จับสัญญาณ ‘2 ลุง’ แยกกันสู้ ลือสะพัดดีลบ้านป่าฯ-บ้านจันทร์ฯ ถอดรหัสกระแส ‘ไฟเขียว’ ก้าวไกล

จับสัญญาณ ‘2 ลุง’ แยกกันสู้ ลือสะพัดดีลบ้านป่าฯ-บ้านจันทร์ฯ ถอดรหัสกระแส ‘ไฟเขียว’ กก.-2 บิ๊กอำมาตย์ ฮา! เชียร์ ‘บิ๊กบี้’ นั่ง กห.

 

มีสัญญาณบางอย่างที่สะท้อนว่าฝ่ายอนุรักษนิยมยังไม่ยอมแพ้ แม้ผลการเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลจะมาอันดับ 1 และพรรคเพื่อไทยมาเป็นอันดับ 2 และทั้ง 2 พรรคนี้กำลังร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม

ที่ชัดเจนคือ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่ประกาศวางมือทางการเมือง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นมือขวาบิ๊กตู่อย่างธนกร วังบุญคงชนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ย้ำถึงสองครั้งว่า พล.อ.ประยุทธ์คงจะพอแล้วในทางการเมือง

แต่จากนั้น คำให้สัมภาษณ์เปลี่ยนไปว่า เป็นเรื่องของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ตนเองไม่ก้าวล่วง ก่อนที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช. จะแถลงยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์จะทำงานทางการเมืองในนามของพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไป ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์ของพรรค

สำทับด้วยคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ในการประชุมร่วมกับ 36 ว่าที่ ส.ส.ของพรรค ที่ให้กำลังใจและขอให้นิ่ง และยิ้มเข้าไว้ ยืนยันว่าจะได้เป็นรัฐบาลแน่นอน

ที่ทำให้ลูกพรรคมีกำลังใจมากขึ้น เพราะแม้จะไม่รู้ว่าจะมีหนทางใดที่จะได้เป็นรัฐบาลก็ตาม แต่มั่นใจว่า พล.อ.ประยุทธ์คงจะมีแนวทางไว้แล้ว

เพราะไม่ใช่แค่การเป็นรัฐบาลเท่านั้น แต่ว่าที่ ส.ส.หลายคนก็รู้สึก และตีความได้จากภาษากายและคำพูดต่างๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์ และนายพีระพันธุ์ แล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์อาจจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย

ด้วยเพราะมั่นใจว่า พรรคก้าวไกลจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะเจอทั้งด่านสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ส่วนใหญ่จะไม่สนับสนุน และงดออกเสียง ส่วนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ก็อาจจะโดนคดีถือครองหุ้นสื่อ

จากนั้นพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคอันดับ 2 ก็จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่ว่าจะเกิดม็อบส้มลงถนนจากความไม่พอใจ ที่ไม่ได้เป็นรัฐบาล และนายพิธาไม่ได้เป็นนายกฯ ก็ตามที

 

นอกจาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ประกาศวางมือทางการเมืองแล้ว บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก็ยังยืนยันที่จะเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ทำงานการเมืองต่อไป และไม่เคยคิดเรื่องการลาออก

แม้จะมีกระแสข่าวลือ จะยอมยุบพรรคพลังประชารัฐไปรวมกับพรรคเพื่อไทยเพื่อตั้งรัฐบาล หรือแม้แต่จะยอมลาออกเพื่อเปิดทางให้พรรคพลังประชารัฐไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย เพื่อตัดเงื่อนไขการถูกโจมตีว่าจับมือกับ พล.อ.ประวิตร

ถึงขั้นที่นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค พปชร. ยืนยันล่วงหน้าว่า หากจะเชิญพรรคพลังประชารัฐร่วมรัฐบาลจะต้องไม่บังอาจตั้งเงื่อนไขว่าต้องไม่มีลุง

ทั้งนี้เพราะมีรายงานข่าวลือ จากบ้านป่ารอยต่อฯ ว่า มีการเจรจาหารือกับบ้านจันทร์ส่องหล้า เรียบร้อยแล้ว ว่าจะให้ พล.อ.ประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรีตาม “ดีล” เดิม เพราะในเวลานี้สิ่งที่บ้านจันทร์ส่องหล้าต้องการคือให้อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทย แม้ว่าจะต้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย และต้องถูกคุมตัว และความปลอดภัย

และยังเป็นห่วงอุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หากต้องขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงในสถานการณ์เช่นนี้อาจจะไม่ราบรื่น

