ส่องจุดแข็ง-สแกนกลยุทธ์ แคนดิเดตนายกฯ สู้เลือกตั้ง

ส่องจุดแข็ง-สแกนกลยุทธ์ แคนดิเดตนายกฯ สู้เลือกตั้ง พท.ชู ‘อุ๊งอิ๊ง-เศรษฐา-ชัยเกษม’ สู้ ‘ประยุทธ์-พีระพันธุ์’

 

ในช่วงวันที่ 3-7 เมษายน 2566 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เปิดรับสมัครผู้สมัคร ส.ส.แบบเขต และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ มีพรรคการเมืองพาเหรดมาสมัครกันอย่างคึกคัก

รวมทั้งพรรคการเมืองส่วนใหญ่ได้ยื่นรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีต่อ กกต.ด้วย

โดยในวันที่ 4 เมษายน สำนักงาน กกต.เผยเเพร่เอกสารข่าวภาพรวมการแจ้งรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ในวันแรก มีทั้งสิ้น 24 พรรค รวม 35 รายชื่อ

ที่น่าสนใจ อาทิ พรรคภูมิใจไทย เสนอชื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล

พรรคประชาธิปัตย์ เสนอชื่อ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์

พรรคก้าวไกล เสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์

พรรคพลังประชารัฐ เสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอชื่อ 2 คน คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

 

ส่วนพรรคเพื่อไทย ส่งครบโควต้า 3 รายชื่อ

คือ 1.น.ส.แพทองธาร ชินวัตร 2.นายเศรษฐา ทวีสิน

และล่าสุดคือ 3.นายชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งถือเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยเพียงคนเดียวที่ลงสมัคร ส.ส.โดยอยู่ในบัญชีรายชื่อคนที่ 10 ทั้งนี้ การเปิดแคนดิเดตของพรรค “เพื่อไทย” ดูจะให้ความสำคัญมากกว่าพรรคอื่น

โดยเมื่อวันที่ 5 เมษายน ได้ใช้ธันเดอร์โดม สเตเดียม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี จัดงานปราศรัยใหญ่ ภายใต้แนวคิด “คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน ตอน One Team for all Thais : หนึ่งทีมเพื่อไทยทุกคน”

โดยโฟกัสไปยังตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 คนของพรรคด้วยการให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 คน ได้เดินผ่านพรมแดงเพื่อเข้าสู่บริเวณงาน มีแฟนคลับพรรคเพื่อไทยรอให้กำลังใจอยู่บริเวณอัฒจันทร์และบริเวณกลางสนามรอบเวทีจำนวนมาก

น.ส.แพทองธารบอกว่า วันนี้ถึงเวลาแล้วที่จะประกาศให้ประชาชนทราบว่าพรรคเพื่อไทยฟูลทีม โดยจุดเด่นของทั้ง 3 คนนั้นไม่เหมือนกันเลย

ส่วนใครจะเป็นเบอร์ 1-2-3 นั้น น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าใครคือเบอร์ 1 2 3 แต่ไม่ว่าจะเป็นเบอร์ไหนก็ทำ ด้านนายเศรษฐาบอกว่า แม้ทั้ง 3 คนมีบุคลิกที่ต่างกัน แต่เราทำงานเป็นทีม นายชัยเกษมก็มาด้วยความอาวุโส เป็นนักวิชาการทางด้านกฎหมาย เป็นบุคคลที่มีคุณภาพของพรรค

“หากพรรค พท.ชนะการเลือกตั้ง จะเสนอชื่อใครเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ขอให้เป็นทีละขั้นตอน ขอให้ผ่านวันที่ 14 พฤษภาคม แล้วค่อยว่ากันอีกครั้ง” นายเศรษฐากล่าว

แต่น่าสังเกตว่า นายชัยเกษมได้กล่าวระหว่างเปิดตัวว่า โอกาสที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะมาลงที่ตนมันยาก

