหน้าแบบปิดทึบ พร้อมโลโก้ขนาดใหญ่

ไฟหน้าเป็นเอกลักษณ์ทรง “Thor’s Hammer” หรือค้อนของเทพเจ้าธอร์

พร้อมเทคโนโลยี pixel LED ที่ไฟ LED แต่ละดวงทำงานแยกจากกันเป็นอิสระ สามารถปรับรูปแบบความสว่างของไฟหน้าได้อัตโนมัติตามความเหมาะสมของสภาพแวดล้อม

เพื่อให้ความสว่างที่พอเพียงแก่ผู้ขับ และไม่แยงตารถที่สวนทางมาเพื่อความปลอดภัย

ซุ้มล้อขนาดใหญ่พร้อมแถบสันสีเข้มเพิ่มความบึกบึนมากขึ้น

ประตูทั้ง 4 บานออกแบบให้มีเส้นโค้ง เส้นเว้า ดูสวยงาม

อย่างไรก็ตาม หากมองจากด้านข้างจะเห็นความต่างของทั้ง 2 รุ่น

XC40 ด้วยความเป็นเอสยูวี แนวหลังคาจะเป็นเส้นตรง ก่อนตัดลงที่ด้านท้าย และมีราวหลังคามาให้ด้วย

ขณะที่ C40 แนวหลังคาจะลาดลงด้านท้าย และท้ายรถจะยื่นออกยาวกว่า XC40 ตามสไตล์ครอสโอเวอร์ ที่มีดีเอ็นเอของรถเก๋งแทรกมาด้วย

ไฟท้ายใกล้เคียงกัน แต่ C40 จะดูออกแนวสปอร์ตมากกว่า

ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ดีไซน์ 5-Spoke Black Diamond Cut ดีไซน์แบบแอโรไดนามิก

ภายในนี่แทบจะแบบเดียวกันเป๊ะ ด้วยมาตรฐานรักษ์โลกทำให้ไม่มีชิ้นส่วนของหนังสัตว์ผสมอยู่ด้วยเลย

แผงคอนโซลหน้า Topography Translucent Decor ได้ไอเดียมาจากเทือกเขาในบ้านเกิด

พวงมาลัย 3 ก้านพร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น

มาตรวัดดิจิตอล ขนาด 12.3 นิ้ว อ่านสบายตา

ตรงกลางเป็นหน้าจอสัมัส 9 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple Car Play และ Andriod Auto ฟังก์ชั่นสั่งงานด้วยเสียง

เปล่งเสียงผ่านลำโพงไฮไฟ 13 ตัว ของ Harman/Kardon ซับวูฟเฟอร์แบบมีช่องระบายอากาศ ขับเคลื่อนด้วยแอมปลิฟลายเออร์ดิจิทัลขนาด 600W

นอกจากนี้ ติดตั้งซอฟต์แวร์ประมวลผลเสียงแบบเฉพาะ Dirac Unison Tuning ปรับการตอบสนองของลำโพงแต่ละตัว รวมถึงระบบของลำโพงทั้งหมดให้ได้เสียงที่ดีที่สุด

สามารถสั่งการผ่านสมาร์ตโฟนด้วยแอพพ์ Volvo Cars ทั้งการล็อกและปลดล็อก การปรับความร้อนหรือความเย็นล่วงหน้า รวมถึงเริ่มการชาร์จ ฯลฯ

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ Dual Zone พร้อมเครื่องฟอกอากาศสุดล้ำสมัย ป้องกันฝั่น PM 2.5 เข้าสู่ห้องโดยสารได้สูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์

ติดตั้งไฟเรืองแสงรอบห้องโดยสาร ช่วยสร้างแสงที่เป็นธรรมชาติ ผ่อนคลาย

หลังพาโนรามิกซันรูฟ เปิดปิดด้วยไฟฟ้า ใช้กระจกเคลือบลามิเนตซึ่งให้การปกป้องจากแสงสะท้อนและรังสี UV

เบาะนั่งคนขับปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง

เช่นเดียวกับเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า ปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบปรับดันหลังไฟฟ้า Lumbar Support 4 ทิศทาง

