ลับ ระดับ สุดยอด การหายไป ของ ‘คัมภีร์’ สมบัติ เสียวลิ้มยี่

บทความพิเศษ

 

ลับ ระดับ สุดยอด

การหายไป ของ ‘คัมภีร์’

สมบัติ เสียวลิ้มยี่

 

มีความพยายามอย่างเต็มกำลัง ไม่ว่าจะจาก 2 ปู่หลาน นักเล่านิทาน ไม่ว่าจะจากอาฮุย ในการที่จะช่วยเหลือลี้คิมฮวง

ถามว่าแล้วลี้คิมฮวงเล่ามันดำรงอยู่อย่างไร

หากมองจากภาพที่ว่า ในจอกมีสุรา ในมือลี้คิมฮวงถือจอกอยู่ประหนึ่งว่าจะเป็นการเสพสุขอย่างมิได้รู้ร้อนรู้หนาว

เป็นเช่นนั้น จริงละหรือ

ที่มุมห้องมีหลวงจีนรูปกายแบบบางยิ่ง หน้าตาคมคายยิ่ง นั่งอยู่รูปหนึ่ง มาตรแม้นผ่านวัยกลางคนแล้วแต่ดูไปไม่รู้สึกชราเท่าใด ดูแล้วยังคล้ายมีกลิ่นอายของตำราเกาะหนาแน่น

เฉกเช่นกับขุนนางฝ่ายวิชาการที่ลาออกมาอยู่อย่างสุขสันโดษ

มิว่าผู้ใดก็นึกไม่ถึง ท่านคือ ซิมชิ่วไต้ซือ ที่มีกำลังภายในลึกล้ำ สมบูรณ์ที่สุดของเสียวลิ้มยี่ยุคนี้ ท่านแม้ตกเป็นตัวประกันของลี้คิมฮวง แต่สีหน้าท่าทีกลับไม่มีความขุ่นเคือง กลับมีความหนักแน่น เยือกเย็นยิ่ง

นั่งสงบอยู่ในที่นั้นตลอดมา มิเคยเอ่ยวาจาเลย

มีแต่ลี้คิมฮวงเท่านั้นที่เจื้อยแจ้วจำนรรจาอยู่ภายในโบสถ์ ข้างกับคราบสังขารของซิมไบ๊ไต้ซืออันวางอยู่บนตั่ง

หากศึกษาแต่ละ “ถ้อยคำ” แต่ละ “สภาพการณ์” ก็จะเป็น “คำตอบ”

 

นึกมิถึง ในเสียวลิ้มยี่ถึงกับมีสุราเยี่ยงนี้ ข้าพเจ้ามาดื่มสุราข้างคราบสังขารของซือเฮียท่าน ท่านรู้สึกข้าพเจ้าอุกอาจเกินไปบ้างหรือไม่

ข้าพเจ้าดื่มสุราในที่นี้เป็นการแสดงความเคารพนับถือซือเฮียท่าน

หากซือเฮียท่านเป็นพวกเหล่าร้ายเดียรัจฉาน มิว่าท่านตายหรือเป็น ข้าพเจ้าต่างไม่ยอมนั่งดื่มสุราข้างกายท่านแน่นอน

บอกตามความสัตย์จริง ข้าพเจ้านึกมิถึง ผู้ช่วยข้าพเจ้าคราวนี้จะเป็นท่าน

เมื่อ 14 ปีก่อน ข้าพเจ้ายอมทิ้งตำแหน่ง ปลีกตัว ซ่อนกาย แม้บอกว่าเป็นการเบื่อหน่ายตำแหน่งฐานะ แต่หากมิใช่เพราะฎีกาของท่านกล่าวหาข้าพเจ้า

“ตัวอยู่ในวงการขุนนาง แต่คบหากับพวกโจรร้าย”

ข้าพเจ้าอาจบางทียังไม่มีการตกลงใจเด็ดเดี่ยวเช่นนั้น ท่านตอนนั้นมีตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการ ท่านย่อมปฏิบัติหน้าที่ท่านให้เต็มความสามารถ

