‘รัก’ ใน ‘รอยแค้น’ มากรัก แห่ง ลิ่มเซียนยี้ ‘รัก’ ที่ไม่ ‘สมหวัง’

บทความพิเศษ

 

‘รัก’ ใน ‘รอยแค้น’

มากรัก แห่ง ลิ่มเซียนยี้

‘รัก’ ที่ไม่ ‘สมหวัง’

 

ที่เรียกว่า “ตอเช้งเกี่ยม บ้อเช้งเกี่ยม” ที่อาจเรียกว่า “มากรัก” ได้มิใช่ลี้คิมฮวง มิใช่เล้งโซ่วฮุ้น และมิใช่อาฮุย

เพราะว่าอาวุธของลี้คิมฮวง คือ มีด และเป็น “มีดสั้น”

เพราะว่าอาวุธของเล้งโซ่วฮุ้นคือ ทวน และเป็นเพลงทวนนั้นเองที่เล้งโซ่วฮุ้นใช้ในการช่วยชีวิตลี้คิมฮวง ณ นอกด่าน

จากนั้น ทั้งสองก็สาบานเป็น “เฮียตี๋” มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน

จึงมีเพียงอาฮุยเท่านั้นที่ถือได้ว่าเป็น “มือกระบี่” แม้ในสายตาของชายฉกรรจ์เคราครึ้ม “นั่นนับเป็นกระบี่เล่มหนึ่งหรือ”

เพราะเพียงเป็นแผ่นเหล็กที่มีความยาว 3 เชียะ ทั้งไม่มีคม ทั้งไม่มีโกร่ง

กระนั้น ทุกอย่างเป็นไปดังคำทำนายในลักษณะสรุปจากลี้ชิ้มฮัว “ของเล่นชิ้นนี้อันตรายยิ่ง ยังคงอย่าได้ล้อเล่นกับมันยังประเสริฐกว่า”

ไม่ว่ามีดสั้น ไม่ว่าทวน ไม่ว่ากระบี่ล้วนเป็น “อาวุธ”

มองผ่าน “จอมยุทธ์” มองผ่าน “มือกระบี่” เป็นไปได้ว่าอาจ “มากรัก” แต่เมื่อถึงจุดแน่นอนหนึ่ง

ไม่ว่ามีดสั้น ไม่ว่าทวน ไม่ว่ากระบี่ล้วน “ไร้น้ำใจ”

 

คําว่า “มากรัก” อาจใกล้เป็นอย่างยิ่งกับคำว่า “มากน้ำใจ” กระนั้น คำว่ามากรักมิอาจใช้ได้กับลี้คิมฮวง มิอาจใช้ได้กับเล้งโซ่วฮุ้น

ยิ่งมิอาจใช้ได้กับอาฮุย

เพราะอาฮุยจิตหนึ่งใจเดียวมีแต่สยบยอมอยู่กับลิ่มเซียนยี้เท่านั้น เพราะลี้คิมฮวงแม้จะได้ชื่อว่ากรุยกรายมีสัมพันธ์กับโฉมสะคราญมากหลายในวัยหนุ่ม

แต่เมื่อปักใจรักก็รักเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือ ลิ่มซีอิม

ความมากรัก ความมากน้ำใจของมันจะสะท้อนออกก็เมื่อต้องเผชิญกับข้อเสนอจากเล้งโซ่วฮุ้นซึ่งเป็นสหาย

ทั้งยังเป็นสหายที่เคยช่วยชีวิต

มันจึงกลายเป็นคน “ไร้” น้ำใจ กระทั่ง สร้างเรื่องราวมากหลายเพื่อสนองตอบต่อเป้าหมายของเล้งโซ่วฮุ้น

แม้เสียสละไปแล้วก็ยังเปี่ยมด้วยอาวรณ์ ถวิลหา

รูปธรรมอันเด่นชัดสะท้อนผ่านการแกะสลักรูปของคนคนหนึ่ง สลักด้วยความชำนิชำนาญบนฐานแห่งความทรงจำอันตรึงตรา

ห่วงหาอาวรณ์คือเส้นไหมแดงร้อยเชื่อม

 

เป็นลิ่มเซียนยี้ต่างหากที่เหมาะสมอย่างยิ่งยวดต่อคำว่า “มากรัก” ตลอดทั้งเรื่องของ “ตอเช้งเกี่ยม บ้อเช้งเกี่ยม” จึงร้อยรัดไว้ด้วยความมากรัก