จึงทำให้มีการคาดหมายว่า แม้พรรคเพื่อไทยจะเปิดตัว 3 แคนดิเดต แต่โฟกัสก็ยังไปอยู่ที่ น.ส.แพทองธาร และนายเศรษฐา

ซึ่งจะเป็นใครในที่สุดนั้น พรรคเพื่อไทยคงอุบไว้จนนาทีสุดท้าย

และตอนนี้ เน้นจุดขายไปที่แคมเปญ “หนึ่งทีมเพื่อไทยทุกคน” มากกว่า

โดยพรรคเพื่อไทยได้ปรับรูปแบบการสื่อสารกับประชาชนอย่างมีระบบแบบแผน มีความทันสมัยเจาะทุกกลุ่มผู้ใช้สิทธิ ทั้งกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งเป็นฐานเสียงที่แนบแน่นกับพรรค กลุ่มคนวัยทำงาน กลุ่มวัยรุ่นเยาวชน โดยใช้อินฟลูเอนเซอร์ ตัวท็อปมาร่วมทำกิจกรรมกับพรรค และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนกลุ่มต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น ทำให้ดูเป็นพรรคที่เข้าถึงง่ายมากขึ้น เพื่อให้เป้าหมายแลนด์สไลด์เป็นจริงให้มากสุด

 

พรรคที่เสนอแคนดิเดตนายกฯ มากกว่าหนึ่งคน และเป็นที่น่าสนใจอีกพรรค คือ พรรครวมไทยสร้างชาติ

โดยมีการเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเบอร์หนึ่ง

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นเบอร์สอง

ซึ่งเมื่อสื่อมวลชนได้นำเรื่องนี้ไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่า นายพีระพันธุ์ จะเป็นนายกฯ สำรองต่อจาก พล.อ.ประยุทธ์ ใช่หรือไม่

ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ปฏิเสธ

และยังขยายความว่า ตนมองในเรื่องของการให้โอกาสคนอื่นเขาขึ้นมาเป็นบ้าง ก็เลยให้นายพีระพันธุ์เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่ออันดับ 1 เพราะมีผลกับการอยู่ 2 ปีของตน

“หลายคนถามว่า ผมอยู่ 2 ปีแล้วจะเป็นยังไง ก็นั่นไงคือคำตอบ ซึ่งเป็นตัวเลือกในการเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งต่อไป ถ้าผมได้อยู่ 2 ปี ก็จะมีคนสานต่อตรงนี้ ทุกอย่างมันคือยุทธศาสตร์” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ท่าทีนี้ต้องถือว่าเป็นการปิดประตูประเด็น “นายกฯ หารสอง” อย่างที่มีการคาดหมายก่อนหน้านี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์อาจต่อรองกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่จะให้หนุนเป็นนายกฯ สองปีก่อน แล้วค่อยเปิดให้ พล.อ.ประวิตรหรือนายอนุทินมาเป็นต่อ

แต่การที่นายพีระพันธุ์มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ก็เท่ากับว่าดีลนี้คงยากที่จะเกิดขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์คงเปลี่ยนผ่านเก้าอี้นายกฯ ให้กับนายพีระพันธุ์ หากได้เป็นนายกฯ อีกครั้งจริง

ส่วนบิ๊กป้อม ที่ถือธงนำนั่งปาร์ตี้ลิสต์ ของพลังประชารัฐลำดับที่หนึ่ง ควบแคนดิเดตนายกฯ หนึ่งเดียว ก็คงต้องเดินหน้าสู้ด้วยตนเองต่อไป โดยสลัดเครื่องแบบนายพลใหญ่ สวมหมวกนักการเมือง เข้าครัวโชว์เสน่ห์ปลายจวัก เชื่อมโยงการทำอาหาร ก้าวข้ามความขัดแย้ง เปิดประตูพูดคุยแกนนำม็อบ พร้อมจับมือตั้งรัฐบาลกับทุกขั้ว ลุ้นเป็นนายกฯ ต่อไป

