พรรคก้าวไกลได้เสียงโหวต แต่ถูกโดดเดี่ยว

กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์www.facebook.com/bintokrit

พรรคก้าวไกลคว้าชัยในการเลือกตั้ง ส.ส. ปี 2566 ไปได้อย่างน่าทึ่งด้วยการครองเก้าอี้ผู้แทนราษฎร 151 ที่นั่ง เหนือพรรคเพื่อไทยอดีตแชมป์เก่าที่ได้มา 141 ที่นั่ง

แต่แม้จะครองบัลลังก์ได้สำเร็จ ก้าวไกลกลับไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ง่ายๆ แถมยังโดนคดีความต่างๆ มากมายอย่างไม่หยุดหย่อน

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น และพวกเขาควรทำอย่างไรเพื่อให้รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกาทั้งหลาย

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มาจากสาเหตุหลัก 2 ประการ

 

อย่างแรกคือการเล่นการเมืองแบบ “ไม่เอาเพื่อน” ซึ่งต้องเข้าใจเสียก่อนว่าไม่เอาเพื่อนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงนิสัยไม่ดีจนไม่มีใครคบ หรือไม่ยอมไปสมาคมกับใคร

แต่เป็นเพราะแนวทางในการปะฉะดะต่อปัญหาต่างๆ ทั่วสารทิศอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมต่างหาก

ซึ่งตรงข้ามกับที่เคยชินกันเป็นส่วนใหญ่ในเมืองไทย ที่ผู้ได้เปรียบหรือมีสถานะทางสังคมที่ดีมักอาศัยโอกาสนี้ในการทำให้ตัวเองไม่ตกอยู่ในอันตรายในเรื่องที่ทำผิด และได้รับการอำนวยความสะดวกในเรื่องที่ทำถูก อาจเรียกลักษณะนี้แบบง่ายๆ ว่าเป็นการใช้ “คอนเน็กชั่น” เกื้อหนุนตัวเองและพวกพ้อง

ในขณะที่พรรคก้าวไกลกลับไม่ใช้วิธีเช่นนี้ ถึงขนาดที่แกนนำของพรรคบางคนเคยกล่าวว่าถ้ามีเพื่อนมากก็เกรงใจเพื่อนเยอะ หันไปทางไหนก็มีแต่คนรู้จักซึ่งทำให้เกิดความเกรงใจเพื่อน จนสุดท้ายไม่กล้าพุ่งชนกับปัญหาอะไรเลย

อย่างไรก็ตาม แนวทางการทำงานเช่นนี้ก็เป็นดาบสองคม ดังคำกล่าวที่ว่า “นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน บินสูงไม่ได้”

เพราะชีวิตจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทย การช่วยเหลือเกื้อกูลกันในระหว่างผองเพื่อนและเครือญาติ นอกจากจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่พบเห็นได้เป็นปกติแล้ว ยังนับเป็นคุณธรรมน้ำใจที่ใครไม่ทำก็โดนติฉินนินทาหรือครหาได้

เพราะฉะนั้น การบุกตะลุยไปข้างหน้าโดยไม่สนว่าชนกับใครหน้าไหน จึงไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไปในทางปฏิบัติ

ข้อดีของการทำการเมืองแบบนี้ก็คือสามารถสร้างความนิยมในหมู่ประชาชนได้อย่างมากมายและรวดเร็ว เพราะแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน เป็นปากเป็นเสียง และตรงไปตรงมากล้าชนต่อปัญหา

ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกลในระบบบัญชีรายชื่อ ได้ออกมาแฉเรื่อง “ส่วยทางหลวง” ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนไปทั้งวงการตำรวจและผู้ที่เกี่ยวข้องอีกนับไม่ถ้วน

การทำงานในเชิงรุกเช่นนี้ย่อมถูกอกถูกใจประชาชนแน่ๆ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการสร้างศัตรูขึ้นมามากมายด้วย

 

ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่บ่งบอกเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีว่าแนวทางการรณรงค์หาเสียง และการทำงานทั้งในสภาและนอกสภาตลอดสี่ปีที่ผ่านมาของพรรคก้าวไกลและอนาคตใหม่ได้ทำให้คนไทยจำนวนมากหันมาเป็นแฟนคลับของพรรคอย่างเหนียวแน่น ในฐานะที่เป็นความหวังของการออกหน้าต่อสู้แทนประชาชนคนธรรมดา

และนำมาสู่การได้เสียงโหวตอย่างล้นหลามถึง 14,438,851 เสียง

ตรงกันข้ามกับแนวร่วมซึ่งเป็นผองเพื่อนที่ลดลงเรื่อยๆ

ในความเป็นจริงพรรคก้าวไกลอาจมีเพื่อนฝูงมากมาย แต่การที่เขาเอาตัวเข้าไปแลกในเกมสุ่มเสี่ยงสารพัดอย่าง ได้ทำให้มิตรสหายจำนวนไม่น้อยถอยออกไปอยู่ข้างหลัง

และเมื่อหันมามองบรรดาพรรคการเมืองด้วยกันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมซึ่งในรัฐบาลที่ผ่านมาได้กอดคอกันผ่านร้อนผ่านหนาวต่อสู้กับขั้วอำนาจเดิมของ 3 ป. มาอย่างโชกโชน ก็ยังมิวายวางท่าทีห่างเหินอยู่บ้าง อย่างน้อยก็เมื่อเทียบกับในอดีตเมื่อสี่ปีก่อน

อันนำมาสู่สถานการณ์ที่ปรากฏให้เห็นว่าพรรคการเมืองที่ได้เก้าอี้ ส.ส.มาเป็นอันดับ 1 กลับถูกโดดเดี่ยวเดียวดาย แทนที่จะกลายเป็นกลุ่มคนเนื้อหอมในหมู่พรรคการเมืองต่างๆ ที่มักวิ่งเข้าหาผู้ได้รับชัยชนะหลังการเลือกตั้งแบบที่ผ่านๆ มา

