สแกนชื่อ “ครม.ประยุทธ์ 5” ลดเก้าอี้ทหาร ถึงคิวพลเรือนโชว์ฝีมือ

การปรับเปลี่ยนตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประยุทธ์ 4 สู่ ครม.ประยุทธ์ 5 เป็นความตั้งใจแต่เดิมของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.

ประจวบเหมาะกับเหตุสุดวิสัยเมื่อ “บิ๊กบี้” พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ยื่นไขก๊อกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หลังจากไม่พอใจคำสั่งมาตรา 44 ของหัวหน้า คสช. โยกย้ายอธิบดีกรมการจัดหางาน “บิ๊กตู่” จึงต้องปรับวิกฤตให้เป็นโอกาสตัดสินใจปรับ ครม. ในบัดดล

ครม.ประยุทธ์ 5 ในความตั้งใจของ พล.อ.ประยุทธ์ คือต้องการเร่งขับเคลื่อนงานด้านเศรษฐกิจให้เป็นรูปเป็นร่าง เน้นการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจให้เห็นผลเร็ว จับต้องได้ ทั้งนี้ ในแง่หนึ่งเพื่อพิสูจน์ฝีมือรัฐบาลทหาร เพื่อลบจุดอ่อนกับข้อครหาว่ามือยังไม่ถึงในงานด้านเศรษฐกิจ

อีกแง่หนึ่งเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนในช่วงโรดแม็ปสุดท้ายของ คสช.

ยิ่ง “บิ๊กตู่” ประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2561 ยิ่งต้องเร่งสร้างผลงาน ทำคะแนน

เพราะหากจะอยู่ต่อตามเสียงเชียร์แล้ว การสร้างผลงานคือเครื่องการันตีการยอมรับจากเจ้าของอำนาจได้เป็นอย่างดี

เหตุนี้เอง พล.อ.ประยุทธ์ จึงคิดลดสัดส่วนบิ๊กท็อปบู๊ตที่เป็น “ครม.สายทหารลง” แล้วเพิ่มพลเรือนที่มีความรู้และประสบการณ์ ระดับ ดี เด่น ดัง เข้ามาเสริมทัพมากขึ้น

กระนั้นการตัดสินใจปรับเพื่อนพ้องน้องพี่ทหารออกจากตำแหน่งกลับไม่ง่าย

เพราะชายชาติทหารอย่าง “บิ๊กตู่” ย่อมถือคติ “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน”

ฉะนั้นแล้ว มีหรือที่คนอย่างเขาจะใจร้ายกับพี่ เพื่อน น้อง ยิ่งเป็นพี่น้องที่ร่วมปฏิวัติด้วยกันมา ยิ่งต้องคิดหนัก

ขณะเดียวกัน “บิ๊กตู่” ยังต้องคิดถึงเมื่อตอนลงจากอำนาจแล้ว ว่าหากทำให้พี่น้องไม่พอใจ แล้วใครจะคบ

คำพูดของ “บิ๊กฉัตร” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อนรักเตรียมทหาร (ตท.) รุ่น 12 สะท้อนเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะหลังมีกระแสข่าวว่าเขาจะถูกโยกไปอยู่กระทรวงแรงงานหรือหลุดจาก ครม. ไปเลย

“บิ๊กฉัตร” จึงออกมาย้ำความสัมพันธ์ถึงความเป็นเพื่อนกับ “บิ๊กตู่” อีกครั้งว่า “เพราะผมเป็นเพื่อนกับนายกฯ จึงถูกจับตาตลอดเมื่อมีกระแสข่าวปรับ ครม. หลังเกษียณอายุราชการ (ก่อนปฏิวัติ) ผมคุยกับนายกฯ ว่าอยากไปเที่ยวกัน นายกฯ เป็นคนเขียนว่าอยากไปนู่นไปนี่ แต่วันนี้ ฉีกทิ้งไปหมดแล้ว ไม่ไปเลย”

การปล่อยข่าวแซะเก้าอี้ของ พล.อ.ฉัตรชัย ไม่ใช่เพิ่งมาเกิดขึ้นเมื่อมานั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพราะก่อนหน้าที่เขานั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ใน ครม.ประยุทธ์ 3 ก็เคยถูกปล่อยข่าวหวังเปลี่ยนเก้าอี้เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์มาแล้ว

แต่เมื่อเกิดเรื่องแล้วแก้ไขปัญหาด้วยการปรับคนออกจากตำแหน่งนั้นไม่ใช่วิสัยของ “บิ๊กตู่” ดังจะเห็นจากกรณีอื้อฉาวโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่มีแรงกดดันอย่างหนักให้ปรับน้องรัก “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ออกจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม

แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะถ้าปรับออกจะเท่ากับว่า “ผิด” เช่นเดียวกับกรณี “บิ๊กฉัตร” ย่อมไม่มีวันถูกปรับออก แต่หากจะโยกไปนั่งกระทรวงแรงงาน ก็ยังถือว่าไม่น่าเกลียดมากนัก แม้จะไม่ได้อยู่ในกลุ่มของกระทรวง “เกรดเอ”

ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการอยู่ในข่ายที่ต้องมีการปรับเปลี่ยน เพราะ “บิ๊กตู่” เห็นว่างานไม่ขยับ ทั้งยังมีปัญหาการทำงานที่ไม่เชื่อมโยงกันระหว่าง นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กับ “บิ๊กน้อย” พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

ซึ่งการเปลี่ยนรัฐมนตรีศึกษาธิการนั้น ดูจะไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์ เนื่องจากเป็นเรื่องปกติของรัฐบาลนี้ เพราะเปลี่ยนทุกครั้งที่ปรับ ครม.

