ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 มิถุนายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | Cool Tech |
ผู้เขียน | จิตต์สุภา ฉิน |
เผยแพร่ |
Cool Tech | จิตต์สุภา ฉิน
Instagram : @sueching
Facebook.com/JitsupaChin
Apple Vision Pro
แว่นใหม่สร้างโลกใหม่
ฉันนั่งเขียนคอลัมน์วันนี้อยู่ที่สำนักงานใหญ่ของ Apple ในคูเปอร์ติโน หลังงาน WWDC งานสำหรับนักพัฒนาที่ Apple จัดเป็นประจำทุกปีเพิ่งเสร็จสิ้นลงพร้อมกับการเปิดตัวของใหม่ที่พีกตามคำสัญญา นั่นก็คือแว่นตาเรียลลิตี้ที่ทุกคนเชื่อว่าจะปฏิวัติวงการแน่นอน
เราได้ยินข่าวลือเรื่องแว่นตาเรียลลิตี้ของ Apple กันมาสักพักแล้ว แต่งานแล้วงานเล่าก็ผ่านพ้นไปแบบไร้วี่แววของแว่น
จนกระทั่งวันนี้ที่มันกลายเป็นรูปเป็นร่างแล้วจริงๆ และได้รับชื่อเรียกขานอย่างเป็นทางการว่า Vision Pro
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่แว่นหรืออุปกรณ์สวมศีรษะแสดงภาพเสมือนจริงอันแรกของโลก
Apple ไม่ใช่คนบุกเบิกวงการนี้แถมยังใช้เวลานานกว่าชาวบ้านเขากว่าจะเปิดตัวออกมา
แต่ที่ผ่านมาอุปกรณ์ประเภทนี้ยังไม่เคยได้รับความสนใจเป็นวงกว้างหรือสร้างความเปลี่ยนแปลงให้คนได้ตระหนักว่าเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญจริงๆ
ซึ่งทุกคนก็ตั้งความหวังว่าทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้หลังจากที่ Apple กระโดดลงมาเป็นผู้เล่นในตลาดนี้อย่างเต็มตัว
Vision Pro เป็นแว่นที่จะแสดงดิจิทัลคอนเทนต์ต่างๆ แบบผนวกเข้ากับโลกความเป็นจริงที่เราเห็นตรงหน้าอย่างแนบเนียนราวกับเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เราสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับคอนเทนต์ได้แบบที่ไม่ต้องจ้องหน้าจออีกต่อไป
เพียงแค่สวมแว่นเข้าไป ภาพของคอนเทนต์ไม่ว่าจะเป็นหน้าต่างเว็บเบราเซอร์ วิดีโอคอลล์ ภาพยนตร์ วิดีโอเกม ฯลฯ ทุกสิ่งที่เราคุ้นเคยกับการมองเห็นบน ‘หน้าจอ’ จะมาอยู่ ‘หน้าเรา’ ให้เราควบคุมได้ผ่านการสั่งการอย่างเป็นธรรมชาติ อย่างเช่น การใช้ตามอง ใช้การเคลื่อนไหวนิ้วมือ หรือเสียงพูด แทนที่การใช้งานอย่างการแตะหน้าจอมือถือที่เราทำทุกวันนี้
Apple ออกแบบ Vision Pro มาในสไตล์ที่มีความเป็น Apple มากๆ ใช้ประสบการณ์ในการออกแบบดีไวซ์ต่างๆ ทั้งหมดที่ผ่านมาเข้ามาผนวกผสมผสานจนกลายเป็นแว่นเรียลลิตี้ที่ Apple เรียกขานว่าเป็น “คอมพิวเตอร์รอบทิศทางเครื่องแรกของ Apple”
เลือกใช้วัสดุที่ดูพรีเมียม น้ำหนักเบา เน้นความสะดวกสบายในการสวมใส่ มาพร้อมเม็ดมะยมขนาดใหญ่ให้ปรับระดับความสมจริงได้ตามความชอบของแต่ละคน
ความสามารถในการใช้เพื่อรับชมหนังหรือฟังเพลงก็จะเน้นความอุดมสมบูรณ์ของภาพและเสียง
Apple โชว์ให้เห็นภายในงานว่านี่เป็นอุปกรณ์ที่เหมาะมากที่จะพกพาขึ้นเครื่องบินไปด้วยเวลาเดินทาง สวมเข้าไปปุ๊บก็จะเหมือนพกโรงหนังส่วนตัวของตัวเองขึ้นเครื่องไปด้วย
ดังนั้น ก็คาดเดาไว้ได้ว่าหลังจากเริ่มต้นขายจริงประมาณช่วงต้นปีหน้า เราก็อาจจะมีโอกาสได้เห็นผู้โดยสารในไฟลต์เดียวกันหยิบ Vision Pro ขึ้นมาสวมคาดตาเอาไว้ แทนที่จะเป็นหูฟังธรรมดาอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้
หนึ่งในอุปสรรคที่ทำให้ที่ผ่านมาผู้ใช้งานไม่ค่อยจะตื่นเต้นกับการสวมแว่นเรียลลิตี้แบบนี้สักเท่าไหร่ก็คือการที่พอสวมลงไปจะถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอก แต่สำหรับ Vision Pro นั้น Apple หาทางออกเรื่องนี้ด้วยฟีเจอร์ EyeSight ที่ทำให้คนสวมมองเห็นรอบข้าง และรอบข้างก็มองเห็นคนสวม
