เสฐียรพงษ์ วรรณปก : บางแง่มุมเกี่ยวกับพระพุทธองค์ (16) เหตุผลที่ทรงแต่งตั้งพระอัครสาวก

อ่านพุทธประวัติไปเรื่อย คิดไปเรื่อยๆ ก็ได้ทั้งคำถามและคำตอบ บางคำถามก็ไม่ได้คำตอบ หรือได้มายังไม่สนิทใจ ก็คงหาไปเรื่อยๆ เป็นการประเทืองปัญญา และเหนือสิ่งอื่นใดเป็นการเพิ่มศรัทธาปสาทะ ในสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามากยิ่งขึ้น

พระพุทธองค์ตรัสไว้ในพระสูตรหนึ่งว่า เพียงคิดในเรื่องกุศล ยังมีอานิสงส์มหาศาล ไม่จำเป็นต้องพูดถึงการกระทำ

หมายถึงความคิดเรื่องดีๆ ก็มีผลในทางดีมหาศาลแล้ว ถ้าลงมือทำด้วย ก็จะยิ่งเพิ่มพูลผลมหาศาลขึ้นไปอีก

คิดถึงพระพุทธองค์ก็จิตใจผ่องแผ้วปานนี้ ถ้าดำเนินรอยตามพระยุคลบาท จะผ่องแผ้วปานใดคิดเอาก็แล้วกันครับ

วันนี้อ่าน พระวินัยปิฎกเล่มที่ 4 ที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับพุทธประวัติตั้งแต่ตอนตรัสรู้จนกระทั่งถึงประกาศพระพุทธศาสนาจนมั่นคงเจริญแพร่หลายในแคว้นมคธ อ่านถึงตอนทรงประกาศแต่งตั้งพระอัครสาวกก็ทำให้เกิดคำถามว่า ทำไม

ทำไมของผมก็คือ ทำไมพระพุทธองค์ทรงประกาศแต่งตั้งท่านทั้งสอง (พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ) เป็นอัครสาวก ทั้งๆ ที่ท่านอายุพรรษาน้อย และเหนืออื่นใด ตั้งแต่ท่านทั้งสองยังไม่ได้อุปสมบทเสียด้วยซ้ำ

เรื่องมีอยู่ว่า อุปติสสะมาณพ และ โกลิตะมาณพ เป็นสหายรักกัน เบื่อชีวิตครองเรือนที่วุ่นวาย จึงพากันไปศึกษาอยู่กับ อาจารย์สัญชัย เวลัฏฐบุตร หนึ่งใน “ครูทั้งหก” ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยพุทธกาล ท่านสัญชัยสอนปรัชญาที่สมัยนี้รู้จักกันในนามว่า skepticism เรียกตามศัพท์บาลีว่า อมราวิกเขปิกา

“อมราวิกเขปิกา” โบราณแปลว่า ทฤษฎีที่ลื่นไหลไปเรื่อยๆ ดุจปลาไหล คือไม่ยืนยันหรือปฏิเสธทฤษฎีใดๆ แน่นอน กลัวจะเป็นการผูกมัดตัวเอง สงสัยมันไปเรื่อยไป สองบวกสองเขาว่าเป็นสี่ มันจะเป็นสี่จริงหรือไม่ ทำไมมันเป็นสี่ เป็นห้าเป็นหกไม่ได้หรือ อะไรทำนองนี้แหละครับ อย่าให้ผมอธิบายเลย เดี๋ยวเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่

ท่านทั้งสองศึกษาอยู่จนจบหลักสูตรของอาจารย์แล้ว ก็รู้สึกว่ามิใช่แนวทางที่ตนเองต้องการ จึงตกลงกันเงียบๆ ว่า จะแสวงหาอาจารย์ที่สามารถชี้แนะแนวทางที่ดีกว่านี้ ใครพบก่อนกันก็ให้แจ้งแก่อีกฝ่ายหนึ่งด้วยจะได้ไปด้วยกัน

อุปติสสะพบ พระอัสสชิ น้องสุดท้องแห่งปัญจวัคคีย์ ขณะท่านเดินบิณฑบาตอยู่ รู้สึกประทับใจ จึงเข้าไปขอให้ท่านสอนธรรมให้ พระอัสสชิท่านออกตัวว่ายังเป็นพระนวกะอยู่ สอนให้ไม่ได้มาก อุปติสสะเรียนท่านว่า สอนสั้นๆ ก็ได้ พระเถระจึงกล่าวคาถาอันเป็นหัวใจของอริยสัจสี่ให้ฟังว่า

“สิ่งทั้งหลายเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าตรัสเหตุของสิ่งเหล่านั้น และการดับเหตุของสิ่งเหล่านั้น พระมหาสมณะสอนอย่างนี้”