 

ส่วนฝ่ายพรรคก้าวไกล ที่ยังคงคอนเซ็ปต์ ปักธงส้ม ปูถนนไปสู่ประชาธิปไตย เอาทหารออกจากการเมือง ชูนโยบายแก้ปัญหาปากท้อง และพาประเทศให้เป็นรัฐสวัสดิการ ยังแน่วแน่ในการชู “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคเป็นแคนดิเดตนายกฯ หนึ่งเดียว โดยพยายามกล่อมพรรคร่วมฝ่ายค้าน ให้จับมือร่วมกันทำงานต่อหลังเลือกตั้งด้วยบทบาทใหม่ของการเป็นฝ่ายบริหาร

โดยนายพิธาเชื่อว่าพรรคที่อยู่ๆ กันมาจนถึงตอนนี้เป็นส่วนผสมที่ลงตัวที่สุดแล้ว

โดยพรรคก้าวไกลได้ปรับยุทธศาสตร์ปาร์ตี้ลิสต์จัดเอาผู้เชี่ยวชาญ และนักเคลื่อนไหวประเด็นสังคม มาวางในพื้นที่เซฟโซน คือ ลำดับที่ 1-15 ขยับคนทำงานในสภาชุดแรกไปอยู่ท้ายๆ โดยนายพิธาตั้งใจว่าจะจัดคิวผู้สมัครบัญชีรายชื่อ ลงพื้นที่พร้อมกับผู้สมัครเขต เพื่อเสริมพลังให้กาก้าวไกล ให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม

ซึ่งก็พอมีลุ้นเหมือนกัน เพราะจากผลสำรวจของนิด้าโพล ในหัวข้อ “คน กทม. เลือกพรรคไหน” พิจารณาบุคคลที่คนกรุงเทพมหานครจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้ง 2566 นี้ พบว่า อันดับ 1 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) 25.08% อันดับ 2 น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) 24.20% และอันดับ 3 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (พรรครวมไทยสร้างชาติ) 18.24% แม้จะเป็นการวัดใน กทม. แต่อย่าลืมว่าความคิดเห็นของคน กทม. มีผลต่อคนในจังหวัดอื่นเช่นกัน

เมื่อรวมคะแนนของ “พิธา และอุ๊งอิ๊ง” ที่เกือบเกินครึ่ง และคงอันดับท็อป 3 อย่างต่อเนื่องทุกครั้งที่สำรวจ ก็ทำให้แคนดิเดตนายกฯ อย่างบิ๊กตู่หนาวยะเยือกแน่นอน

ยิ่งพรรคอื่นๆ ขึ้นเวทีดีเบต เดินสายโชว์วิชั่นกันแทบทุกวัน แต่ “บิ๊กตู่” กลับเลือกวิธี “หลบมุม” บอกขอทำหน้าที่ให้ดีที่สุดแค่นั้น ทำให้ยิ่งสงสัยมากกว่าเดิมว่า สรุปแล้วจะกลับมาเป็นนายกฯ อีกหรือไม่ หรือเกิดอาการผวาเพราะรู้ตัวว่า ยิ่งพูด ยิ่งพัง ยิ่งแข่ง ยิ่งแพ้ แถมตลอด 8 ปีแห่งช่วงการโชว์ฝีมือ ยังถูกครหาว่า มีอำนาจ มีตำแหน่งเกินความสามารถ บริหารพาประเทศเดินถอยหลัง

ดังนั้น เข้าคูหารอบนี้ แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะกลับมาเป็นนายกฯ รอบ 3 จึงเป็นไปอย่างริบหรี่ นอกเสียจากว่า จะ “มาเหนือเมฆ” เหมือนชื่อหนังสือเล่มล่าสุดของตัวเอง

แต่ก็คงยากเพราะแคนดิเดตนายกฯ คนอื่นๆ ก็พร้อมจะสู้ในทุกพื้นที่