ผู้ใช้งาน Vision Pro ยังคงพอมองเห็นสภาพรอบตัวไปพร้อมๆ กับคอนเทนต์บนจอได้ ทำให้สามารถใช้งานไปด้วยและยังขยับเดินไปไหนมาไหนได้แบบไม่ต้องชนโต๊ะชนเก้าอี้
แต่ถ้าเลือกที่จะเห็นแค่คอนเทนต์อย่างเดียวล้วนๆ แบบไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัวก็ทำให้จอทึบไปได้เลย
ในขณะเดียวกัน ผู้คนรอบๆ ก็ยังมองเห็นคนสวมได้ด้วยการปรับให้หน้าจอมีความโปร่งแสงและเผยให้เห็นดวงตาของผู้สวม แรกๆ ที่เห็นก็อาจจะรู้สึกพิลึกพิลั่นอยู่บ้าง แต่ฉันคิดว่ายังไงก็ดีกว่าการตัดขาดผู้สวมใส่ออกจากโลกความเป็นจริงไปเลย
ความสำคัญของอุปกรณ์อย่าง Vision Pro คือการสร้างประสบการณ์ที่ใหม่เอี่ยมในการมีปฏิสัมพันธ์กับคอนเทนต์และอุปกรณ์ส่วนตัวที่เราใช้ Apple เปรียบมันเหมือนกับผืนผ้าใบในการวาดภาพขนาดใหญ่ คอนเทนต์จะถูกวางให้เห็นแบบเต็มตาเพราะเมื่อไม่ใช่จอก็จะไม่ถูกจำกัดด้วยขอบจอ ทุกที่ที่เราอยู่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนจะกลายเป็นโต๊ะทำงานหรือแหล่งเรียนรู้แหล่งใหม่ได้ทั้งหมด
ลองคิดดูว่าถ้าเราต้องการเรียนรู้อะไรสักอย่างที่ไม่ได้หาดูได้ง่ายๆ หรือเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอามากองให้เราได้เห็นตรงหน้า อย่างเช่น อวัยวะหรือระบบประสาทภายในร่างกาย หมู่ดาวต่างๆ ในจักรวาล หรือภายในของเครื่องยนต์กลไกที่สลับซับซ้อน
แต่สิ่งเหล่านี้สามารถถูกจำลองมาแสดงผลให้เราเห็นได้ผ่านแว่นเรียลลิตี้ ให้เราได้เรียนรู้ ได้ฝึกฝนในแบบใกล้เคียงกับของจริงมากที่สุด จะหยิบจับอะไรออกมาดูใกล้ๆ มาขยาย มาหมุน 360 องศาก็ทำได้
ถึงแม้วิดีโอคอลล์จะช่วยย่นระยะทางทำให้เรารู้สึกไม่ห่างไกลจากคนที่เรารักมากจนเกินไป แต่ประสบการณ์วิดีโอคอลล์บน Vision Pro จะยิ่งช่วยโยนข้อจำกัดด้านระยะทางทิ้งไปได้มากกว่าเดิม ให้เรารู้สึกเหมือนคนรักที่อยู่ไกลย้ายมาอยู่ใกล้ถึงในห้องเดียวกัน ถึงจะสัมผัสไม่ได้แต่จะได้ความรู้สึกที่ใกล้ขึ้นแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าทั้งหมดที่พูดถึงมานั้นก็อยู่บนพื้นฐานของการที่ Apple เลือกสิ่งที่ดีที่สุดมานำเสนอให้เราฟัง
ของจริงยังมีรายละเอียดอีกหลายอย่างที่จะต้องรอดูกัน อย่างเช่น การออกแบบที่ปราศจากสายคาดหนึ่งเส้นบนศีรษะแบบที่เรามักจะเห็นอุปกรณ์สวมศีรษะแบรนด์อื่นมี เมื่อสวมจริงจะทำให้น้ำหนักไปกองอยู่บนจมูกมากเกินไปหรือเปล่า ใช้จริงเครื่องจะร้อนไหม หรือสายที่ห้อยลงมาจะทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกรำคาญหรือเปล่า ทั้งหมดนี้จะต้องรอตอบคำถามตอนได้ใช้จริงเท่านั้น
แม้กระทั่งเรื่องประโยชน์ใช้สอยก็ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาตลาดนี้ไม่ได้ใหญ่โตนัก และมีผู้เล่นที่เจ็บตัวมาแล้วหลายราย Apple จะสร้างความแตกต่างให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร
ในตอนต้นเราอาจจะยังไม่ได้เห็นรูปแบบการใช้งานมากมาย แต่ถ้าหากเป็นไปด้วยดี หลังจากนี้ก็คงจะมีการปรับซอฟต์แวร์และอินเตอร์เฟซให้น่าใช้ขึ้น
รวมถึงจะมีนักพัฒนาที่สนใจเข้ามาช่วยกันพัฒนารูปแบบการใช้ให้หลากหลายขึ้น
เรื่องหนึ่งที่น่าเสียดายและอาจทำให้ Vision Pro ไม่เกิดได้ง่ายๆ ก็คือราคาที่สูงลิ่ว ด้วยความที่พรีเมียมสุดๆ สนนราคาของมันจึงเปิดตัวมาอยู่ที่ราวๆ 125,000 บาทเมื่อคิดเป็นเงินไทย
นับเป็นราคาที่สูงมากที่จะลงทุนไปกับการซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สักชิ้น จึงไม่อาจคาดหวังว่านี่จะเป็นสิ่งที่คนจำนวนมากจะซื้อหามาใช้งานได้ง่ายๆ
เอาไว้ได้สัมผัส ได้ทดลองใช้งานของจริงอย่างเต็มที่เมื่อไหร่จะกลับมาเล่าให้ฟังผ่านคอลัมน์นี้อีกครั้งนะคะ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022