มาถึงขุมพลังที่ถือว่าโดดเด่นไม่น้อย ด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหลังที่ห่างหายจากตลาดเมืองไทยกว่า 25 ปี กลับมาใน 2 รุ่นนี้

ใช้มอเตอร์เดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลังขนาด 175 kW แบบ magnet e-motor ในเพลาล้อคู่หลัง และแบตเตอรี่ขนาด 69 kWh

ให้กำลังสูงสุด 238 แรงม้า

รุ่น C40 มีระบบส่งกำลังให้เลือกทั้งแบบมอเตอร์เดี่ยวและคู่ ชาร์จไฟเต็มวิ่งได้สูงสุด 590 กิโลเมตร การใช้พลังงานไฟฟ้า 17.6 kWh/100 กิโลเมตร

ส่วน XC40 วิ่งได้ 565 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC การใช้พลังงานไฟฟ้า 18.2 kWh/100 กิโลเมตร

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ในเวลา 7.3 วินาที

ทั้ง 2 รุ่นรองรับการชาร์จเร็วแบบ DC ขนาดกำลังไฟ 150kW เติมพลังแบตเตอรี่จาก 10-80% ในเวลาเพียง 34 นาที

แต่ถ้าเป็นการชาร์จปกติ หรือวอลล์บอกซ์ที่บ้านใช้เวลาชาร์จเต็ม 100% ราวๆ 7-8 ชั่วโมง

ถือเป็นรถไฟฟ้าที่มีพิสัยการวิ่งไกลพอๆ กับการเติมน้ำมัน 1 ถัง

ด้านออปชั่นและตัวช่วยต่างๆ หายห่วง เพราะแบรนด์วอลโว่ ขึ้นชื่อเรื่องเทคโนโลยีและความปลอดภัยอยู่แล้ว

ที่เด่นๆ อาทิ โครงสร้างตัวถัง และกรงนิรภัยสำหรับแบตเตอรี่ ออกแบบมาเพื่อช่วยปกป้องผู้โดยสารทุกคนจากการชน รวมทั้งช่วยปกป้องผู้โดยสารในรถคันอื่นด้วย

กล้อง 360 องศา ใช้กล้อง 4 ตัวที่ให้มุมมอง 360 องศา และเซ็นเซอร์ด้านข้าง เพิ่มการรับรู้วัตถุที่อยู่ด้านข้างรถ ช่วยให้จอดรถได้อย่างมั่นใจแม้ในพื้นที่จำกัด

Cross Traffic Alert พร้อมระบบเบรกอัตโนมัติช่วยเหลือผู้ขับขี่ในขณะกลับรถในมุมมองที่จำกัด ระบบสามารถตรวจจับยานพาหนะที่ตัดผ่านมาทางด้านหลัง และหากจำเป็นก็สามารถเบรกให้โดยอัตโนมัติ

ระบบ Blind Spot Information System (BLIS) ช่วยเหลือในขณะเปลี่ยนเลน หากมีความเสี่ยงที่จะชนกับรถคันอื่น BLIS จะช่วยบังคับพวงมาลัยกลับสู่ตำแหน่งที่เหมาะสม

เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะตรวจจับและหลีกเลี่ยงรถคันอื่น คนเดินเท้า คนขี่จักรยาน และสัตว์ขนาดใหญ่ โดยครั้งแรกจะแจ้งเตือนผู้ขับขี่ แต่ถ้าไม่ตอบสนองระบบจะช่วยเบรกอัตโนมัติ

เทคโนโลยีควบคุมช่องทางเดินรถ หากรถเบนออกผิดปกติระบบจะส่งแรงสะเทือนเล็กน้อยผ่านพวงมาลัย ก่อนช่วยดึงรถกลับสู่ช่องทางเดินรถ ฯลฯ

ยังมีอีกเยอะครับทั้งระบบถุงลมนิรภัย ม่านนิรภัย และอื่นๆ

วอลโว่ C40 Recharge Pure Electric ราคา 2,090,000 บาท

และ XC40 Recharge Pure Electric ราคา 1,990,000 บาท •

 

 

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ | สันติ จิรพรพนิต

[email protected]

สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj

— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022