คาถานี้เรียกกันว่า คาถาเยธัมมา เพราะขึ้นต้นด้วยคำว่า “เย ธัมมา” สมัยโบราณถือเป็น หัวใจพระพุทธศาสนา มักจะจารหรือสลักไว้ให้ศึกษากันต่อๆ มา ดังจารึกพระเจ้าอโศกที่ค้นพบที่นครปฐม เป็นต้น

พอท่านอัสสชิกล่าวจบ อุปติสสะก็ดวงตาเห็นธรรม กลับไปบอกโกลิตะ โกลิตะก็ดวงตาเห็นธรรมเช่นกัน ทั้งสองจึงไปชวนอาจารย์สัญชัยไปบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าด้วยกัน

ชวนด้วยความปรารถนาดีครับ แต่คนระดับสัญชัยเป็นอาจารย์คนแล้ว จะลดฐานะเป็นลูกพรรค เอ๊ยสาวกของคนอื่น พูดได้คำเดียวว่า ยาก ท่านจึงปฏิเสธ บอกศิษย์ว่า เธอทั้งสองอยากไปเป็นศิษย์สมณโคดมก็ไปเถิด อย่ามาชวนข้าให้ยากเลย ครั้นทั้งสองรบเร้าว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ตรัสรู้ชอบเอง เป็นผู้รู้แจ้งจริง อาจารย์น่าจะไปเป็นสาวกของพระองค์ พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้วอย่างนี้ ต่อไปคนทั้งหลายก็หลั่งไหลไปฟังธรรมจากพระพุทธองค์ แล้วอาจารย์จะอยู่ได้อย่างไร

สัญชัยจึงถามว่า ในโลกนี้คนโง่มาก หรือคนฉลาดมาก

“คนโง่มากกว่าครับ” ศิษย์ทั้งสองตอบ

“ถ้าเช่นนั้น คนโง่ๆ มันจะเป็นศิษย์ของข้าเอง เธอทั้งสองไม่ต้องกลัวว่าข้าจะไม่มีศิษย์ดอก คนฉลาดๆ อย่างเธอทั้งสอง จะไปเป็นศิษย์สมณโคดมก็ตามใจ”

ไม่รู้ว่าพูดด้วยใจจริงหรือพูดทำนองประชดประเทียด แต่ศิษย์ทั้งสองก็อำลาอาจารย์ไปยังพระเวฬุวัน เพื่อบวชเป็นสาวกของพระพุทธองค์ในที่สุด

ขณะนั้นพระพุทธองค์ประทับท่ามกลางพุทธบริษัทจำนวนมาก ทอดพระเนตรเห็นสองท่านกำลังเดินมา ตรัสบอกภิกษุสงฆ์ว่า ภิกษุทั้งหลาย มานพทั้งสองคนนี้จะเป็นอัครสาวกของเราตถาคต

ทรงประกาศแต่งตั้งให้เป็นอัครสาวกตั้งแต่ท่านทั้งสองยังไม่ได้บวชแน่ะครับ

หลังจากบวชแล้ว 7 วัน โกลิตะ ต่อมาเรียกกันว่า พระโมคคัลลานะ ก็ได้บรรลุพระอรหัต และ 14 วัน อุปติสสะ ต่อมาเรียกกันว่า พระสารีบุตร ก็ได้บรรลุพระอรหัต

วันที่ท่านพระสารีบุตรบรรลุพระอรหัต ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือนมาฆะพอดี คืนวันนั้นเองพระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทปาติโมกข์ ที่ประกอบด้วย จาตุรงคสันนิบาต (การประชุมใหญ่อันประกอบด้วยองค์ 4) อันเป็นต้นเหตุให้เกิดวันมาฆบูชา ในเวลาต่อมา

จากนั้นพระพุทธองค์ทรงประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา เลิศกว่าผู้อื่นในทางมีปัญญามาก พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เลิศกว่าผู้อื่นในทางมีฤทธิ์มาก

ถามว่าทำไมพระพุทธองค์จึงทรงแต่งตั้งทั้งสองท่าน ซึ่งอายุพรรษาน้อยกว่าพระภิกษุรูปอื่นๆ ทำไมพระองค์จึงทรงละเลยพระเถระผู้ใหญ่อื่นๆ เช่น พระมหากัสสปะ พระอัญญาโกณฑัญญะ หรือแม้แต่พระอัสสชิ อาจารย์รูปแรกของพระสารีบุตร ทรงเห็นแก่ท่านทั้งสอง หรือว่าทรงโปรดปรานอะไรท่านทั้งสองเป็นพิเศษหรือ