แต่ก็เป็นที่จับตามองว่าจะมีเหตุผลหรือกลยุทธ์ใดที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยไม่โดนถล่มที่ยอมให้ พล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ ทั้งๆ ที่มีเก้าอี้ ส.ส.มากกว่าพรรคพลังประชารัฐถึง 100 เก้าอี้

 

กระแสข่าวเหล่านี้ จึงทำให้แกนนำพรรคพลังประชารัฐและคนใกล้ตัว พล.อ.ประวิตร ต่างมีความหวัง แม้แต่ตัว พล.อ.ประวิตรเองก็ตาม

แต่แกนนำพรรคเพื่อไทยบางคนก็ยืนยันว่าแม้จะดึงพรรคพลังประชารัฐมาร่วมรัฐบาล แต่นายกรัฐมนตรีจะต้องมาจากแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่ พล.อ.ประวิตร

ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า หาก พล.อ.ประวิตรร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยและดึงพรรคร่วมรัฐบาลเดิมทั้งภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา เข้าร่วมแล้ว จะดึงพรรครวมไทยสร้างชาติของ พล.อ.ประยุทธ์ร่วมด้วยหรือไม่

บางกระแสระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร ได้กลับมาพูดคุยกันแล้ว หลังกลายเป็นทหารเสือฯ ที่แพ้การเลือกตั้ง เพราะแย่งดาวดวงเดียวกัน เพื่อหวังดึง พล.อ.ประวิตรออกมาจากพรรคเพื่อไทยให้มาจับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม

จนมีข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มือขวาบิ๊กป้อม มีการต่อสายคุยกัน จะจับมือกันสู้

แต่ดูเหมือนว่า พล.อ.ประวิตร และ ร.อ.ธรรมนัสจะแยกวงในการต่อสู้ เพราะบทเรียนในอดีตที่ได้รับจาก พล.อ.ประยุทธ์นั่นเอง

พล.อ.ประวิตรต้องการต่อสู้ในหนทางที่มีอยู่ โดยอาจจะให้พรรครวมไทยสร้างชาติมาร่วมรัฐบาลด้วย แต่มีเงื่อนไขต้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออกไม่มาเกี่ยวข้องกับพรรครวมไทยสร้างชาติ

แต่ดูเหมือนว่า ข้อเสนอนี้ของ พล.อ.ประวิตร ไม่โดนใจ พล.อ.ประยุทธ์ จึงมีการประกาศที่จะไม่วางมือทางการเมืองและทำงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไป พร้อมยืนยันจุดยืน เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทใด แม้แต่เป็นฝ่ายค้าน

ทั้งนี้เพราะนายพีระพันธุ์และแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ ต่างก็ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ดูแลพรรคต่อไป เพราะหากไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ ก็เหมือนขาดร่มโพธิ์ร่มไทร จึงมีการแถลงยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์จะไปต่อ

เพียงแค่ในเวลานี้ รอเวลา รอให้พรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ก่อน และรอจนกว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ หรือจะเจออุบัติเหตุทางการเมือง

เมื่อนั้นจะเป็นโอกาสของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะจับมือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย ตามสัญญาใจเดิม แต่อยู่ที่ว่านายอนุทินจะยอมให้ พล.อ.ประยุทธ์ซึ่งมี 36 ส.ส.เป็นนายกฯ ขณะที่พรรคภูมิใจไทยมี 70 ส.ส.หรือไม่

 

แต่มีข่าวสะพัดออกมาว่า พล.อ.ประยุทธ์หมายตาสูตรที่ 3 คือ สบายใจมากกว่าที่จะให้นายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี มากกว่าที่จะยอมให้แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย หรือ พล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ เพราะมั่นใจในนายอนุทินมากกว่า ในการดูแลระวังหลังให้ พล.อ.ประยุทธ์ที่หากลงจากการเมืองแล้วจะไม่โดนเช็กบิลย้อนหลัง

กว่าจะถึงวันนั้นก็ยังไม่มีใครประเมินได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะใช้แผนการใดที่จะกลับมาเป็นผู้มีชัยชนะเหนือพรรคเพื่อไทยและ พล.อ.ประวิตร เพื่อนำมาสู่สูตรตั้งรัฐบาลแบบที่ 3

เพราะหากจะรวบรวมพรรคร่วมรัฐบาลเดิมก็จะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยจะให้โหวตเลือกนายกฯ ก่อนโดยอาศัยเสียง ส.ว.ด้วย เมื่อได้เป็นนายกฯ แล้วจึงจะปฏิบัติการดูด ส.ส.จากพรรคอื่นมาเสริมรัฐบาล