ข้าพเจ้ายิ่งนึกมิถึง

ผู้ตรวจการที่กรุ้มกริ่มเปรื่องปราดทั้งสุรา นารีของกาลก่อน วันนี้จะกลายเป็นหลวงจีนอาวุโสที่มีปริยัติธรรมสูงส่ง

และมาช่วยข้าพเจ้าในตอนที่ชีวิตคับขันจนร่อแร่

 

ที่เรียกขานว่า “ซิมชิ่วไต้ซือ” ในเสียวลิ้มยี่นั้นที่แท้คือ “โอ้วฮุ่นอี้” (ของ ว. ณ เมืองลุง) หรือ “โอ้วฮุ้นกี๋” (ของ น.นพรัตน์)

ซิมชิ่วไต้ซือหลับตาลง กล่าวอย่างสะทกสะท้อน

“โอ้วฮุ้นกี๋ที่กราบทูลกล่าวโทษท่านตายไปแต่แรกแล้ว ท่านละทิ้งตำแหน่งไปไม่นานอาตมาก็ฝากตัวอยู่ในสถาบันสงฆ์ เพราะได้คิดถึงความหมายของคำ ‘พูดมากต้องผิดพลาด’ แต่คิดไม่ถึงในที่สุดยังพบพานท่าน”

1 อำลาจากสถานะอันได้จาก “ลี้ถ้ำฮวย” 1 อำลาจากตำแหน่ง “ผู้ตรวจราชการ”

แม้ซิมชิ่วไต้ซือจะยืนกรานปฏิเสธต่อคำกล่าวของลี้ชิ้มฮัวที่ว่า “ขณะที่ข้าพเจ้าตกอยู่ในห้วงคับขัน เป็นตาย ยังช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้”

ด้วยน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราด

“อาตมาบ่งบอกแต่แรกว่าอาตมาไม่ได้ช่วยเหลือท่าน หากแต่พลังการฝึกปรือของอาตมาไม่กล้าแข็งพอจึงถูกท่านควบคุมตัวไว้ ท่านมิต้องบังเกิดความสำนึกขอบคุณต่ออาตมาแม้แต่น้อย”

กระนั้น ลี้ชิ้มฮัวก็ยังยืนยัน

“หากมิใช่ท่านตอนอยู่ในกุฏิได้บอกใบ้ต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่แน่ว่าจะบุกเข้ามายังที่นี้ และหากมิใช่ท่านไม่มีความคิดต่อสู้ขัดขืนข้าพเจ้า ยิ่งไม่สามารถตั้งท่านไว้ที่นี้”

มุมปากซิมชิ่วไต้ซือสั่นกระตุก แต่หาได้กล่าวกระไร

ขณะที่คนในแวดวงเดียวกันในอดีตกำลังแลกเปลี่ยนกันอยู่ พลันได้ยินสุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นที่นอกหน้าต่าง เป็นสุ้มเสียงของซิมก่ำไต้ซือ เรียกร้องให้ผลักหน้าต่างออกดู

เมื่อลี้ชิ้มฮัวสะอึกถึงริมหน้าต่าง มองลอดช่องออกไป

ลี้ชิ้มฮัวหน้าแปรเปลี่ยนในบัดดล คิดไม่ถึงว่าอาฮุยกลับตกไปในเงื้อมมือของฝ่ายตรงกันข้าม

มือที่มั่นคงของลี้ชิ้มฮัวกลับสั่นระริก

“ลี้ชิ้มฮัว พวกเราให้เวลาท่าน 2 ชั่วยาม ก่อนอาทิตย์ตกดินหากท่านไม่ส่งมอบโหงวซือตี๋ออกมาแต่โดยดี ก็จะไม่ได้พบกับมิตรสหายของท่านอีกแล้ว”

นี่ย่อมเป็น “คำขาด” นี่ย่อมเป็น “ไฟต์บังคับ”

 

กลายเป็นว่า “สถานการณ์” มิได้กดดันและบีบรัดต่อลี้คิมฮวงเท่านั้น หากยังบีบรัดและกดดันต่อซิมชิ่วไต้ซือ หรือที่ซิมก่ำไต้ซือเรียกขานว่า “โหงวซือตี๋” อย่างมีนัยสำคัญ

จำเป็นต้องศึกษาจากแต่ละ “ถ้อยคำ” ของท่าน

เมื่อครู่อาตมายังมีคำพูดประโยคหนึ่งกล่าวไม่จบ เมื่อครู่อาตมาบอกว่า อาตมาช่วยเหลือท่านเพราะสาเหตุอื่น นี่เป็นความลับของเสียวลิ้มยี่เรา

มิหนำซ้ำมีความสำคัญใหญ่หลวง อาตมาจึงไม่ต้องการบอกต่อท่าน

คัมภีร์ที่เสียวลิ้มยี่เก็บสะสมไว้นับเป็นเอกในแผ่นดิน ในจำนวนนี้มิเพียงมีพระไตรปิฎกแห่งสถาบันสงฆ์ ยังมีบันทึกวิชาการต่อสู้ที่ไม่ถ่ายทอดเข้าสู่บู๊ลิ้มอีกมากหลาย รอบร้อยปีมานี้ไม่ทราบมีชาวบู๊ลิ้มที่ละโมบโลภหลงมากน้อยเท่าใดมายังเสียวลิ้มยี่หมายขโมยคัมภีร์

แต่ไม่เคยมีคนที่สมมาดปรารถนาสามารถล่าถอยกลับออกไปโดยปลอดภัย

บรรพชิตแม้ห้ามละเมิดศีลปาณา แต่คัมภีร์ฝีมือเป็นรากฐานแห่งเสียวลิ้มยี่ ดังนั้น ไม่ว่าผู้ใดล้วนบังเกิดความคิดครอบครอง

ศิษย์เสียวลิ้มยี่ต้องต่อกรถึงที่สุด

ท่านเป็นคนนอกย่อมไม่ล่วงรู้ความนัย ความจริง 2 ปีมานี้คัมภีร์ของวัดเราถูกขโมยรวม 7 ครั้ง นอกจากพระคัมภีร์เพ้งซิม (พระคัมภีร์สงบใจ) เล่มหนึ่งแล้ว อื่นๆ ล้วนเป็นวิชาฝีมือที่สาบสูญจากการถ่ายทอดนานปี

ที่น่าประหลาดคือ เหตุการณ์ขโมยทั้ง 7 ครั้งนี้ก่อนเกิดเหตุไม่มีลางบ่งบอก หลังเกิดเรื่องก็ไม่มีเบาะแสให้สืบสาว ล้วนสูญหายไปโดยไม่มีผู้ใดทราบระแคะระคาย

หลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งแรกและครั้งที่สอง การระวังป้องกันของฉั้งเก็งเกาะ (หอเก็บคัมภีร์) ย่อมเพิ่มความเข้มงวดกวดขัน แต่เหตุการณ์ลักขโมยยังอุบัติติดต่อกัน ซาซือเฮีย (ศิษย์ผู้พี่ที่สาม) ที่รับหน้าที่ดูแลหอเก็บคัมภีร์ได้แสดงความรับผิดชอบขอลาออกจากตำแหน่งกักขังตัวเองสำนึกผิด

เนื่องด้วยเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างใหญ่หลวง ซือเฮียเจ้าสำนักจึงสั่งให้ปกปิดเป็นความลับ จวบจนถึงบัดนี้ผู้ที่ล่วงรู้เรื่องนี้นับรวมทั้งท่านมีเพียง 9 คนเท่านั้น

 

ตรงนี้แหละที่เป็น “ปม” และเป็นปมที่ต้องการให้ “ลี้ชิ้มฮัว” ช่วย คำถามจากลี้ชิ้มฮัวย่อมเป็น “นอกจากพวกท่านเจ็ดซือเฮียตี๋แล้ว ยังมีผู้ใดล่วงรู้เรื่องนี้อีก”