ดูคำตอบในอรรถกถา ท่านบอกว่า เพราะท่านทั้งสองได้ตั้งความปรารถนาต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าในอดีตพระองค์หนึ่ง ท่านทั้งสองได้เห็นพระอัครสาวกทั้งสองของพระพุทธเจ้า อยากจะทำหน้าที่รับใช้พระพุทธเจ้าอย่างนั้นบ้างในอนาคต จึงตั้งความปรารถนาไว้ ว่าอย่างนั้น

ก็ฟังท่านครับ แต่ก็ยังไม่สนิทใจร้อยเปอร์เซ็นต์ มันน่าจะมีเหตุผลอื่นใดนอกจากยกอดีตชาติไหม ผมคิดเล่นๆ ตามประสาผมว่า น่าจะมีนะครับ ถ้าดูตาม บริบท (ข้อความแวดล้อม) น่าจะเป็น

ดังนี้ครับ

ในช่วงนี้ พระพุทธองค์เริ่มประกาศพระพุทธศาสนาใหม่ๆ แนวทางที่พระองค์ทรงเผยแพร่นั้นขัดแย้งกับลัทธิ ความเชื่อถือของคนสมัยนั้นชนิดหน้ามือหลังมือทีเดียว คนสมัยนั้นเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า (พระพรหม) และเชื่อในเรื่องวรรณะ ค่านิยม ความดีความชั่วขึ้นอยู่กับวรรณะที่แต่ละคนเกิด เกิดในวรรณะสูงเป็นคนดี เกิดในวรรณะต่ำเป็นคนชั่ว โดยอัตโนมัติ

พระพุทธเจ้าจะต้องแสดงเหตุผลหักล้างความคิดความเชื่อเหล่านี้ให้เขาเห็นชัด เขาจึงจะสละความคิดความเชื่อเดิมๆ นี้ได้ ภาระหน้าที่ด้านปัญญาเป็นเรื่องสำคัญ พระองค์ทรงต้องการ มือ มาช่วยทำงานเผยแพร่พระพุทธศาสนา

สาวกผู้ที่จะเหมาะสมกับภารกิจนี้ จะต้องเป็นผู้มีปัญญา มีปฏิภาณในการโต้ตอบ อธิบายหรือมีความสามารถในการ สื่อ กับพวกเขาได้อย่างดี

พระมหากัสสปะ นั้นเป็นพระป่า เคร่งครัดในธุดงควัตร ท่านก็คงไม่ถนัดในการอธิบายโต้ตอบหักล้างความเห็นของคู่สนทนา ท่านเหมาะเป็นแบบอย่างของชีวิตที่เรียบง่าย

พระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านเป็นพระผู้เฒ่า เคยเป็นโหราจารย์มาก่อน มีประสบการณ์มาก (รัตตัญญู) ก็จริง แต่ความสามารถในปฏิภาณปัญญาชี้แจงแสดงธรรมคงไม่เด่น

ดังตัวท่านเองก็รู้ตัวดี จึงไปชักจูงหลานชายนาม ปุณณมันตานีบุตร มาบวช เพื่อช่วยพระพุทธเจ้าในด้านนี้ในเวลาต่อมา

พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะนั้น อย่าลืมว่าเป็นบัณฑิตทางปรัชญา เกิดในตระกูลพราหมณ์ เชี่ยวชาญในไตรเพทมาก่อน เรียกว่า มีคุณสมบัติพร้อม รู้ทั้ง สกสมัย (เรื่องของตนคือพระพุทธศาสนา) และ ปรสมัย (เรื่องของผู้อื่น คือลัทธิคำสอนอื่น) ผู้ รู้เขา-รู้เรา อย่างนี้ย่อมเหมาะสำหรับหน้าที่เป็น มือ ช่วยพระพุทธองค์ประกาศพระพุทธศาสนา

เพราะฉะนั้น จึงไม่แปลกที่พระพุทธองค์พอทอดพระเนตรเห็นสองท่านเดินมา ก็ตรัสว่า สองคนนั้นจะเป็นอัครสาวกของเรา

ผมว่านี้คือเหตุผลสำคัญ นอกเหนือจากความปรารถนาที่ทั้งสองท่านตั้งไว้ในอดีตชาติ ผมไม่ถามละว่าท่านผู้อ่านเห็นอย่างไร อยากเห็นก็เห็นเอาเอง เพระเข็ดแล้วเวลาขอความช่วยเหลืออย่างนอบน้อม มักจะได้รับคำ “ด่า” (เรียกว่าด่าก็แล้วกัน) ว่าชอบคิดนอกรีตนอกรอยบ้างละ นรกจะกินหัวบ้างละ

เหตุผลดีๆ ก็โปรดให้เป็นธรรมทานแบบใจเย็นๆ ก็ได้ครับ ให้ทานด้วยความเครียดความโกรธ เดี๋ยวเกิดชาติหน้าไม่หล่อนะจะบอกให้