และแน่นอนว่า หากเลือกวิธีนี้ก็ถือว่าไม่สง่างาม และสวนกระแสประชาชนที่ต้องการก้าวข้ามเจเนอเรชั่นไปสู่คนรุ่นใหม่ เพราะมีการวิเคราะห์กันในหลายวงการว่า อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนเลือกพรรคก้าวไกลมากขึ้นเพราะการเบื่อลุง เพราะ 9 ปีที่ พล.อ.ประยุทธ์ทำไว้ตั้งแต่รัฐประหารด้วยนั่นเอง

และจะกลายเป็นมลทินของ พล.อ.ประยุทธ์ และอาจนำมาซึ่งการต่อต้านอย่างรุนแรง ที่อาจจะเจอทั้งม็อบสีส้ม และม็อบสีแดง แต่ฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ก็เตรียมเสื้อเหลืองกันไว้แล้ว

 

สถานการณ์ทางการเมืองในเวลานี้จึงทำให้เกิดความหวาดหวั่นว่า หากเกิดม็อบ เกิดการจลาจลและความวุ่นวายขึ้นอาจจะเกิดการปฏิวัติรัฐประหารขึ้นมาอีกครั้ง

แม้ว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.จะยืนยันว่า โอกาสเป็นศูนย์ถึงติดลบ และให้ลบคำว่า “ปฏิวัติ” ออกจากพจนานุกรมของผู้สื่อข่าวและของกองทัพก็ตาม

ด้วยเพราะ พล.อ.ณรงค์พันธ์และผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดนี้จะเกษียณราชการ 30 กันยายนนี้แล้ว

และต้องไม่ลืมว่า เต็งหนึ่ง ผบ.ทบ.คนใหม่ คือ บิ๊กต่อ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ รอง ผบ.ทบ. น้องรัก สายทหารเสือราชินี ของ พล.อ.ประยุทธ์

แม้ไทม์ไลน์รัฐสภาจะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีราว 3 สิงหาคมนี้ก็ตาม แต่ก็คงจะเกิดปัญหาและอาจทำให้การโหวตเลือกนายกฯ ยืดเยื้อไปจนถึงเดือนกันยายน ที่จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์รักษาการยาวไปจนถึงตอนนั้น

และจะได้เป็นคนทูลเกล้าฯ โผแต่งตั้งโยกย้ายทหารครั้งใหญ่ ในต้นเดือนกันยายนนี้ด้วย เพราะนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ระบุว่า การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารและตำรวจ ไม่ต้องเข้าคณะรัฐมนตรี แต่มีบอร์ด 7 เสือ แต่งตั้งโยกย้ายของกลาโหม และ ก.ตร.ของตำรวจ ดังนั้น จึงไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อผ่านขั้นตอนของกองทัพก็สามารถส่งให้นายกรัฐมนตรีรักษาการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้เลย

ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะยังคงมีส่วนร่วมในการจัดโผทหารและโผตำรวจอยู่ แม้ว่าตามมารยาทแล้วควรจะต้องรอรัฐบาลใหม่ก็ตาม แต่หากการเลือกนายกรัฐมนตรีและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ยืดเยื้อ รัฐบาลรักษาการก็ต้องทำหน้าที่ไปพลางก่อน

พล.อ.ประยุทธ์ ที่ตอนนั้นจะยังเป็นนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม รักษาการอยู่ สามารถจะร่วมจัดทำโผทหารด้วย

ดังนั้น โอกาสที่ พล.อ.เจริญชัยจะได้เป็น ผบ.ทบ.คนใหม่ก็มีสูง หาก พล.อ.ณรงค์พันธ์ไม่ขัดข้อง แต่ก็จะทำให้ พล.อ.เจริญชัย น้องรักบิ๊กตู่ ถูกจับตามองอย่างหนัก และความหวาดหวั่นเรื่องการปฏิวัติรัฐประหารอาจจะกลับมาอีกครั้ง

 

แต่อย่างไรก็ตาม ในระหว่างความพยายามในการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ก็เกิดกระแสข่าวลือที่สะพัดในผู้สนับสนุน ระบุว่า แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลของพรรคก้าวไกลบางคนได้ไปพบปะพูดคุยกับ 2 พลเอก คีย์แมนของฝ่ายที่เคยถูกเรียกว่าอำมาตย์ ที่เป็นอดีตผู้นำกองทัพ ที่ยังมีบทบาทสำคัญในแวดวง รวมถึงมีบารมีในกองทัพ

