หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๘๐)

ฟ้า พูลวรลักษณ์

บทความพิเศษ | ฟ้า พูลวรลักษณ์

 

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๘๐)

 

พี่

สาวสุดที่รัก

พี่สาวปีนี้อายุร่วมแปดสิบ เป็นขวาตกขอบ ด้วยเพราะความคิดเห็น ความเชื่อของตน บวกกับการได้รับข้อมูลข่าวสารจากสื่อเลือกข้าง และการหลงเชื่อในทฤษฎีสมคบคิด ที่สะสมกันมานานหลายสิบปี จนกลายเป็นหินปูนที่เกาะแน่นตามซอกฟัน ตามเหงือก แน่นหนาราวกับหินผา

ไม่มีทางใดที่จะไปแก้ไข หรือถกเถียงกับพี่สาวได้ เพราะข้อมูลข่าวสารในตัวพี่สาวมากมายล้นเหลือ เป็นน้ำล้นแก้วออกมา จนนองเจิ่งไปทั่ว แต่พี่สาวไม่รู้จักการเมือง และไม่เข้าใจประชาธิปไตย

การเมือง คือความขัดแย้งของคนที่มีความเห็นต่าง

เราจะเรียกง่ายๆ ว่า คือการต่อสู้ของซ้าย-ขวา มันเป็นหลักธรรม เหมือนหยิน-หยาง

เพราะหากมีเร็ว ก็ต้องมีช้า

หากมีไฮเทค ก็ต้องมีโลว์เทค

หากมีสิ่งใหม่ ก็ต้องมีสิ่งเก่า

การต่อสู้นี้ ไม่มีใครถูกหรือผิด หรือพูดอีกที ซ้าย-ขวา ต่างก็มีข้อดีข้อเสียของตน วิเคราะห์ได้ล้ำลึกไม่สิ้นสุด และต่อสู้กันได้ยาวนาน เป็นกัปกัลป์

เคยมีคนบอกว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายที่สุดในจักรวาล ด้วยเพราะรบกันเอง จนเกิดเป็นสงครามทำลายเผ่าพันธุ์ตัวเอง สัตว์อื่นยังดีกว่าเรา ไม่รบกันเองแบบนี้

ฉันว่า ความคิดนี้ไม่ถูกต้อง

เพราะสัตว์อื่นไม่มีความคิดเหมือนมนุษย์

สิ่งมีชีวิตที่มีความคิด ก็มีความเห็นต่าง จึงเกิดความขัดแย้ง

ในอดีต ความเห็นต่าง คือสงคราม

ใครมีอำนาจมากกว่า ก็ชนะ

นั่นคือโลกยุคที่ยังไม่มีประชาธิปไตย

เป็นโลกของอำนาจนิยม

แต่แล้ววันหนึ่ง ชาวโลกก็ให้กำเนิดระบอบประชาธิปไตย

หัวใจของมันคือ การให้คนเห็นต่างมาอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ด้วยการต่อสู้ทางการเมือง ด้วยการเลือกตั้ง สิ่งเล็กๆ ที่คล้ายจะไม่มีความสำคัญนี้ หากแต่ทว่า หากมันมีจำนวนนับล้าน ก็มีผล และนี้คือความเร้นลับของประชาธิปไตย

คนนับล้านๆ เข้ามาตัดสินใจ ปัจเจกชนก็ถูกกลืนหาย

เหมือนสัญญาณทื่อๆ นับล้านล้านของ Neuron ในสมองของเราทำงาน ทันใดนั้นเอง วิญญาณก็เกิด ทั้งที่แต่เดิมไม่มีวิญญาณ

ปัญหาคือ บางปัจเจกชนยังยึดมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้า ยังดื้อดึง ปฏิเสธสัญญาณจากวิญญาณ

 

พี่สาวต้องฟังดีๆ นะ เพราะข้อความต่อไปนี้ละเอียดอ่อน ลึกซึ้งเป็นอันมาก

เรียกว่าเข้าถึงแก่นในของการมีอยู่

ประชาธิปไตยทำให้มนุษย์ไม่ต้องรบกันเอง

มันหยุดสงคราม

มันไม่ได้บอกว่าใครถูกหรือผิด

ทุกประเทศจึงมีหลายพรรค รวมเรียกง่ายๆ ว่า มีพรรคซ้าย และพรรคขวา ในการเลือกตั้ง ผู้ชนะได้เป็นรัฐบาล ผู้แพ้เป็นฝ่ายค้าน เป็นฝ่ายตรวจสอบ

