ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 พฤษภาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | มุมมุสลิม |
เผยแพร่ |
มุมมุสลิม | จรัญ มะลูลีม
การมีส่วนร่วมของซาอุดีอาระเบีย
กับประเทศมุสลิม
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (3)
มาเลเซียและซาอุดีอาระเบียตกลงที่จะกระชับการติดต่อและความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและภาคเอกชนในทั้งสองประเทศ เพื่อขยายขอบเขตของความสัมพันธ์ทวิภาคีเพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ
แถลงการณ์ร่วมที่ออกมา หลังจากการเยือนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีตัน ศรี มุห์ฮัยยิดดิน ยัสซีน อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย (ก่อนหน้าการขึ้นสู่อำนาจของอันวาร์ อิบรอฮีม) ไปยังซาอุดีอาระเบีย ระบุว่า การเยือนของมุห์ฮัยยิดดีน ยัสซีน ตามคำเชิญของกษัตริย์ซัลมาน บิน อับดุลอาซิส อัล สะอูด สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง และความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ที่ใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและประชาชนของสองประเทศ
ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของการขยายระดับการประสานงานและการปรึกษาหารือเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ ของความร่วมมือทวิภาคี รัฐมนตรีต่างประเทศดะโต๊ะ ซรี อิชามุดดีน ฮุสเซน (Datuk Seri Hishammuddin Hussein) และเจ้าชายฟัยซ็อล บิน อับดุลลอฮ์ อัลสะอูด (Faisal bin Farhan Al Saud) ซึ่งเป็นคู่เจรจาของซาอุดีอาระเบียได้ลงนามในรายงานการประชุมของสภาการประสานงานมาเลเซีย (SMCC)
ทั้งสองประเทศเห็นพ้องกันถึงความจำเป็นในการกระชับความสัมพันธ์และความพยายามของโลกอิสลามในการเผชิญหน้ากับลัทธิสุดโต่งและการใช้ความรุนแรง ปฏิเสธการแบ่งแยกสำนักคิดทางศาสนาและขับเคลื่อนโลกอิสลามไปสู่อนาคตที่ดีกว่าภายใต้กรอบขององค์กรความร่วมมืออิสลาม (Organization of Islamic Cooperation) ในการแสวงหาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
ทั้งสองประเทศยังย้ำถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการป้องกันและการทหาร การพัฒนาพื้นที่สำหรับการฝึกและการฝึกร่วม และแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญทางการทหาร
ในแง่ที่เกี่ยวกับวิสัยทัศน์ปี 2030 ของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ทั้งสองประเทศได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเสริมสร้างและยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าด้วยการสำรวจพื้นที่การลงทุนและโอกาส ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความร่วมมือในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมอาหาร
ความคิดริเริ่มเหล่านี้ยังรวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันและบริษัทที่เกี่ยวข้องในทั้งสองประเทศ ในด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ปัญญาประดิษฐ์ และนวัตกรรม
การต่อสู้กับการก่อการร้าย
และความสัมพันธ์ทางศาสนาและวัฒนธรรม
หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 สถานการณ์ทางการเมืองทั้งหมดได้เปลี่ยนไปและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโลกมุสลิม ความรุนแรงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในอัฟกานิสถานหรือแอฟริกาเหนือเท่านั้น เพราะโลกอิสลามเป็นภูมิภาคที่กว้างใหญ่และหลากหลายประกอบด้วยกลุ่มประเทศที่มีประชากรมุสลิมจำนวนมาก ซึ่งทอดยาวตั้งแต่โมร็อกโกไปจนถึงภาคใต้ของฟิลิปปินส์
ควรกล่าวเอาไว้ในที่นี้ด้วยว่า ศาสนา การเมือง และวัฒนธรรมมีความเชื่อมโยงกันในโลกมุสลิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ประเทศมุสลิมจำนวนมากทั่วโลกมีส่วนร่วมอยู่ในความขัดแย้งทางการเมือง สงครามกลางเมือง และการปะทะกันอื่นๆ