โดยมีการทำความเข้าใจเรื่องจุดยืนของพรรคร่วมรัฐบาล และกรณีนโยบายแก้ไข ม.112 ของพรรคก้าวไกล และส่งผลให้ในบันทึกความเข้าใจ MOU ของ 8 พรรคร่วมรัฐบาล ไม่ระบุเรื่องแก้ไข ม.112 อีกทั้งการที่จะแก้ไข ม.112 นั้น ไม่ง่าย เพราะต้องผ่านสภา ซึ่งเสียงพรรคก้าวไกลพรรคเดียวไม่เพียงพอที่จะแก้ไขได้อยู่แล้ว

กระแสข่าวลือนั้น ยังระบุอีกว่า จึงมีไฟเขียวให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีได้ โดยจะส่งสัญญาณไปยัง ส.ว.ส่วนหนึ่ง จำนวนเพียงพอที่จะโหวตสนับสนุน และมองบวกว่า นายพิธาจะรอดคดีถือครองหุ้นสื่อไอทีวี

แต่คีย์แมนสายอำมาตย์ที่ถูกพาดพิง ยืนยันว่า ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือคุยกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ เรื่องการสนับสนุนนายพิธาแต่อย่างใด เพราะโดยสถานะ จะมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองไม่ได้ ไม่ว่าจะโดยส่วนตัว หรือโดยหน้าที่

กระแสข่าวนี้ สอดรับกับความเคลื่อนไหวของบิ๊กตำรวจคนสำคัญของ สตช. ที่เปิดโต๊ะเจรจา ทำความเข้าใจกับแกนนำพรรคก้าวไกล เรื่อง ม.112 ก่อนหน้านี้ด้วย

ที่หนักกว่านั้นคือ การวางตัว รมว.กลาโหมในรัฐบาลพรรคก้าวไกล ที่ทำให้มีข่าวว่า นายพิธาจะไม่ควบ รมว.กลาโหมแล้ว แต่มอง รมว.ต่างประเทศมากกว่า เพราะต้องให้คนที่ประสานกับทางกองทัพได้

จนเกิดการคาดเดากันในแวดวงทหารว่า ใครจะมาเป็น รมว.กลาโหม หากเป็นโควต้าของพรรคก้าวไกล ที่มีนโยบายปฏิรูปกองทัพ และยกเลิกเกณฑ์ทหาร มาใช้ระบบสมัครใจ

เพราะหากเป็นโควต้าพรรคเพื่อไทย ก็มีชื่อบิ๊กแป๊ะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกลาโหม ทีมที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์

 

เหล่านี้ ทำให้ฝ่ายพรรคก้าวไกล และพรรคร่วมรัฐบาล มีความหวังกับคำว่า “ได้ไฟเขียว” แล้ว ถึงขั้นมีข่าวลือออกมาว่า จะส่งบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ที่กำลังจะเกษียณ 30 กันยายนนี้ มาเป็น รมว.กลาโหม

ด้วยเหตุที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์เป็นนายทหารคอแดง เป็น ผบ.ทบ. และ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 และที่ผ่านมา แสดงออกถึงการเป็นทหารอาชีพ ที่ประกาศตั้งแต่วันแรกที่เป็น ผบ.ทบ.เมื่อเกือบ 3 ปีที่แล้ว ว่า จะไม่รัฐประหาร และโอกาสเป็นศูนย์ถึงติดลบ

และมาตอกย้ำเมื่อช่วงก่อนการเลือกตั้งว่าให้ลบคำว่า “ปฏิวัติ” ออกจากพจนานุกรมของผู้สื่อข่าวและของกองทัพด้วย ทำให้เกิดเสียงชื่นชมในความเป็นทหารอาชีพ

โดยเฉพาะเมื่อระบุว่าพร้อมที่จะคุยกับพรรคก้าวไกล หากเป็นรัฐบาลในประเด็นเรื่องการยกเลิกเกณฑ์ทหาร เพื่อมาใช้ระบบสมัครใจ

แต่อย่างไรก็ตาม ยากที่จะเป็นไปได้ เพราะ พล.อ.ณรงค์พันธ์มีจุดยืนเรื่องการปกป้องสถาบัน และประกาศตัวเป็นทหารพระราชามาตลอด อีกทั้งส่วนตัวก็ไม่ค่อยแฮปปี้กับแนวทางของพรรคก้าวไกลในเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 และกลุ่มผู้สนับสนุน โดยได้แสดงออกในทวิตเตอร์ส่วนตัวที่มีการรีทวีตข้อความต่างๆ ที่โจมตีพรรคก้าวไกล และกลุ่มต้าน ม.112 เสมอๆ