คำตอบก็คือ คนที่ 8 คือ แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง และคนที่ 9 คือลี้ชิ้มฮัว

“ในพวกเราเหล่าซือเฮียตี๋ ซาซือเฮียเป็นบุคคลที่สุขุมรอบคอบที่สุด หลังจากที่เขาลาออกจากตำแหน่งหอเก็บคัมภีร์ก็อยู่ในความดูแลของอาตมากับยี่ซือเฮีย จนบัดนี้เพียงเป็นเวลาครึ่งเดือนเท่านั้น”

“ซิมไบ๊ไต้ซือเมื่อแบกรับหน้าที่สำคัญไฉนยังออกจากวัด” เป็นคำถามจากลี้คิมฮวง

“ทั้งนี้เพราะยี่ซือเฮียระแวงสงสัยว่าเรื่องของคัมภีร์ที่ถูกขโมยมีส่วนเกี่ยวข้องกับโจรดอกเหมย ดังนั้น อาสาไปสืบสาวให้กระจ่างชัด คิดไม่ถึง การไปครั้งนี้จะเป็นการพรากจากตลอดกาล”

ซิมชิ่วไต้ซือเงียบงันเนิ่นนานค่อยกล่าวสืบต่อ

“ยี่ซือเฮียก็มีความสุขุมคัมภีรภาพ ก่อนลงจากวัดได้นำคัมภีร์สำคัญออกจากหอเก็บคัมภีร์ 3 เล่ม แยกย้ายซุกซ่อนอยู่ในสถานที่มิดชิด 3 แห่ง นอกจากซือเฮียเจ้าอาวาสและอาตมาแล้วไม่มีบุคคลที่ 3 ทราบได้”

“ในจำนวนนี้มีอยู่เล่มหนึ่งอยู่ในกุฏิหลังนี้” เป็นการหยั่งถามจากลี้คิมฮวง

เมื่อได้รับคำตอบเป็นไปตามที่หยั่งคาด ลี้ชิ้มฮัวฝืนยิ้ม พลางกล่าว “มิน่าเล่า พวกเขาจึงบังเกิดจิตกริ่งเกรง ไม่กล้าลงมือ”

และมิน่าเล่า ซิมชิ่วไต้ซือ จึงบอกใบ้ให้ลี้ชิ้มฮัวรุกเข้ามายึดครอง

“เนื่องด้วยเหตุการณ์ขโมยคัมภีร์หลายรายนี้ลี้ลับพิสดารเกินไป ดังนั้น ยี่ซือเฮียกับอาตมาหารือเป็นส่วนตัวเห็นว่าอาจเกิดจากโจรภายใน พวกเราแม้ระแวงสงสัยเช่นนี้แต่ไม่กล้ากล่าวออกมา

ทั้งนี้เพราะนอกจากพวกเรา 7 ซือเฮียตี๋แล้ว ศิษย์อื่นล้วนไม่อาจเข้าหอเก็บคัมภีร์ตามอำเภอใจได้”

สรุปแล้วก็คือ เกลือเป็นหนอน สรุปแล้วก็เป็นเรื่องระดับ 7 ซือเฮียตี๋

 

การสนทนาระหว่างซิมชิ่วไต้ซือกับลี้คิมฮวงจึงทรงความหมายเป็นอย่างสูง ไม่เพียงแต่ได้รับทราบความลี้ลับระดับสุดยอดของสำนักเสียวลิ้มยี่

หากแต่ยังทำให้ลี้คิมฮวงกลายเป็น “พันธมิตร”

ขณะเดียวกัน การดำรงอยู่ในลักษณะแห่งพันธมิตรภายในแนวร่วมเช่นนี้เองก็มีส่วนสำคัญอันเป็นหนทางเลือกของมัน

1 ช่วยตนเอง 1 ปลดปล่อยอาฮุยจากพันธนาการ