และเมื่อประกอบเข้ากับสัญญาณแปลกๆ ที่เริ่มส่งกลิ่นมาจากทั้งองค์กรอิสระ นักร้องเรียน สื่อมวลชนบางสำนัก ตลอดจนมวลชนบางกลุ่ม ก็ทำให้สถานการณ์ของทั้งพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกลเริ่มไถลออกนอกรันเวย์ออกไปทุกที

 

หากย้อนกลับไปมองกระแสของพรรคคลื่นลูกใหม่ครั้งในอดีต เช่น ปรากฏการณ์ของพรรคไทยรักไทยสมัยแรกภายใต้การนำทัพของทักษิณ ชินวัตร ในปี พ.ศ.2544 จะเห็นได้ว่าแม้ได้รับชัยชนะเป็นที่หนึ่งเหมือนกับก้าวไกล แต่ท่าทีของชนชั้นนำ กลไกรัฐ พรรคการเมืองทั้งหลาย และเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ ต่อการคว้าชัยของไทยรักไทยล้วนเป็นเชิงบวกด้วยกันทั้งนั้น

ถึงขั้นที่แม้สะดุดปัญหาในกรณีซุกหุ้น แต่ก็ยังได้รับเสียงเชียร์จากผู้มีต้นทุนทางสังคมยกให้เป็น “อัศวินควายดำ” ไปได้ ซึ่งแตกต่างกับปฏิกิริยาเชิงลบที่มีต่อพรรคก้าวไกลในวันนี้เป็นอย่างมาก

พรรคก้าวไกลและหัวหน้าพรรคคือพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กลับถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธทางกฎหมายอย่างต่อเนื่อง

และบางกรณีอาจถูกลงโทษรุนแรงที่สุด รุนแรงมากกว่าการลงโทษนักการเมืองไทยคนใดในประวัติศาสตร์

คืออาจต้องโทษจำคุกยาวนานและตัดสิทธิ์ทางการเมืองแบบแทบไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิดอีก

ข้อถกเถียงหลายเรื่องซึ่งดูไม่เป็นสาระสำคัญที่ชวนให้ต้องสงสัยอะไร ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินไปได้

ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการที่กลุ่มก้อนความคิดของก้าวไกลขยายตัวขึ้นทุกที กลายเป็นผีที่น่ากลัวตัวใหม่ในหมู่เครือข่ายอนุรักษนิยม จารีตนิยม

นอกจากนี้ ยังเป็นเพราะสภาวะขาดแคลนเพื่อนตายสหายศึกที่มาเป็นแนวร่วมในการขับเคลื่อนอีกด้วย

เพื่อนตายสหายร่วมรบของก้าวไกลในตอนนี้จึงมีแต่เพียงมวลชนเป็นหลัก และนี่ดูเหมือนว่าจะเป็นยุทธวิธีที่พรรควางไว้อย่างจงใจเหมือนกัน ตามที่มีกิจกรรมเดินสายขอบคุณประชาชนในที่ต่างๆ ทั่วประเทศ แม้ว่าเวลาของการเลือกตั้งจะผ่านไปถึงหนึ่งเดือนแล้วก็ตาม

โดยล่าสุดพิธาและกองคาราวานของก้าวไกลได้เดินทางไปลำปางและลำพูนในวันที่ 14 มิถุนายน ท่ามกลางการต้อนรับอย่างล้นหลามราวกับอยู่ในงานมหกรรมคอนเสิร์ต ส่วนวันต่อมา 15 มิถุนายน พวกเขาจะเคลื่อนขบวนไปต่อที่เชียงใหม่ อดีตศูนย์กลางอาณาจักรพรรคเพื่อไทยที่ถูกกองทัพส้มตีแตกไปอย่างน่าเหลือเชื่อ

ภาพเหล่านี้จะมีออกมาอย่างต่อเนื่องคู่ขนานไปกับห่ากระสุนทางกฎหมายที่ระดมยิงลงมายังพรรคก้าวไกลและพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หลังการเลือกตั้ง

 

แม้แนวทางการทำงานของพรรคก้าวไกล จะทำให้พวกเขาได้เสียงโหวตแต่ถูกโดดเดี่ยวก็ตาม

แต่เมื่อก้าวไกลใช้ยุทธวิธีรวบรวมมวลชนเข้าต่อสู้ เครือข่ายอำนาจต่างๆ ที่เป็นปฏิปักษ์กับพวกเขาจึงไม่ได้ต่อสู้กับพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวหรือนักการเมืองเพียงคนเดียวเท่านั้น

แต่ต้องประจันหน้ากับฐานเสียงขนาดมหึมาที่มีหลากหลายอาชีพ ช่วงวัย ชนชั้น ฐานะ ชาติพันธุ์ ฯลฯ

แถมยังกระจายตัวไปทั่วทุกภูมิภาค ไม่ได้กระจุกตัวอยู่แต่เพียงจังหวัดเดียวหรือภูมิภาคเดียวแบบที่เคยเกิดขึ้นในสมัยก่อน

ท้ายที่สุดแล้วพิธาและพรรคก้าวไกลจะผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปได้หรือไม่ คงไม่มีใครตอบได้ในวันนี้

แต่ถ้าถามว่าผลจากการตะลุมบอนกันในสมรภูมิครั้งนี้จะให้ผลเหมือนเดิมแบบในอดีตหรือไม่ ใครต่อใครก็คงตอบได้ไม่ยากว่า

ต้องไม่เหมือนเดิมแน่ๆ