ดังนั้น กระแสข่าวลือนี้ จึงอาจต้องการสะท้อนว่า ได้ไฟเขียวแล้ว ซึ่งมีความย้อนแย้ง เพราะจะทำให้ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล และแก้ไข ม.112 อาจไม่พอใจก็เป็นได้

แต่กระแสข่าวลือในลักษณะนี้ ที่สร้างความหวังให้กับผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลแล้ว ถึงเวลาไม่สามารถฝ่าด่าน ส.ว.ไปได้ หรือที่สุดถูกสอยในคดีถือครองหุ้นสื่อก็จะยิ่งเป็นการปลุกกระแสความไม่พอใจ และอาจนำไปสู่ความรุนแรง และการลงถนน

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าหลังการเลือกตั้ง พล.อ.ณรงค์พันธ์ได้เดินทางไปเยือน ทบ.สหรัฐอเมริกา ทันทีในคืนวันนั้น และไปยาวที่สุด ตั้งแต่เป็น ผบ.ทบ.มาเกือบ 3 ปี เพราะไปทั้งที่ฮาวาย และอีกหลายรัฐ กลับไทย 28 พฤษภาคม เลยทีเดียว

เพราะหลังเลือกตั้ง กองทัพถูกวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายอนุรักษนิยม ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล เรื่องผลการเลือกตั้งในเขตทหาร ในหน่วยเลือกตั้งที่ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนส่วนใหญ่เป็นทหารและครอบครัว ที่โหวตให้พรรคก้าวไกลมากกว่าครึ่ง ทั้งใน กทม. และต่างจังหวัด โดยเฉพาะที่เป็นโรงเรียนทหาร ไม่ใช่แค่ของทหารบก แต่ทั้งทหารเรือ ทหารอากาศก็โหวตไปในทิศทางเดียวกัน

ด้วยเพราะนโยบายของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ไม่ให้มีการสั่งหรือชี้นำให้กำลังพลโดยเฉพาะทหารกองประจำการ หรือทหารเกณฑ์ สนับสนุนใคร เพราะมีบทเรียนกันมาแล้วว่า หากมีการสั่ง ข่าวจะรั่ว จะมีการร้องเรียนเกิดขึ้น ดังนั้น จึงกลายเป็นเรื่องที่รับรู้กันภายในกองทัพและเงียบๆ กันไป

เพราะสัญญาณเหล่านี้ ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นในการเลือกตั้ง 2566 แต่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่การเลือกตั้ง 2562 มาแล้ว ที่ส่วนใหญ่ทหารเกณฑ์จะชื่นชอบพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ จนที่สุดกลายมาเป็นพรรคก้าวไกล และไม่ใช่แค่ทหารเกณฑ์เท่านั้น แต่นายทหารไม่ว่าจะเป็นสัญญาบัตรและชั้นประทวนจำนวนไม่น้อยรวมทั้งครอบครัวก็เอนเอียงไปทางสีส้มและสีแดง

อันเป็นการสะท้อนถึงความต้องการให้มีการปฏิรูปกองทัพ การปรับเปลี่ยนหลายอย่างในกองทัพ และผลกระทบที่เกิดจากการมีทหารคอแดง และการทำงานที่เปลี่ยนไป

ส่วนบรรดาพลทหารกองประจำการนั้น ต่างไม่ต้องการให้มีการเกณฑ์ทหาร ไม่อยากให้รุ่นหลังต้องโดนเกณฑ์ทหารแบบพวกตนเอง

 

เหล่านี้ คือปัญหาที่กองทัพต้องปรับตัว พร้อมรับคนรุ่นใหม่ในกองทัพ ที่มีแนวคิดแตกต่าง หลากหลาย ที่ในอนาคตจะมากขึ้นๆ และกลายเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ

โลกหมุนเร็วขึ้น ข้ามเจเนอเรชั่น “ลุง” มาสู่คนรุ่นใหม่กันแบบฝ่ายอนุรักษนิยมตั้งตัวไม่ทัน เร่งปรับกลยุทธ์สู้ ที่แน่นอนว่าวิธีการต่อสู้ก็ต้องปรับเปลี่ยนใหม่หมดเช่นกัน

หมดยุคลุงๆ แล้ว อย่าฝืน!!