ความมากรักของหลาย “จอมยุทธ์”

แวดล้อมอยู่โดยรอบกับความงามอันตรึงตราของลิ่มเซียนยี้ และจังหวะอันจัดเจนในการบริหาร “เสน่ห์” ของนาง

ไม่ว่าลูกหลานตระกูลใหญ่ ไม่ว่าสมณะในผ้าเหลือง

นอกจากความงามของลิ่มเซียนยี้แล้วยังพลัดหล่นเข้าไปในวิธีวิทยาแห่งการบริหารเสน่ห์อันเชี่ยวชำนาญ

อาวุธของลี้คิมฮวงอาจเป็นมีดสั้น อาวุธของอาฮุยอาจเป็นกระบี่

แต่กล่าวสำหรับลิ่มเซียนยี้แล้วย่อมเป็น “เรือนร่าง” อันสะพรั่งของนาง ย่อมเป็นความสามารถในการใช้ความงามมาเป็นอาวุธ

หลอกล่อให้ “จอมยุทธ์” พลัดหล่นลงไปสยบยอม

การคิดประดิษฐ์สร้าง “โจรดอกเหมย” ขึ้นมาจึงเป็นกลยุทธ์อันแยบยลยิ่ง ประสานเข้ากับการเอาความงามวางเป็น “เดิมพัน”

ร้อยเชื่อมเป็นเรื่องราวเป็นที่ปรากฏ

ไม่ว่าจะเรียกว่า “ตอเช้งเกี่ยม บ้อเช้งเกี่ยม” ไม่ว่าจะถอดออกมาเป็น “ฤทธิ์มีดสั้น” ไม่ว่าจะถอดออกมาเป็น “เซี่ยวลี้ปวยตอ มีดบินไม่พลาดเป้า”

แท้จริงแล้ว “ลิ่มเซียนยี้” ต่างหากที่ “ชักใย”

 

ถือเป็นความสามารถของ “โกวเล้ง” เป็นความสามารถในการนำเอาเรื่องราวอันเหลือเชื่อสอดประสานเข้ากับกลิ่นอายแห่งความเป็นสมัยใหม่

จากยุทธนิยาย “ดั้งเดิม” มาเป็นยุทธนิยาย “ร่วมสมัย”

มีกลิ่นอายโบราณผ่านกระบวนการดำรงอยู่ของแต่ละจอมยุทธ์ แฝงกลิ่นอายยุคใหม่เข้าไปภายในอารมณ์อันสลับซับซ้อน

เป็นการผสม “จินตนิยาย” เข้ากลมกลืนกับ “สัจจะนิยาย”

เส้นทางความสัมพันธ์ 3 เส้าระหว่างลิ่มซีอิมกับลี้คิมฮวงและเล้งโซ่วฮุ้นเป็นโรแมนติกที่เหลื่อมซ้อนจะพลัดหล่นลงไปในปลัก “น้ำเน่า” แน่นอน

แต่การสะท้อนแต่ละ “อารมณ์” ออกมามากด้วยความซับซ้อน

การดำรงอยู่ของ “ตัวละคร” สำคัญไม่ว่าจะเป็นลี้คิมฮวง ไม่ว่าจะเป็นอาฮุยจึงมากด้วยความขัดแย้ง ยอกย้อน

ขัดแย้งกับภาววิสัย ขัดแย้งแม้กับอัตวิสัยแห่งตน

เมื่อมีลิ่มเซียนยี้โถมเข้ามาบริหารความขัดแย้งผ่านการจัดการด้านเสน่ห์และความงามจึงเกิดคำถามตามมามากมาย

แท้จริงแล้ว เป้าหมายของนางเพื่ออะไรกันแน่

เพราะไม่เพียงแต่นางจะร่วมมือกับเล้งโซ่วฮุ้น เพราะไม่เพียงแต่นางจะร่วมมือกับอาฮุย หากแต่ยังทำให้วิถีแห่งลี้คิมฮวงมิได้ดำเนินไปอย่างเป็นเส้นตรง

จากคฤหาสน์เมฆเรืองโรจน์ไปยังสำนักเสียวลิ้มยี่

 

เหมือนกับความพยายามของลี้คิมฮวงเมื่อได้รับการหนุนเสริมจาก 1 ชายชรา 1 โกวเนี้ยเปียยาวแห่งตระกูลซุน