อินโดนีเซียยังคงเป็นตัวอย่างที่ดีในการรักษาแนวทางแบบพหุนิยมเอาไว้
ประชาธิปไตยในเวอร์ชั่นของอินโดนีเซียไม่เพียงแต่หักล้างความเชื่อผิดๆ ที่ว่าอิสลามกับประชาธิปไตยนั้นเข้ากันไม่ได้
แต่ยังแสดงให้เห็นว่าอิสลามสามารถจัดการและรักษารัฐชาติสมัยใหม่ไว้ได้อย่างไรอีกด้วย
อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ แต่อิสลามไม่ใช่ศาสนาประจำชาติ ในความเป็นจริงไม่มีศาสนาอย่างเป็นทางการที่กล่าวถึงในรัฐธรรมนูญของอินโดนีเซีย
ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าตะวันออกกลางเท่านั้นที่เป็นตัวแทนของศาสนาอิสลาม
ซึ่งแน่นอนว่าอิสลามมิได้ถูกนำมาเป็นประเด็นทางการเมือง และไม่ได้ถูกนำมาเป็นประเด็นทางศาสนาแต่อย่างใด
อิสลามในภูมิภาคอื่นๆ ของโลกที่มิใช่ตะวันออกกลางก็ได้พัฒนาคุณลักษณะของตนเองเช่นกัน ประเทศอินโดนีเซียเป็นดินแดนของชาวมุสลิมถึงร้อยละ 13 และมีทรัพยากรน้ำมันและก๊าซมากมาย
อย่างหลังสามารถช่วยให้อินโดนีเซียเทียบเคียงกับซาอุดีอาระเบียได้
ในขณะที่อดีตของอินโดนีเซียก็มีความโดดเด่นในด้านอำนาจศาล
ในประเด็นด้านความมั่นคง ซาอุดีอาระเบียและอินโดนีเซียได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านกลาโหม (DCA) ในปี 2014 ซึ่งครอบคลุมการฝึกอบรม การศึกษา การต่อต้านการก่อการร้าย และความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมกลาโหม
ข้อตกลงอินโดนีเซีย-ซาอุดีอาระเบียมีความคล้ายคลึงกันกับข้อตกลงของซาอุดีอาระเบียกับปากีสถาน องค์ประกอบการต่อต้านการก่อการร้ายก็น่าสนใจเนื่องจากองค์ประกอบดังกล่าวทำหน้าที่ส่งเสริมการเป็นสมาชิกในเวทีการต่อต้านการก่อการร้ายของโลก (Global Counterterrorism Forum – GCTF) ของซาอุดีอาระเบียและอินโดนีเซีย ซึ่งออกแบบมาเพื่อแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดี
อินโดนีเซียตระหนักถึงภัยคุกคามจากลัทธิหัวรุนแรงและเป็นผู้นำคณะทำงานควบคุมตัวและการส่งกลับคืนสู่สังคมใน GCTF ความร่วมมือของซาอุดีอาระเบียและอินโดนีเซียจะยังคงมีความสำคัญในการยับยั้งภัยคุกคามข้ามชาติที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มก่อการร้าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการโจมตีในซีเรียและอิรักบ่งชี้ว่ากลุ่มไอเอส (IS) อาจกลับมาผงาดอีกครั้ง
หลังจากได้รับอิทธิพลเพิ่มขึ้นจากนักวิชาการชาวซาอุดีอาระเบียตลอดช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมาแล้วทั้งสองประเทศได้พัฒนาความร่วมมือด้านการศึกษาอิสลามศึกษามากขึ้น
ในมาเลเซีย ซาอุดีอาระเบียยังบริจาคให้กับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม
มีการมอบทุนการศึกษาให้กับนักวิชาการเพื่อศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของซาอุดีอาระเบีย เช่น มหาวิทยาลัยอิสลามแห่งมะดีนะฮ์ ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์อิสลามแห่งมาเลเซีย (USIM) ได้รับเงินทุนจำนวนมากจากซาอุดีอาระเบียเช่นกัน
USIM ในมาเลเซีย มหาวิทยาลัย King Saud ในริยาด (ริยาฏ) และมหาวิทยาลัยอิสลามแห่งมะดีนะฮ์จึงมีส่วนพัฒนาอิสลามศึกษาร่วมกัน
มาเลเซียได้รับเงินสนับสนุนที่เป็นทุนด้านการศึกษาจากซาอุดีอาระเบียอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อดำเนินการในสถาบันอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่มหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติแห่งมาเลเซีย (IIUM) และองค์กรเผยแผ่อิสลาม (Dahwa) หลายแห่ง
เช่นเดียวกับโรงเรียนสอนศาสนาในมาเลเซียที่จะทำงานควบคู่ไปกับการดำเนินการตามกระบวนการทำให้เป็นอิสลามในสถาบันของรัฐบาลและธนาคารเพียงไม่กี่แห่ง แทนที่จะใช้กฎหมายอิสลามทั้งฉบับในสถาบันต่างๆ ของมาเลเซีย
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022