กัปตัน ‘บิ๊กตู่’ งัดไพ่เก่าสู้ ตรึงฐานกลุ่มอนุรักษนิยม ชิงการนำรวมเสียงตั้งรัฐบาล

อีกไม่ถึง 3 สัปดาห์ก็จะถึงวันเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม

บรรยากาศการหาเสียงจึงคุกรุ่นฝุ่นตลบ งัดทุกกลเม็ดกลยุทธ์เรียกคะแนนนิยมจากประชาชนให้เลือกผู้สมัคร ส.ส.เขตของพรรคตัวเอง และกาบัตรอีกใบให้พรรค

เน้นขาย ‘แพ็กคู่’ เลือกคนเลือกพรรคกาสองใบตรงกัน หมดยุคเลือกคนที่ใช่เลือกพรรคที่ชอบแยกกัน แต่ต้องลงคะแนนเสียงเลือกตัวแทนที่คิดว่าตรงใจที่สุด เข้าไปทำงานในสภาผู้แทนราษฎร

ให้ผู้แทนคนนั้นไปผนึกกำลังทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ต้องห่วงกังวลว่าจะไปขายตัวขายเสียงเหมือนกับสภาราษฎรชุดที่ผ่านมา ที่อาศัยเสียงจากประชาชนไปใช้หากินหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ตรงข้ามกับประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่นับวันยิ่งต้องดิ้นรนสู้เพื่อปากท้องของตัวเองและจนลงทุกวัน

ตลอดการครองอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นับตั้งแต่การทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 จนถึงปัจจุบันถือว่าเป็นการอยู่ในอำนาจอย่างยาวนานและไร้รอยต่อ

ได้เป็นนายกฯ เพราะพรรคพลังประชารัฐที่แม้ไม่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากที่สุด แต่เกิดจากการต่อรองอำนาจและผลประโยชน์ จนจัดตั้งรัฐบาลผสมมากพรรคสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินไร้เอกภาพและเต็มไปด้วยการต่อรองแบ่งเค้กกัน

เป้าประสงค์การเป็นรัฐบาลจึงไม่ใช่เป็นไปเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ทั้งยังถูกกล่าวหาว่า อุ้มนายทุนเอื้อพรรคพวกให้ได้ประโยชน์จากการเป็นรัฐบาลผ่านโครงการและนโยบายต่างๆ โดยเฉพาะการเป็นผู้นำที่ไร้ฝีไม้ลายมือไร้ศิลปะในการบริหาร จนระบบรวน เครื่องยนต์เศรษฐกิจดับๆ ติดๆ พอกหนี้ให้ประชาชนต้องร่วมแบกกันจนหลังแอ่น

ผลงานของรัฐบาลประยุทธ์ชัดเจนว่า สอบไม่ผ่าน และไม่ควรให้บริหารประเทศต่อไป

 

พรรคฝ่ายประชาธิปไตยโดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ที่มีแม่ทัพใหญ่อย่าง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศขีดเส้นแสดงจุดยืนมาตั้งแต่ต้นว่า ไม่จับมือกับพรรคทหารจำแลง สืบทอดอำนาจรัฐประหาร โดยไม่สนใจว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ไม่สนการต่อรองเข้าร่วมการเป็นรัฐบาล แต่เน้นย้ำว่า ถ้าประชาชนอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและมีอนาคตให้เลือกพรรคก้าวไกลให้มากที่สุด เพราะเชื่อว่า 2 ป. คือต้นตอของปัญหาที่ทำให้ประเทศไทยเดินไปไหนไม่ได้

เป็นเป้าที่ชัดเจนของการทำการเมือง ว่าตั้งใจเข้าไปทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

ส่วนประชาชนก็มี ‘ธง’ อยากที่จะเห็นหน้าตาของรัฐบาลหน้าในใจแล้ว

ในทุกการเลือกตั้งทุกพรรคการเมืองนำเสนอตัวเองผ่านการออกนโยบายว่าถ้าเลือกพรรคตัวเองแล้วจะเข้าไปทำประโยชน์เพื่อประชาชนอย่างไร มีนโยบายแล้วเศรษฐกิจจะดีขึ้น ปากท้องประชาชนจะดีขึ้น และประเทศมีอนาคตมากขึ้น

สนามการเลือกตั้งรอบนี้เป็นการสู้กันระหว่างขั้วการเมืองเก่าและขั้วที่อยากเปลี่ยน เพราะ 8 ปีที่ผ่านมาชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลทหารแก่ ไม่ได้ทำให้ประเทศดีขึ้น ทั้งมุมเศรษฐกิจและมุมสิทธิเสรีภาพก็ถดถอย ถอยหลังลงคลอง

พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต่างแยกกันเดินคนละพรรค ลงแข่งเลือกตั้ง สลัดชุดทหารลายพราง พรางตัวเป็นนักการเมือง หวังชนะเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง

พล.อ.ประยุทธ์เอง ความป๊อปไม่เหมือนเก่า ผลโพลจากหลากหลายสำนักทั้งโพลจ้างโพลจริง ก็ออกมาเป็นเอกฉันท์ว่า ‘ขาลง’ ไม่ติดท็อปอะไรกับแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคการเมืองอื่นเลย