เมื่อความตั้งใจแต่แรกเริ่มคือการลดสัดส่วนทหารลง กระทรวงพลังงานจึงเป็นเป้าที่ถูกจับตามอง

ไม่ใช่เพราะ “บิ๊กโย่ง” พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ไม่มีผลงานโดดเด่นหรือทำงานไม่เข้าตา

แต่เนื่องด้วย “บิ๊กโย่ง” เป็นน้องคนหนึ่งของ “บิ๊กตู่” เขาย่อมจะเข้าใจพี่ และไม่มีข้อขุ่นข้องหมองใจใดๆ เมื่อพี่จำเป็นต้องเปลี่ยนให้พลเรือนมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีแทนเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น

ส่วนทีมเศรษฐกิจ ที่นำโดยรองนายกฯ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ต้องเรียกว่ายกเครื่องกันขนานใหญ่ เริ่มจาก “ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ที่ทำงานเข้าตา พล.อ.ประยุทธ์ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการวางโครงสร้างคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ที่เดินหน้าทั้งปฏิรูป ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง นอกจากนี้ ดร.สุวิทย์ ยังจัดทำแผนเตรียมคนไทยสู่การพัฒนา 4.0 ทำมาตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ จนได้ชื่อว่า “มิสเตอร์ 4.0” ซึ่งการปรับ ครม. ครั้งนี้ เขาจะถูกโยกมานั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เพื่อขับเคลื่อนสตาร์ตอัพ (startup) สำหรับงานวิจัยพัฒนา

ด้านกระทรวงพาณิชย์ มีกระแสร้อนไม่แพ้กันว่าจะมีการปรับเปลี่ยน เป็นเพราะที่ผ่านมางานของเจ้ากระทรวงอย่าง “อภิรดี ตันตราภรณ์” เป็นไปอย่างเนิบๆ จนถึงกับนิ่ง ขณะที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” เพื่อนอีกคนของนายสมคิด อดีตพ่อค้าอสังหาริมทรัพย์ เจ้าพ่อเอสเอ็มอี กลับมีผลงานโดดเด่นกว่า ทั้งงานด้านประชารัฐ ร้านธงฟ้ารองรับบัตรสวัสดิการคนจน งานส่งเสริมเอสเอ็มอี เข้าถึงชาวบ้านได้มากกว่า สอดรับกับนโยบายของ “บิ๊กตู่”

อภิรดี ตันตราภรณ์

คาดว่าจะได้ขึ้นชั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

ขณะที่ “รัฐมนตรีน้อง” กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการการท่องเที่ยวและกีฬา แม้จะเป็นสายตรงนายกฯ ทำงานอดทน ขยันขันแข็ง ไปทุกที่ที่มีการเปิดงานเกี่ยวกับท่องเที่ยว แต่ยังมีจุดอ่อนที่มุ่งกับการประชาสัมพันธ์เกินไป จนงานระดับนโยบายไม่คืบหน้า เพราะตัวเลขนักท่องเที่ยวของไทยที่ดีในวันนี้ แท้จริงแล้วมาจาก

1. ศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของไทยเอง

2. ความเป็นมืออาชีพของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

และอาจทำให้เจ้าตัวต้องหลุดจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ โดยมีชื่อของ “อ.เอ” วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตเสนาบดีกระทรวงการท่องเที่ยวฯ สมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คัมแบ๊กมานั่งเก้าอี้นี้อีกครั้ง

ส่วนกระทรวงอื่นที่ไม่มีการปรับเพราะนายสมคิดพอใจในผลงานของลูกทีม เช่น ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เดินเครื่องเต็มสูบกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ (อีอีซี) ให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างได้ชัดเจน

สำหรับกระทรวงคลัง “อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” ยังเหนียวแน่นในเก้าอี้เดิม แม้ก่อนหน้านี้เจ้าตัวจะขอลาออกหลายรอบ แต่ก็ถูกนายสมคิดกล่อมให้อยู่ต่อเสมอมา ทั้งนี้ นายอภิศักดิ์เป็นเพื่อนเด็กเรียนของนายสมคิดในสมัยอยู่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ขณะที่ “สมคิด” ออกแนวเป็นเด็กหลังห้อง เมื่อนายอภิศักดิ์เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ด้วยความที่เคยทำงานภาคเอกชน จึงรู้สึกอึดอัดในข้อจำกัดของระบบราชการ ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ติดขัดไม่ทันใจ เจ้าตัวถึงกับถอดใจขอลาออกอยู่หลายครั้ง

กระนั้น นายสมคิดก็เกลี้ยกล่อมให้เพื่อนนั่งเป็น “ขุนคลัง” คู่ใจได้อยู่เหมือนเคย

การปรับ ครม.ประยุทธ์ 5 จึงสะท้อนวิธีคิดของ “พล.อ.ประยุทธ์” รวมถึงหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่าง “สมคิด” ในการสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งลูกทีม อย่างไรก็ตาม การปรับ ครม. เป็นแค่เพียงการวางตัวผู้เล่นใหม่

ซึ่งทีมชุดใหม่จะทำได้ดีแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยประกอบกัน

ฉะนั้นแล้ว เส้นทางพิสูจน์ “ครม.ประยุทธ์ 5” ที่หวังโชว์ผลงานทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ จึงยังต้องดูกันอีกยาวๆ ว่าจะได้ใจประชาชน ให้ได้ไปต่อหลังกาบัตรเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือไม่