ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 เมษายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | ฝนไม่ถึงดิน |
ผู้เขียน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี |
เผยแพร่ |
นโยบายรัฐสวัสดิการ VS. นโยบายอภิสิทธิ์ชน (3)
รัฐสวัสดิการและรัฐความมั่นคง
ลำดับความสำคัญที่ต่างกัน
เมื่อเข้าสู่ช่วงใกล้การเลือกตั้ง เราย่อมจะเห็นได้ว่า ทุกอย่างฟังดูเป็นไปได้ทั้งสิ้น
จะเห็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่พูดถึงงบประมาณหลายแสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
เราเห็นนโยบายรัฐสวัสดิการของพรรคก้าวไกล
แม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย ก็ยังมีการพูดถึงนโยบายสวัสดิการ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก็จะพบว่า พรรคการเมืองฝั่งที่เกี่ยวพันกับโครงสร้างอำนาจนิยมนั้น จะมีจุดขายด้านนโยบายที่มุ่งไปในด้านความมั่นคง มากกว่าการพูดถึงสวัสดิการของประชาชน
คำถามสำคัญคือ เมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้น การทำงานร่วมกันในรัฐสภาจะเกิดอะไรขึ้น ย่อมมีการโต้เถียงโต้แย้งกัน ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่สำคัญ
ความน่ากังวลคือ เมื่อม่านของการเลือกตั้งปิดฉากลงไป กลุ่มการเมืองต่างๆ จะมีแนวโน้มที่แนบชิดกับเครือข่ายชนชั้นนำ กับกลุ่มทุนและข้าราชการเหมือนเดิม
ถึงแม้ว่านโยบายด้านสวัสดิการจะถูกพูดถึงอย่างมากในช่วงการเลือกตั้ง แต่จะกลายเป็นสิ่งที่สำคัญลำดับท้ายๆ เมื่อต้องแข่งขันกับนโยบายด้านความมั่นคง
ซึ่งแม้จะเป็นนโยบายที่ไม่ได้ถูกนำมาหาเสียง เป็นนโยบายที่ไม่ได้ถูกปราศรัย แต่ก็จะกลายเป็นนโยบายที่มีความสำคัญเท่ากับหรือมากกว่านโยบายชีวิตของประชาชน
ดังนั้น เงื่อนไขสำคัญประชาชนจำเป็นที่จะต้องแยกระหว่างนโยบายรัฐความมั่นคงกับรัฐสวัสดิการให้ออกจากกันและพยายามกดดันหรือสนับสนุน ให้พรรคการเมืองที่นำเสนอประเด็นด้านสวัสดิการ สามารถผลักดันประเด็นเหล่านี้ให้กลายเป็นวาระสำคัญของสังคมให้ได้
ข้อแตกต่างระหว่างรัฐสวัสดิการกับรัฐความมั่นคง พิจารณาผ่านเงื่อนไขสามประการได้ดังนี้
ประการแรก รัฐความมั่นคงมองว่าความปลอดภัยของรัฐมาก่อนความปลอดภัยของประชาชน
ขณะที่รัฐสวัสดิการมองว่าความปลอดภัยของประชาชนเป็นบ่อเกิดความมั่นคงของรัฐ
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่รัฐความมั่นคงสามารถลงทุนในงบประมาณด้านความมั่นคงหลายอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นทหารประจำการนับแสนนาย ลงทุนในการศึกษาของทหารและตำรวจ
เช่นเดียวกับอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ทิ้งร้างไม่ได้ใช้ ด้วยงบประมาณประจำปีหลายแสนล้านบาท
แต่พวกเขากลับมีแรงตั้งคำถามกับการบรรจุพยาบาล มหาวิทยาลัยฟรี เบี้ยผู้สูงอายุ เงินเลี้ยงดูเด็ก ทั้งๆ ที่ประเทศนี้มีคนแก่ คนเจ็บ คนเกิด คนต้องเรียนหนังสือทุกวัน
แต่พวกเขากลับพร้อมที่จะใช้งบประมาณมหาศาลไปกับความมั่นคงที่มีเพียงแต่สงครามในประวัติศาสตร์
ประการที่สอง รัฐความมั่นคงมองว่าอาชญากรรมของคนจนเป็นเรื่องน่ารังเกียจ และการส่งเสียงของประชาชนมากเกินไปเป็นการคุกคามต่อความมั่นคง
พวกเขาจึงลงงบประมาณมหาศาลไปกับการป้องกันประชาชนส่งเสียง ตำรวจคุมฝูงชน กล้องวงจรปิด คุก ตุลาการ และสื่อมวลชนที่จะปลุกปั่นว่าความเป็นคนจนน่ารังเกียจขนาดไหน
ความผิดของคนจนถูกทำให้น่าเกลียดน่ากลัว
แต่อาชญากรรมของชนชั้นนำกลับเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความรุนแรง จับกุม คุมขัง ตีความกฎหมาย อาชญากรรมความรุนแรงเหล่านี้เทียบไม่ได้กับการที่คนจนคนหนึ่งขโมยนมผงเพื่อให้ลูกกินยาไส้
ดังนั้น ฐานความคิดเรื่องรัฐสวัสดิการคือการนำทรัพยากรที่ถูกปรนเปรอให้แก่คุก ศาล ทหาร ตำรวจ ของรัฐความมั่นคงกลับคืนสู่ เงินเด็ก เงินค่าเทอม เงินบำนาญ ประกันการว่างงาน
คืนความมั่นคงให้มนุษย์มากกว่าความมั่นคงของรัฐ
ประการสุดท้าย รัฐความมั่นคง ไม่ได้ทำงานเพียงลำพัง แต่ทำผ่านกรอบชุดความเชื่อแบบต่างๆ ควบคู่กันไปด้วย
กรอบความเชื่อประวัติศาสตร์แบบจารีต ที่พยายามบอกถึงความจำเป็นของทหารประจำการ กองทัพขนาดใหญ่
ทำงานร่วมกันกับศาสนาที่พยายามบอกว่าความยากจนเป็นกรรมเก่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ทำงานร่วมกันกับคุณค่าเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ที่พยายามบอกว่าคนขยันและฉลาดเท่านั้นที่สมควรมีชีวิตที่ดี
ผู้คนใช้ชีวิตส่วนตัวของตนไป ไม่จำเป็นต้องมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือการจัดสรรนโยบายที่มีความสลับซับซ้อน
ซึ่งสุดท้ายเมื่อประชาชนไม่สามารถส่งเสียงได้ ชนชั้นนำฝ่ายความมั่นคงก็ทำงานร่วมกันกับเทคโนแครตด้านเศรษฐกิจ ในการเนรมิตคำอธิบายต่างๆ ว่า งบประมาณที่ถูกจัดสรรอย่างถูกต้องสมควรแล้ว
สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือการคืนความสามารถในการอธิบายความเป็นไปของสังคมให้หวนกลับคืนมาสู่มือประชาชนทั่วไป ทั้งในแง่ของประวัติศาสตร์ แง่มุมของการต่อสู้ การตีความกฎหมาย ความสัมพันธ์ วิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่เราสามารถเป็นเจ้าของ
เพื่อให้มันรองรับต่อคุณค่าความเท่าเทียมกันในสังคม
เพื่อให้ค่านิยมของรัฐสวัสดิการเติบโตได้ต่อไปเช่นกัน
จะเห็นได้ว่า รัฐความมั่นคง เป็นรูปแบบรัฐที่ฝังลึกในสังคมไทย
ให้ผลประโยชน์มหาศาลแก่ชนชั้นนำ
และให้ผลประโยชน์เพียงน้อยนิดสู่ประชาชนทั่วไป
ขณะเดียวกันการสร้างรัฐสวัสดิการแม้จะเป็นคุณค่า หรือรูปแบบที่คนไทยส่วนมากอาจไม่คุ้นเคย
แต่นับเป็นนโยบายที่ให้ประโยชน์มหาศาลแก่ประชาชนคนส่วนใหญ่
และจะเปลี่ยนรากฐานความเชื่อ และวิถีชีวิตในทางก้าวหน้ามากขึ้น
แต่ย่อมท้าทายอำนาจของชนชั้นนำที่ถือครองทรัพยากรและผูกขาดคุณค่าด้านต่างๆ ไว้เช่นกัน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022