ไม่ต่างอะไรกับ พล.อ.ประวิตร ที่หมดมุขเรียกคะแนนนิยม นโยบายหาเสียงก็เป็นของเดิมที่นำมาตัดแต่งให้ดูสวยงามเพิ่มงบเพิ่มเงินให้ดูว้าวขึ้นอีกนิดหนึ่ง แจกแหลกลาญ แต่ก็ยังไม่สามารถแกร่งพอที่จะสู้กับพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยได้เลย มีแต่ความเก่า ความแก่ ความเหี่ยว ที่ปรากฏออกมาชัดเจน แต่ยังอยากทำอยู่ ทำแล้ว ทำต่อ ขออยู่ในอำนาจต่อไป

การจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลหรือไม่ขึ้นอยู่กับเสียงของประชาชน ผ่านการเลือกตั้งปี 2566 นี้

เมื่อฝ่ายพรรคประชาธิปไตยปรับตัวดึง “ความใหม่” มาเป็นจุดขาย ทั้งคนรุ่นใหม่ แนวคิดใหม่ นโยบายใหม่ บอกชัดว่าเมื่อของเก่าของแก่ที่ใช้อยู่มันไม่ดีแล้วการลองของใหม่ จึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย ซึ่งพรรคก้าวไกลได้นำจุดนี้มาใช้ตอกหน้านักการเมืองเก่าที่ปรามาสพรรคก้าวไกลว่าไม่เคยมีผลงานให้เห็นเป็นรูปธรรม เป็นแค่พวกหน้าอ่อนทางการเมือง

การปราศรัยใหญ่ของพรรคก้าวไกล ที่สามย่านมิตรทาวน์ เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ถือเป็นตัวพิสูจน์ว่าการต้องการความเปลี่ยนแปลง เพราะเบื่อของเก่านั้นมีมากล้นเพียงใด บรรยากาศที่ประชาชนแห่ไปจับจองฟังปราศรัยก่อนเวลาเป็นชั่วโมงจนเจ้าหน้าที่ของพรรคต้องขยายพื้นที่และแจกเบาะรองนั่ง ถึงกระนั้นก็ไม่พอจนขยายกินพื้นที่ไปเกือบกลางถนน

เป็นความใหม่ที่ประชาชนอยากจะแกะกล่องมาลองใช้ แล้วพิสูจน์ว่าจะดีจริงหรือไม่ เป็นความหวังที่ถูกจุดประกายส่องแสงขยายเป็นวงกว้าง จนอาจจะทำให้บางคนต้องแสบตา

 

คนที่ร้อนตัวที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘บิ๊กตู่’ ที่จนตรอก งัด ‘ความเก่า ความแก่ ความอยู่มานาน’ มาขายให้ประชาชนเลือก ประกาศระหว่างหาเสียงที่ จ.อุดรธานี ว่า พร้อมอาสาเป็นนักบินแก่ขับเครื่องบินที่มีคนไทยทั้ง 70 ล้านคน ลงสู่พื้นอย่างปลอดภัยไม่โหม่งโลก เพราะดีกว่าจะเอาวัยรุ่นที่ไม่มีประสบการณ์มาขับเครื่องบิน

เชื่อเสมอว่า ตัวเองทำหน้าที่นายกฯ ได้ดีที่สุด เก่งที่สุด ประชาชนต้องเลือกฉันสิ

ที่แปลกกว่านั้นคือ อยู่ๆ ค่าไฟก็แพงขึ้นทะลุปรอทก่อนเลือกตั้งไม่ถึงเดือน เห็นบิลก็เข่าอ่อนยวบยาบ

รัฐบาลบิ๊กตู่จึงรีบออกแอ๊กชั่นประกาศควักงบฯ ไปอุ้มค่าไฟ สร้างบุญคุณให้ประชาชน

โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 25 เมษายน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้เสนอไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอใช้งบกลาง 11,112 ล้านบาท เพื่อเยียวยา ประชาชนเรื่องค่าไฟฟ้าแพง จังหวะช็อตฟิล ทำเพื่อประชาชน เห็นเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากความพยายามสร้างคะแนนนิยมให้ตัวเองก่อนการเลือกตั้ง

แต่จะสร้างได้สมน้ำสมเนื้อกับเงินที่โปรยไปหรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง

เหมือนที่นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ผู้สมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล แสดงความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า “ตลอด 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ใช้งบประมาณไป 28.5 ล้านล้านบาท แต่ได้คะแนนความนิยมที่ปรากฏผ่านโพลแค่ 13-14% แล้วแบบนี้จะมาขับเครื่องบินได้อย่างไร”

แต่กระแสที่เป็นรองคนอื่นทุกประตู ไม่ได้ลดทอนความมั่นใจของบิ๊กตู่ลงไปแม้แต่น้อย

เพราะยังคงเดินหน้าประกาศนโยบายพรรครวมไทยสร้างชาติว่า เลือกคนชื่อประยุทธ์ แล้วประชาชนจะได้อะไร คือ เมื่อลงแข่งแล้ว ต้องชนะเท่านั้น

กับเป้าหมายในชิงการนำขั้วอนุรักษนิยม ตั้งรัฐบาลอีกวาระ