ฝ่ายรัฐบาลมีอำนาจในการบริหาร จึงสามารถทำงานพลาด สามารถเกิดคอร์รัปชั่น

ฝ่ายค้านจึงเป็นตำรวจ ตรวจสอบ และเอาผิด

ซ้าย-ขวา จึงสลับตำแหน่ง

เพราะต่างมีข้อดีข้อเสีย ต่างมีข้อได้เปรียบเสียเปรียบ ผู้แพ้ก็มีข้อได้เปรียบ เพราะการที่เป็นฝ่ายค้าน พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด ด้วยเพราะไม่มีอำนาจในการบริหาร จึงพลิกเปลี่ยนเกม จากรับมาเป็นรุก ส่วนผู้ชนะได้เป็นรัฐบาล เปลี่ยนจากรุกมาเป็นรับ มันเป็นเกมที่มีกติกาง่ายๆ เหมือนเล่นฟุตบอล แต่จำเป็นต้องมีกติกาเดียว ห้ามทีมหนึ่งเล่นกติกาหนึ่ง อีกทีมหนึ่งเล่นอีกกติกาหนึ่ง หากเล่นต่างกติกา มันคือความล่มสลายของประชาธิปไตย

ประชาธิปไตย เรียบง่าย แต่ก็ลึกล้ำ

ด้วยเพราะมันสามารถทำให้มนุษย์หยุดสงคราม

ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยเต็มตัว จะไม่ทำสงครามต่อกันเลย

แต่ยังมีหมายเหตุสองข้อ

หนึ่งคือ ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยแล้ว ก็ยังอาจเกิดสงครามภายในได้ เรียกว่า สงครามกลางเมือง มันเกิดขึ้นได้ในทุกประเทศ แต่สงครามกลางเมืองแม้อาจจะรุนแรงเอาการ แต่ไม่ถึงสงครามนิวเคลียร์ล้างโลก เช่นสหรัฐ ก็อาจเกิดสงครามกลางเมืองรอบใหม่ หากคุยกันไม่รู้เรื่อง ประชาชนก็อาจหยิบอาวุธมาสู้กัน ทำลายล้างซึ่งกันและกัน

หรือกรณีพิพาทตรงพรมแดน ก็ยังเกิดขึ้นได้

หากการปกครองเป็นประชาธิปไตยเหมือนกัน ก็คุยกันได้ มนุษย์ยังมีสติ

 

ปัญหาอยู่ที่ว่า โลกนี้ยังไม่เป็นประชาธิปไตยหมดทั้งใบ ยังมีบางประเทศปกครองด้วยอำนาจนิยม

ในปี 2023 นี้ เราเรียกประเทศประชาธิปไตย ว่าฝ่ายซ้าย และประเทศที่ปกครองด้วยอำนาจนิยม ว่าฝ่ายขวา พวกมันยังมีอยู่มากเอาการ และมีอำนาจในการทำลายล้างสูง เรียกว่า โลกของเรายังสามารถมีสงครามโลกครั้งที่สาม ที่ท้ายสุด อาจไม่มีใครรอด

โลกนี้ส่วนใหญ่ได้กลายเป็นประชาธิปไตยแล้ว คนส่วนน้อยควรคล้อยตามคนส่วนใหญ่ หากมนุษย์เข้าใจดั่งนี้ กลุ่มประเทศอำนาจนิยมก็ยกเลิกระบอบของตัวเองเสีย แล้วหันมาเป็นประชาธิปไตยกันให้หมด เท่านี้ มนุษยชาติก็ปลอดภัย

สิ่งนี้ชาวโลกเสรีใฝ่ฝันยิ่งนัก แต่ทว่า มันยังคงเป็นแค่ความฝัน

เพราะแต่ละประเทศที่เป็นอำนาจนิยม ยึดมั่น เกาะแน่นในอำนาจ เรียกว่าหากไม่เกิดสงครามโลก พวกมันก็ยากจะยอมคลายอำนาจ

ชาวโลกเสรีได้แต่ฝันและคาดหวัง ว่าวันหนึ่งพวกอำนาจนิยมจะเปลี่ยนการปกครองโดยสันติวิธี

หากมีระบบเหมือนกันหมดทั้งโลก ทันใดนั้น เราก็ไม่ต้องรบกัน

ฝันนี้ยากยิ่งที่จะเป็นจริงได้

หากพวกเขาไม่ยอมเปลี่ยน ก็ยังพอได้อยู่ ชาวโลกเสรีก็จำใจยอม หากพวกเขาอยู่ในประเทศของตน เช่น จีนก็ปกครองตัวเองไป เกาหลีเหนือก็ปกครองตัวเองไป ขอเพียงอย่าใช้อำนาจหยาบช้ามารุกรานผู้อื่น อย่ามารบกวนระบอบประชาธิปไตยของผู้อื่น ก็ยังพอได้อยู่ เพราะถึงขั้นนี้ ชาวโลกเสรีก็ต้องรอคอยต่อไป อาจจะนานสักหน่อย แต่ก็ดีกว่าทำสงคราม

รัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือ และอีกหลายประเทศจะเป็นอำนาจนิยมไปอีกสักร้อยปี หากไม่มารุกรานเรา ก็ช่างเขาเถอะ แต่ในความเป็นจริง ไม่เป็นเช่นนั้น รัสเซียบุกยูเครน และจีนบุกไต้หวัน สิ่งเหล่านี้คือข้อต้องห้าม ที่ชาวโลกเสรีสุดจะถือสา เรียกว่ารับไม่ได้ มันสะเทือน Principle ของประชาธิปไตย สงครามโลกครั้งที่สาม จึงตั้งเค้า

หมายเหตุ นักทฤษฎีสมคบคิด พยายามจะเบี่ยงเบนประเด็นนี้ กลายเป็นเรื่องราวนานา เป็นสุดยอดของนิยายสยองขวัญ เรื่องราวของภูตผีปีศาจ

 

ฉันเล่ากว้างๆ ให้พี่สาวมองเห็นภาพรวมก่อน ตอนนี้ย้อนมามองเมืองไทย ที่ยังเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ง่อนแง่น ไม่แข็งแรง เพราะในขณะที่ระบอบประชาธิปไตยกำลังจะโต มันก็โดนรัฐประหาร ที่ทำให้ต้องก้าวถอยหลัง เดินหน้าสองก้าว ถอยหลังหนึ่งก้าว แบบนี้เรื่อยมา ตั้งแต่ปี 2476 จนถึงปัจจุบัน เรามีการทำรัฐประหาร รวมแล้ว ๑๓ ครั้ง ทุกครั้งเราถอยหลัง

มันเป็นเรื่องการเมือง

แต่หลักธรรมเป็นตัวตัดสิน พี่สาวที่เป็นคนธรรมะธัมโม หากคิดตาม จะเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง ตัวธรรมนี้ลึกซึ้งยิ่งนัก คล้ายกับว่า มันไม่ได้ทำอะไรเลย แต่มันกลับเป็นตัวกำหนด

เอาล่าสุด การทำรัฐประหารปี 2557 มันเกิดจากความไม่พอใจพรรคเพื่อไทย ในโครงการจำนำข้าว และการนิรโทษสุดซอย ความเพียรพยายามที่จะเอาทักษิณ ชินวัตร กลับมา เป็นต้น

แต่นั่นเป็นเพียงข้อแก้ตัว

ภาพภายใน คือการต่อสู้ของซ้าย-ขวา ที่ฝ่ายขวาเกิดความไม่อดทน ไม่อยากรอ ใช้กำลังหยาบช้าเอาชนะ ฝ่ายขวาไม่ใช่เป็นอนุรักษนิยมอีกต่อไป หากแต่เป็นอนุรักษ์อำนาจ

ที่จริงหากฝ่ายขวายอมรออีกนิด ขวาอยู่ในช่วงขาขึ้น และซ้ายอยู่ในช่วงขาลง

การเลือกตั้งครั้งหน้า ขวามีโอกาสชนะสูง และเป็นชัยชนะที่ยืนนาน เพราะซ้ายจะล้ม ด้วยความผิดพลาดของตัวเอง โครงการจำนำข้าว เป็นข่าวดีสูงสุดของฝ่ายขวา มันทำลายฝ่ายซ้ายได้ และกำลังกัดกร่อน

การทำรัฐประหาร ไปช่วยฝ่ายซ้ายไว้ได้พอดี ช่วยลบโครงการจำนำข้าวให้จบแค่นี้ และจบแบบทำให้พรรคเพื่อไทยรอดตัว

พี่สาวต้องฟังดีๆ เพราะมันย้อนแย้ง

ทำไมไปทำรัฐประหารพวกเขา กลับไปช่วยพวกเขา

ไปต่ออายุฝ่ายซ้าย

เพราะการใช้กำลังหยาบช้า ก่อให้เกิดวิบากกรรม มันทำให้ฝ่ายซ้ายแข็งแรงยิ่งนัก แม้จะหมดอำนาจ ภาพภายนอก ฝ่ายขวาแข็งแรงมาก สามารถจับซ้ายเข้าคุก สามารถตบเตะฝ่ายซ้ายได้ สามารถตั้ง ส.ว. ๒๕๐ คนมากำกับ เขียนรัฐธรรมนูญตามใจตน และตั้งองค์กรอิสระมากมาย มาคุมอำนาจ กำหนดทิศทางตามที่ตัวเองต้องการ คล้ายจะชนะใหญ่หลวง

 

