อุตสาหกรรมกัญชาไทย พังพาบหรือก้าวต่อไป?

เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทย โดย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีสาธารณสุข ปลดกัญชาออกจากรายการยาเสพติดต้องห้าม

ส่งผลให้ไทยกลายเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ทำให้กัญชาไม่ใช่สิ่งของต้องห้าม ไม่ใช่อาชญากรรมที่มีความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอีกต่อไป สามารถนำมาใช้ “ในทางการแพทย์” ได้ ไม่ว่าจะมีใบสั่งของแพทย์หรือไม่ก็ตาม

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวก่อให้เกิด “อุตสาหกรรมกัญชา” แบบครบวงจรขึ้นในไทย และขยายตัวเติบใหญ่มากขึ้นตามลำดับ ทั้งการผลิตและจัดจำหน่าย

ในเวลาเดียวกัน สิ่งที่ขยายตัวตามไปด้วยคือความวิตกกังวลของสาธารณะ ยิ่งนานวันอุตสากรรมกัญชายิ่งถูกมองว่า ดำเนินไปโดยปราศจากมาตรการเพื่อความปลอดภัยของสาธารณชน

ยิ่งเมื่อร่างกฎหมายเพื่อการควบคุม ไม่สามารถผ่านสภาผู้แทนราษฎรออกมาบังคับใช้ได้ ความคลุมเครือยิ่งทวีขึ้น

 

การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ ก้าวไกลพรรคที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งและกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลผสมอยู่ในเวลานี้ เตรียมการที่จะนำกัญชากลับสู่รายการยาเสพติดต้องห้ามอีกครั้ง

นั่นคือความเคลื่อนไหวที่ฟรานเซสกา รีกัลลาโด แห่งนิกเกอิ เอเชีย ระบุไว้ในข้อเขียนของตนเมื่อ 6 มิถุนายนนี้ว่า “อาจส่งผลให้อุตสาหกรรมที่กำลังบูมถึงกับพับฐานพังพาบได้”

ฟรานเซสการะบุว่า หนึ่งปีที่ผ่านมา มีผู้ยื่นจดทะเบียนเป็นผู้ปลูกกัญชาไว้มากถึงกว่า 1 ล้านราย ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลออกใบอนุญาตสำหรับทั้งการ “เพาะปลูก” และ “จำหน่าย” กัญชาและผลิตภัณฑ์จากกัญชาไปแล้วมากถึง 1.1 ล้านราย

ณ สิ้นปี 2022 ตลาดกัญชาในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 28,000 ล้านบาท มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า ตลาดกัญชาไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 31,800 ล้านบาทในปีนี้

ตามการคาดการณ์ดังกล่าว พอถึงปี 2025 ตลาดกัญชาไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 42,900 ล้านบาท สูงกว่าที่รัฐมนตรีอนุทินเคยประเมินเอาไว้ที่ 15,000 ล้านบาทถึงเกือบ 3 เท่าตัว

นั่นคือการขยายตัวของตลาดทั้งๆ ที่เต็มไปด้วยปัญหา อันเกิดจากความไม่ชัดเจนของกฎและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง

ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายก็เปิดร้านขายไป ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ปลูกและผลิต ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับกัญชาก็ขยายพื้นที่เพาะปลูกมากขึ้นตามลำดับ

ฟรานเซสกาอ้างอิงข้อมูลจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยระบุว่า เฉพาะในปี 2022 พื้นที่มากกว่า 7,500 ไร่ ถูกเปลี่ยนไปเป็นพื้นที่สำหรับปลูกกัญชา

ผลผลิตที่ตามออกมาจากแหล่งเพาะปลูกที่ “กำลังบูม” เหล่านี้ ส่งผลให้ราคาจำหน่าย “หน้าร้าน” ลดลงอย่างฮวบฮาบตามปริมาณของผลผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น

 

“กรีนเฮด” หนึ่งในบริษัทที่มีทั้งคลินิกทางการแพทย์ที่ส่วนหนึ่งเป็นการแพทย์ทางเลือก ให้ข้อมูลกับฟรานเซสกาว่า ราคากัญชาในไทยลดลงจากตอนเริ่มต้นปลดกัญชาออกจากรายการยาเสพติดราว 50 เปอร์เซ็นต์

ถึงเวลานี้ราคานิ่งอยู่ที่ 200 บาทต่อกรัม สำหรับการขายส่งกัญชาซึ่งถูกจัดอยู่ในระดับคุณภาพสูงสุด

มีผู้จัดจำหน่ายไม่น้อย ที่ดำเนินการเช่นเดียวกับ “กรีนเฮด” นั่นคือ ขยาย “หน้าร้าน” ที่เป็นคลินิกของตนไปด้วย ในเวลาเดียวกันก็ลงทุนก่อตั้งฟาร์มเพื่อการเพาะปลูกกัญชาไปด้วย

กรีนเฮดมีไร่กัญชาอยู่ที่หัวหินด้วยเงินลงทุนราว 10 ล้านบาท พร้อมกันนั้นก็ขยายร้านออกไปเป็น 24 สาขา แต่ละสาขามีมูลค่าลงทุนระหว่าง 2-3 ล้านบาท

ฟรานเซสการะบุว่า ที่ผ่านมา ร้านจำหน่ายหลายร้านประสบปัญหามากขึ้นตามลำดับจากความคลุมเครือของข้อกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจกวดขันร้านค้าในย่านสีลมและสุขุมวิทมากขึ้น ด้วยการตรวจค้นหา “กัญชาอัดแท่ง” ที่ยังคงเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

ส่งผลกระทบต่อยอดขายมากขึ้นตามลำดับ

 

ก้าวไกล พรรคการเมืองที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เชื่อว่าการบัญญัติกฎหมายใหม่ นำกัญชากลับสู่รายการยาเสพติด เชื่อว่าแนวทางของพรรคจะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐอย่างตำรวจและ ป.ป.ส.สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างเต็มที่ แต่ในเวลาเดียวกันร่างกฎหมายดังกล่าวก็จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อผู้ปลูกและผู้จำหน่ายที่ “ปฏิบัติตามกฎหมาย”

ในขณะเดียวกันก็ต้องมีมาตรการ “ชดเชย” สำหรับผู้ที่ได้รับอนุญาตทั้งปลูกและจำหน่าย

แต่คนที่อยู่ในแวดวงตลาดกัญชาของไทยบอกกับฟรานเซสกาว่า การนำกัญชากลับสู่รายการยาเสพติดต้องห้าม ทำได้ไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงว่า การปลดกัญชาออกจากรายการยาเสพติดในสภาชุดก่อนหน้า ได้รับเสียงสนับสนุนท่วมท้น

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังถูกคัดค้านจาก “เครือข่ายเพื่ออนาคตกัญชาไทย” ที่เคยเคลื่อนไหวและประสบผลสำเร็จในการผลักดันกฎหมายกัญชามาแล้วก่อนหน้านี้ และเตรียมเคลื่อนไหวอีกครั้งผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ด้วยความเชื่อมั่น

เพราะเคยทำงานเรื่องนี้อย่างเงียบๆ กับนักการเมืองหลากหลายในการเลือกตั้งทั้ง 2 ครั้งมานานหลายปีแล้วนั่นเอง