โดยมีอาฮุยเข้ามาในจังหวะอันเหมาะสม

ในที่สุด คำถามอันเริ่มจากการแย่งชิงอาวุธวิเศษอย่าง “เกราะใยทอง-กิมซีกะ” บนฐานแห่งความต้องการจะจัดการกับ “โจรดอกเหมย”

ก็ค่อยๆ คลี่คลายออกเป็นลำดับ

โดยเฉพาะเมื่อลี้คิมฮวงจำต้องเดินทางย้อนกลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลลี้อันกลายมาเป็นคฤหาสน์เมฆเรืองโรจน์

ไม่ว่ากรณีของคูต๊ก ไม่ว่ากรณีของอิ้วเล้งเซ็ง

ยิ่งเมื่อซิมไบ๊ไต้ซือพร้อมกับผู้ติดตามอีก 4 เดินทางมาถึงและเกาะกุมตัวลี้คิมฮวงไปยังวัดเสียวลิ้มยี่

คำถามจำนวนมากของมันก็เริ่มคลี่คลาย

การทำความกระจ่างต่อกรณีคัมภีร์ของวัดเสียวลิ้มยี่หายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยมีบทบาทของซิมก่ำไต้ซือ กับแป๊ะเฮี่ยวเซ็งเข้ามาเกี่ยวข้อง

มี “คำถาม” แต่ก็ยังไม่ปรากฏ “คำตอบ” ที่แน่ชัด

กลวิธีทางการประพันธ์ของ “โกวเล้ง” เป็นกลวิธีที่เปิดคำตอบไปพร้อมกับความสงสัยของตัวละครตลอด 2 รายทางที่มันประสบ

เมื่อลี้คิมฮวงตั้ง “คำถาม” อาฮุยกลับเป็นผู้ให้ “คำตอบ”

 

ลี้คิมฮวงคลำหาคำตอบได้อย่างค่อนข้างแน่ชัดเมื่อประสบเข้ากับกรณีคัมภีร์หายจากสำนักเสียวลิ้มยี่

เนื่องจากมี “สมณะ” เข้ามามีส่วนร่วม

โดยเฉพาะเมื่อเป็นซิมก่ำไต้ซือซึ่งเคยมีชื่อเสียงในยุทธจักรตั้งแต่ยังเป็นฆราวาสในนามเสียงงัก

จึงไม่น่าเชื่อว่าเป้าหมายของมันจะอยู่ที่ความเป็นใหญ่

บทสรุปของลี้คิมฮวงจึงน่าจะเพราะมันลุ่มหลงในเครื่องร้อยรัดทางอารมณ์เป็นตัณหาและราคะต่างหาก

“โจรดอกเหมย” จึงมิน่าจะเป็นบุรุษ หากแต่เป็นสตรี

ความจริง ลี้คิมฮวงมีคำตอบอยู่แล้ว แต่เนื่องจากมันเกรงใจอาฮุยจึงไม่กล้าระบุนามของลิ่มเซียนยี้ออกมา

มันจึงรอเวลาให้อาฮุยได้คำตอบด้วยตนเอง

จึงเมื่ออาฮุยย้อนกลับไปหาลิ่มเซียนยี้มันจึงได้คำตอบเพราะพบเห็นลิ่มเซียนยี้กำลังอ่านคัมภีร์ที่หายไป

ทุกอย่างจึงคาหนังคาเขา

กระนั้น เพราะตกอยู่ในวงแขนแห่งความลุ่มหลงต่อลิ่มเซียนยี้มันจึงมิอาจสลัดได้หลุดพ้นแม้จะรู้ว่าเจ็บปวดและทรมาน

อาฮุยจึงตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับลิ่มเซียนยี้

 

อาฮุยต้องการลิ่มเซียนยี้อย่างแน่นอน แต่มันไม่ได้และไม่เคยได้ ลิ่มเซียนยี้ต้องการสยบลี้คิมฮวงอย่างแน่นอน

แต่นางไม่บรรลุเป้าหมาย แม้จะพยายามอย่างเต็มกำลัง

บทจบของ “ตอเช้งเกี่ยม บ้อเช้งเกี่ยม” จึงมิได้เป็นบทจบ หากเสมอเป็นเพียงการส่งสัญญาณแห่งการเริ่มต้นอีกครั้งเพื่อเป็นคำตอบ

นั่นก็คือ “ทิต้าไต้เฮียบฮุ้น” นั่นก็คือ “ธาตุแท้วีรบุรุษหาญกล้า”