๑๐

หลักธรรมบอกว่า ในระบอบประชาธิปไตย ห้ามใช้กำลังหยาบช้า

ใครใช้ก่อน แพ้ หากซ้ายใช้ก่อน ซ้ายแพ้ หากขวาใช้ก่อน ขวาแพ้ นี้คือกฎ

ผลที่เกิดขึ้น เป็นวิบากกรรม มันดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งกำหนด หรือวางแผน หากแต่เป็นการขับเคลื่อนของธรรม

ความหยาบช้าครั้งนี้ของฝ่ายขวา

ทำให้ฝ่ายซ้าย เกิดพรรคอนาคตใหม่ ฉันพูดเสมอว่า สิ่งดีที่สุดที่เกิดจากการทำรัฐประหาร ปี 2557 คือการจุติของพรรคอนาคตใหม่ ในปี 2562 มันเป็นพรรคใหม่ สด ตรง และเกินความคาดหมาย ว่าในความสับสน ความคลุมเครือ และความสิ้นหวัง ชีวิตใหม่ก็จุติขึ้น

ในปี 2563 ฝ่ายอนุรักษ์จัดการยุบพรรคอนาคตใหม่ เรียกว่าฆ่าให้ตาย จากนั้นพรรคอนาคตใหม่ก็เกิดใหม่ กลายเป็นพรรคก้าวไกล ในช่วงแรก คล้ายพวกเขาจะถอยหลังหนึ่งหรือสองก้าว มีอาการได้รับบาดเจ็บ เกิดงูเห่าตั้งสามสิบกว่าตัว หากแต่ทว่า กรรม ต้องการเวลาในการกำเนิด ไม่นานนัก พรรคก้าวไกลก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ สดใสขึ้น และกลับมาสร้างความตื่นตะลึงในการเลือกตั้งปี 2566

ยิ่งตี ยิ่งโต ยิ่งทำลาย ยิ่งแข็งแกร่ง

๑๑

ในการเลือกตั้ง 2566 สิ่งที่แน่นอนคือ ฝ่ายซ้ายชนะแน่นอน เพราะแรงกรรมมันมาถึง พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล เป็นตัวนำ พรรคฝ่ายขวาฝ่อตัว วันนี้เรามีเพื่อไทยที่เป็นกลาง และซ้ายชัดเจน อย่างพรรคก้าวไกล เพื่อไทยคลุมเครือ เพราะแก่กว่า ฝ่ายอนุรักษ์ค่อยๆ แผ่วลง ทั้งที่มีอำนาจอยู่ในมือ หากแต่มันเป็นอำนาจไม่ชอบธรรม

แผนยุทธศาสตร์ ๒๐ ปี กำหนดไว้ ฝ่ายขวาจะครองอำนาจอย่างน้อยถึงปี 2577

แต่พี่สาวอาจอึดอัด ทำไมไม่นานก็แพ้ คราวนี้แพ้หนักกว่าคราวก่อน ก็เพราะความอยาบช้าของพวกคุณยังไงเล่า

บัดนี้ เพื่อไทยและก้าวไกล กำลังจะครองความเป็นใหญ่ในการเมืองไทย และอาจจะครองอำนาจไปอีกนาน ๒๐ ปี อาจมีแต่สองพรรคนี้ที่ช่วงชิงกัน เรียกว่าประชาธิปไตยของไทยจะเบ่งบาน แต่ขวาหายไปไหน

ประชาธิปัตย์ ที่ได้รับการทะนุถนอมอย่างดี ไม่เคยถูกยุบพรรคเลย แต่กลับฝ่อตัวลงเอง และท้ายสุด อาจกลายเป็นพรรคเล็กต่ำสิบ แล้วค่อยๆ กลายเป็นพรรคท้องถิ่นภาคใต้ แล้วสูญหายไป ต้องใช้เวลาอีกนาน กว่าฝ่ายขวาจะตั้งหลักได้ กว่าจะกำเนิดพรรคใหม่ที่แข็งแรง เพราะแรงกรรมของความหยาบช้า มันกดเอาไว้ ต้องหลายปี กว่าจะคลี่คลาย อีกนานกว่าอนุรักษ์อำนาจ จะคลายตัวกลายเป็นอนุรักษนิยม

๑๒

พี่สาวอาจไม่ยอมแพ้ บอกว่าให้ทำรัฐประหารใหม่ หรือทำรัฐประหารเงียบ ด้วยการยุบพรรคเพื่อไทย และยุบพรรคก้าวไกล ให้หมด เรียกว่าใช้กำลังหยาบช้าอีกครั้ง แต่ผลของมันจะหนักกว่าเดิม คราวนี้ พรรคใหม่ของฝ่ายซ้ายจะชนะถล่มทลายหนักกว่าเก่า และฝ่ายขวาจะยิ่งฝ่อตัว จนมองเกือบไม่เห็นรูปร่าง